Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 122 มงกุฎสุริยัน
ราวกับเขาเพิ่งกระโจนผ่านผ้าม่านหนักๆ ลูเซียนรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก และร่างของเขาปะทะเข้ากับอะไรแข็งๆ
เขาได้ยินเสียงตัวเองครางออกมาด้วยความเจ็บ แล้วหัวใจเขาก็รู้สึกเป็นสุขในวินาทีนั้น เพราะตั้งแต่เข้ามาในมิตินี้ เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว และในวินาทีต่อมา เขาสืบเท้าถอยหลังสองสามก้าวอย่างเร็วและกำดาบในมือกระชับอีกครั้ง
ลูเซียนกำลังยืนอยู่ในโถงทางเดินกว้างๆ เท้าเขาสัมผัสถึงพรมหนานุ่มบนพื้น แม้ว่าทุกอย่างยังเป็นสีขาวดำ แต่สถานที่แห่งนี้ก็ให้ความรู้สึกปรานีปราศรัยลูเซียนอยู่บ้าง
หลังจากนั้น ตามที่ลูเซียนคาดการณ์ไว้ ผีกินศพสองตนตามเขาเข้ามาในประตูมิติ ทำลายความสงบของสถานที่นี้ อย่างไรก็ตาม พวกมันลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างทุลักทุเล ดูเหมือนพวกมันไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนี้เอาเสียเลย
“พลังพวกมันอาจจะไม่แข็งแกร่งในนี้” ห้วงความคิดก็หวนกลับมาในหัวลูเซียน แล้วเขาก็ตวัด ‘ดาบอะเลิร์ต’ ไปที่ผีกินศพตัวหนึ่ง หวังจะซ้ำตรงแผลลึกที่คอหอยของมันที่บาดเจ็บจากคมดาบน้ำแข็ง
การลงดาบครั้งที่สองเกือบจะบั่นคอผีกินศพตนนี้ขาดสะบั้น หัวของมันห้อยไปด้านข้าง แต่ที่ยังติดอยู่ได้ก็ด้วยเศษหนังเล็กๆ เท่านั้น
ลูเซียนซัดผงกำมะถันหยิบมือหนึ่งใส่ผีกินศพตัวที่สอง เขาร่ายคาถาสร้าง ‘กำแพงเพลิง’ หยุดการโจมตีของมัน แล้วเขาก็หันกลับมา จับดาบกระชับในมือและลงดาบฟันจนหัวผีกินศพตัวแรกกระเด็นออก
ของเหลวเหนียวๆ สีดำทะลักออกมาจากหัวผีกินศพดูน่าสยอง กลิ่นเหม็นรุนแรงน่าสะอิดสะเอียนทำให้ลูเซียนรู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรงจนเกือบจะสำรอกออกมา
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา ลูเซียนก็สังหารผีกินศพตัวที่สอง
เขายืนทิ้งน้ำหนักตัวค้ำบนดาบแล้วถอนหายใจยาว เขารู้สึกโชคดีที่ผีกินศพไม่มีสมองเท่าไร ไม่เช่นนั้นเขาอาจกลายเป็นศพที่นอนกองอยู่บนพื้น สมองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
ลูเซียนเดินไกลออกมาจากศพพวกนั้น เขาค่อยๆ นั่งลง และใช้เวลาพักฟื้นฟูพลัง จากนั้น เขาเดินกลับมาที่ทั้งสองศพและค่อยๆ ลอกเศษหนังบริเวณฝ่ามือ หรือจะพูดให้ถูก กงเล็บของพวกมันด้วยดาบออกอย่างสะอิดสะเอียน เก็บลงในกระเป๋าใบเล็กพิเศษ
เศษหนังของพวกมันอาจใช้เป็นสารประกอบเวทสำหรับการร่ายคาถาวงเวทระดับสอง ‘สัมผัสผีดิบ’ ลูเซียนไม่ยอมเสียของเปล่าๆ
หลังจากเผาซากร่างของผีกินศพด้วย ‘เพลิงกำมะถัน’ ลูเซียนเดินไปตามโถงทางเดินอย่างระมัดนะวังพร้อมดาบในมือ
โถงทางเดินปูพรมสีขาวและผนังสีเทาเข้มดูเหมือนจะยาวสุดลูกหูลูกตาไม่สิ้นสุด ลูเซียนรู้สึกว่าเขากำลังเดินเข้าไปยังสุสาน เรื่องดีเรื่องเดียวคือเขายังสัมผัสไม่ได้ถึงอันตรายอะไรทั้งสิ้น
ในที่สุด เมื่อเดินไปสุดโถงทางเดิน เขาเห็นประตูสีดำ บนประตูมีวงเวททรงสิบสองเหลี่ยมอีกวงหนึ่ง ซึ่งลูเซียนก็เคยเห็นมาแล้วใน ‘ตำราโหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ และก็มีองค์ประกอบบางส่วนหายไปเช่นกัน
เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา หยิบหลอดแก้วธาตุปรอทเล็กๆ ออกมาอีกหลอด เขาเติมวงเวทให้สมบูรณ์ด้วยวิธีการเดิม
หลังจากนั้น วงเวทก็เริ่มเปล่งแสงสว่างจ้าและค่อยๆ เปิดออกเอง ด้านหลังประตู มีห้องโถงที่ตกแต่งอย่างหรูหราประณีต
ลูเซียนเห็นเตาไฟอยู่ในห้องโถง เปลวเพลิงที่เต้นกวัดแกว่งไปมาในเตาไฟก็เป็นสีขาว แต่ให้ความอบอุ่น
ข้างๆ กับเตาไฟ มีโต๊ะสีเทาที่มีหนังสือสีดำวางอยู่เล่มหนึ่ง นอกหน้าต่างด้านหลังโต๊ะ ลูเซียนเห็นต้นไม้เวทมนตร์หน่าตาแปลกๆ หลายต้น บางต้นมีหน้าเด็กทารก บางต้นมีปากขนาดใหญ่ และบางต้นเปล่งแสงเหมือนกับอัญมณี ประตูเข้าสู่สวนเวทมนตร์อยู่ด้านหลังของโต๊ะตัวนั้น
น่าแปลกที่เขาตรวจไม่เจอกับดักเวทเลย ขณะที่ลูเซียนเดินเข้าไปใกล้โต๊ะ เขาไม่ได้ใช้มือจับหนังสือตรงๆ แต่ใช้ดาบเขี่ยพลิกหน้ากระดาษ
ในหน้าแรกของหนังสือ ลูเซียนเห็นรายการคลังวัตถุเวทมนตร์จารึกด้วยภาษาซิลวานาส
“ผงกุหลาบแสงจันทร์ ห้องหนึ่ง ชั้นที่ยี่สิบห้า
ผงมัยซินเขียวหยก ห้องหนึ่ง ชั้นที่เจ็ดสิบสอง
รากต้นธอร์น ห้องหนึ่ง ชั้นที่เก้าสิบเก้า
เนื้อเยื่อต้นธอร์น ห้องสอง ชั้นสาม
โลหิตแวมไพร์ ห้องสาม ชั้นที่ยี่สิบเอ็ด
ฟันแม่มด ห้องสาม ชั้นที่สี่สิบหก
…
ใบไม้หน้าผี ห้องเจ็ด ชั้นที่สิบเจ็ด
เกล็ดงูหิน ห้องเจ็ด ชั้นที่เก้าสิบสอง
ดอกชมจันทร์แห่งคนเลี้ยงแพะ ห้องแปด ชั้นที่แปด
น้ำเหลืองเมอร์ล็อค ห้องเก้า ชั้นที่หนึ่ง
…
หน้าถัดๆ ไปก็เป็นรายการคลังวัตถุเวทมนตร์ทั้งหมด ตอนแรก ลูเซียนคิดว่าเป็นหนังสือธรรมดาที่บันทึก ‘วัตถุเวทมนตร์’ ที่เก็บไว้ที่นี่ แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกว่ารายชื่อวัตถุเวทมนตร์ทั้งหมดที่เขาเพิ่งอ่านล้วนเป็นวัตถุเวทมนตร์ที่เขาตามหา ราวกับว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาให้เขาเป็นการเฉพาะ!
ลูเซียนพลิกหน้าหนังสือกลับไปกลับมาหลายครั้ง และมั่นใจว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง วัตถุเวทมนตร์บางตัวใช้สำหรับน้ำยา ‘จันทราสีเงิน’ บางตัวใช้สำหรับน้ำยา ‘ประตูเวทมนตร์’ และบางตัวใช้สำหรับน้ำยา ‘วิญญาณครวญ…’
เขาตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกหลอนไปพร้อมๆ กัน เมื่อละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นมา เขาเห็นชายชราผมหงอกขาวนั่งยู่บนเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะ กำลังเขียนอะไรบ้างอย่างในหนังสือ
ลูเซียนตะลึงไปพักหนึ่ง แต่เขาก็ตระหนักว่ามันเป็นเพียงมโนภาพ หรือจะเรียกว่า ชิ้นส่วนความทรงจำของใครบางคน ดูวันที่ที่ชายชราบันทึกลงในหน้ากระดาษ ลูเซียนเลยได้รู้ว่ามโนภาพที่เห็นนี้ถูกทิ้งไว้เมื่อเกือบพันปีที่แล้ว
ว่าแล้วมโนภาพก็เลือนหายไป ลูเซียนเปิดหนังสือไปหน้าสุดท้าย บันทึกส่วนตัวขนาดยาวที่เจ้าของทิ้งไว้ทำเอาเขาต้องตกใจ “ตอนที่ข้ากำลังทำการทดลอง ข้าค้นพบมิติโลกนี้โดยบังเอิญ มันเหมือนโลกคู่ขนานกับโลกจริง หรือภาพฉายซ้อนของโลกหลัก แต่บางส่วนค่อนข้างยุ่งเหยิง นอกจากนี้ ไม่มีการฉายภาพสิ่งมีชีวิตจากโลกจริง น่าสนใจดี
…
“ตอนนี้ ข้ามั่นใจว่าโลกนี้เหมาะสำหรับคนตาย ทั้งวิญญาณแค้นและผีกินศพ และโลกขาวดำใบนี้ดูน่าเบื่อหน่ายมากสำหรับคนที่มีชีวิต”
“เปรียบเทียบกับดินแดนโครงกระดูกในโลกใต้พิภพขุมที่หนึ่งร้อยยี่สิบสาม ดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง ดินแดนแห่งนี้เงียบเกินกว่าจะเรียกว่า ‘นรก’ โลกใบนี้เป็นโลกของคนตายที่จะได้หลับอย่างเป็นสุขไปชั่วนิรันดร์ ข้าขอเรียกว่า ‘โลกแห่งวิญญาณ’
“ดูเหมือนข้าไม่ใช่คนเดียวที่รู้จักสถานที่นี้…”
…
“ลึกลงไปในโลกใบนี้ ข้าพบสถานที่สุดแสนอันตราย แต่น่าสนใจ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการทดลองของเราอย่างน่าประหลาด ข้าน่าจะเชิญเหล่าสหายเข้ามาสำรวจด้วยกันอีกครั้ง เราจะได้ร่วมกันค้นหาความลับ
…
“เรากำลังจะกลับออกไป… อันที่จริง ข้าทำนายไว้เมื่อสองสามวันก่อน ดูแล้วอาจได้ไม่คุ้มเสีย ข้ารู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร แต่ก็ยังเดินหน้าต่อ และท่าน ผู้กำลังอ่านบันทึกฉบับนี้ ขอให้เรียกข้าว่า ‘ผู้ไร้ศรัทธาผู้เดินท่ามกลางแสงสว่างและความมืดมิด’ ท่านคงมีตำราของข้า ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ และท่านคงมาที่นี่เพราะบทกวีและเอกสารลับ
…
“ข้าอาจติดอยู่ที่นั่นในวันที่ท่านเข้าไปยัง ‘มิติลับแล’ นั้น ข้าไม่คิดว่าท่านจะมาตามหาข้า แต่หากท่านพบตัวข้า ได้โปรดช่วยปลดปล่อยข้าด้วย แต่อย่าไปที่นั่นถ้าท่านยังไม่พร้อม ‘มิติลับแล’ เป็นสถานที่อันตรายแม้แต่สำหรับจอมเวทและผู้วิเศษชั้นสูง
ลูเซียนรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เขารู้สึกว่าผู้เขียน ‘ตำราโหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ กำลังสื่อสารกับเขาข้ามเวลาและอวกาศผ่านบันทึกฉบับนี้
ลูเซียนเปิดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็วและอยากรู้เรื่องของมิติโลกใบนี้ให้มากขึ้น รายละเอียดและคำอธิบายที่ขาดห้วงเป็นช่วงๆ ยิ่งทำให้เขาสับสน
“มีลูกแก้วคริสตัลเรียกว่า ‘แสงอรุณ’ อยู่ในลิ้นชักโต๊ะซ้ายมือ ส่วนลิ้นชักขวา ข้าทิ้ง ‘อุปกรณ์เวทมนตร์’ ที่ข้าประดิษฐ์ขึ้นมากับมือให้ท่าน เรียกว่า ‘มงกุฎสุริยัน’ มันจะช่วยให้ท่านสัมผัสได้ถึงรอยแตกที่เชื่อมระหว่างโลกแห่งวิญญาณและโลกหลักในยามดึก รอยแตกพวกนี้มีอยู่ทั่วทั้งทวีป
“ผนึกบน ‘มงกุฎสุริยัน’ มีทั้งหมดห้าชั้น แต่ละครั้งที่ท่านเลื่อนระดับ ไล่เลียงให้ชัดก็คือ จอมเวทชั้นล่าง จอมเวทชั้นกลาง จอมเวทชั้นสูง ผู้วิเศษ และผู้วิเศษชั้นตำนาน ผนึกแต่ละชั้นจะคลายออก ท่านจะสามารถใช้เวทมนตร์ในระดับนั้นได้ เมื่อผนึกชั้นสุดท้ายคลายออก ท่านจะสามารถตามหาสถานที่สุดแสนอันตราย แต่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ข้าเอ่ยถึงไว้ได้
“เอาละ สหายข้า นับจากแรกที่ท่านเห็นบันทึกของข้า ท่านมีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการสำรวจสถานที่นี้อย่างปลอดภัย แต่หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น มิติโลกใบนี้จะถล่มลงมา ณ เวลานั้น ท่านจะสามารถออกจากโลกมิตินี้ผ่านประตูเล็กๆ ผ่านไปยังสวนเวทมนตร์
“จำคำข้าไว้ เดินหน้าแล้วอย่ามองกลับหลัง คำทำนายของข้าจะแสดงให้ท่านเห็นถึงอันตรายอันใหญ่หลวง ณ บัดนี้ คว้าโอกาสของท่านในการพัฒนาพลัง ณ สถานที่นี้ก่อนจะกลับออกไป ห้องหมายเลขสิบ เป็นห้องรสายนเวท ศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุ
สหายข้า
ศาสดาพยากรณ์
วัลโด · เค · มาสเคลีน”
บันทึกนี้มอบข้อมูลสำคัญมหาศาลให้กับลูเซียน แต่บันทึกที่วัลโดทิ้งไว้ทำให้เขาค่อนข้างสับสน อย่างไรก็ตาม ลูเซียนประทับใจมากกับความแม่นยำในคำทำนายของศาสดาพยากรณ์
หลังจากการแนะแนวของศาสดาพยากรณ์ ลูเซียนเจอลูกแก้วคริสตัสขนาดกำปั้นในลิ้นชักซ้าย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อนักเวทผู้เดินตามรอยสำนักโหราศาสตร์
เมื่อเขาเปิดลิ้นชักขวา ลูเซียนเห็นเครื่องรางทรงกลมขนาดเท่าเหรียญตราทั่วไป นั่นคือ ‘มงกุฎสุริยัน’ ที่วัลโดเอ่ยถึง เครื่องรางสีทองอ่อนถูกสลักด้วยลำแสงเป็นรูปมงกุฎ และตรงกลางของเครื่องราง มีไม้กางเขนที่ลูเซียนดูคุ้นตามาก
นอกจาก ‘มงกุฎสุริยัน’ ยังมีกระดาษหนังม้วนหนึ่งแสดงภาพโครงสร้างภายในของ ‘อุปกรณ์เวทมนตร์’ ชิ้นนี้ และอธิบายวิธีที่ลูเซียนจะสามารถประทับตราวิญญาณของเขาลงในโครงสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ เพื่อประทับความเป็นเจ้าของ
“มงกุฎสุริยัน อุปกรณ์สื่อกลางเวทมนตร์ระดับเก้า ผนึกห้าชั้นที่ต้องคลายออก
เวทมนตร์สามารถใช้ได้วันละครั้ง ดังนี้
เวทมนตร์ระดับหนึ่ง ‘เวทพลังพิฆาตศักดิ์สิทธิ์’ (ผนึกอยู่) เวทมนตร์ระดับสอง ‘เวทต้านทานมรณะ’ (ผนึกอยู่) เวทมนตร์ระดับสาม ‘เวทลำแสงแผดเผา’ (ผนึกอยู่) เวทมนตร์ระดับสี่ ‘อาณาเขตมรณะ’ (ผนึกอยู่) เวทมนตร์ระดับห้า ‘เวทเพลิงพิฆาต’ (ผนึกอยู่) เวทมนตร์ระดับหก ‘เวทรัศมีปราบวิญญาณ’ (ผนึกอยู่) เวทมนตร์ระดับเจ็ด ‘เวทอัฐิวิญญาณ’ (ผนึกอยู่) เวทมนตร์ระดับแปด ‘เวทลำแสงตะวันฉาย’ (ผนึกอยู่) และเวทมนตร์ระดับเก้า ‘เวทปรปักษ์วิญญาณนิรันดร์’ (ผนึกอยู่)
ขึ้นอยู่กับระดับของผนึกที่ถูกปลดออก ผู้สวม ‘มงกุฎสุริยัน’ จะสามารถสวดมนต์ภาวนาให้ภูตผีวิญญาณเดินและปลดปล่อยวิญญาณพวกมันได้ และจะสามารถสัมผัสได้ถึงรอยแตกที่เชื่อมต่อระหว่าง ‘โลกหลัก’ กับ ‘โลกแห่งวิญญาณ’
‘มงกุฎสุริยัน’ เป็นปรปักษ์นิรันดร์ต่อภูตผีวิญญาณ
วัลโด · เค · มาสเคลีน”
ลูเซียนมองที่ม้วนกระดาษหนังแล้วต้องตะลึงงัน
รูปแบบของไม้กางเขนตรงกลางของ ‘มงกุฎสุริยัน’ ก็คือ ‘มหากางเขน’ บนท้องฟ้า และเวทมนตร์…
ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวของลูเซียนราวกับฉากในภาพยนตร์ ค่ำคืนที่ลูเซียนลงไปในท่อระบายน้ำกลับมาหาเขาอีกครั้ง
‘ตราสัจธรรม’ ของเบนจามิน…
เวทมนตร์ที่เบนจามินใช้…
ลูเซียนคิ้วขมวด ดวงตาของเขาเบิกโพลง
เวทมนตร์ทั้งหมดอยู่ในหมวดหมู่ ‘อาคมชั้นเทพ!’
นอกจากนี้ ตรงกลางของ ‘มงกุฎสุริยัน’ ก็เป็นรูปไม้กางเขน สัญลักษณ์ของสัจธรรม!
ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลย?!
……………………………………….