Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 125 ซุ่มโจมตี
ผู้คนที่นั่งอยู่ชั้นล่างค่อยๆ เงียบเสียงลง จนทั้งสองพี่น้องได้พักหูเสียที
“ขี้โม้ ขี้โม้… พวกนักเดินทางสวะ…” ลิลิธพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “พวกดีแต่กล้ามโตๆ แต่โชคร้าย ไม่มีสมองสักนิด”
“อย่าประเมินพวกเขาต่ำไป” ซาลาส่ายหน้า “หลายคนเคยสู้กับอสูรกายในป่าดำกับเทือกเขาแห่งความมืดมานานแล้ว น้องไม่น่าไปดูถูกพวกเขาอย่างนั้น”
ตอนกำลังพูด อยู่ๆ ดวงตาของเขาเบิกโพลง สีของเทียนซีดเผือด เหมือนกับสีของกำแพง สีบรรยากาศรอบตัวเริ่มหายไปทีละนิด เมฆหมอกบางๆ ลอยต่ำลงมาช้าๆ
มือของซาลาสัมผัสโต๊ะในห้องพักตอนที่เขาก้าวเท้าถอยหลังออกมา เขารู้สึกถึงได้ความชื้นของไม้ ราวกับว่าโต๊ะตั้งอยู่ตรงนั้นมาหลายพันปี
“วิ่ง!” ซาลาจับมือน้องสาวแล้วตะโกน “มีบางอย่างผิดปกติ!”
อย่างไรก็ตาม เสียงของเขาฟังดูเหมือนอยู่ไกลมาก ราวกับเสียงมันดังมาจากอีกโลกหนึ่ง ลิลิธท่าทางหวาดกลัวและสับสน คว้ามือของซาลา นางตามเข้าไป ทั้งสองเริ่มวิ่งลงบันได
นักเวทฝึกหัดทั้งสองกำลังออกวิ่ง พวกเขาหยิบสารประกอบเวทออกมาถือไว้ในมือแน่น เผื่อต้องร่ายคาถาเรียกเวทป้องกันตัวเอง หากจำเป็น
เมื่อทั้งสองวิ่งลงมาถึงชั้นล่าง โรงเตี๊ยมขนาดเล็กแห่งนี้ดูโกลาหลไปหมด ทุกๆ คนรวมถึงนักเดินทางที่โอ่อวดเรื่องความแข็งแกร่งมาตลอดทั้งคืน ยื้อยุดกันไปมาเพื่อแย่งกันออกจากโรงเตี๊ยมให้เร็วที่สุด
ดูแล้วไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะผ่านไปทางประตูได้ในตอนนี้ ซาลาดึงแขนน้องสาว ทั้งสองวิ่งไปทางประตูหลังของโรงเตี๊ยม
ถีบประตูหลังพังออก ซาลาและลิลิธเห็นว่าเมืองทั้งเมืองเกิดเรื่องผิดปกติและกลายเป็นสีเทา อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองต่างหลับใหลอยู่ในบ้านพักของตัวเอง พวกเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร ทั้งเมืองเงียบงัน
ซาลาและลิลิธเริ่มวิ่งไปยังทางออกสู่ ‘เมืองมัสซาวา’ อีกเมืองที่อยู่ติดกับ ‘เมืองบอนน์’ ทั้งที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าที่เมืองนั่นเป็นอย่างไร
เมื่อเขากำลังจะออกจากเมือง ซาลาและลิลิธพบนักเดินทางอีกสองสามคนที่กำลังวิ่งหนีไปในทางเดียวกัน
“มีอะไรแปลกๆ ที่ทะเลสาบเอลซินอร์!” นักเดินทางคนหนึ่งพูดกับคนอื่นๆ เสียงดัง “มันต้องเป็นมิติเวทมนตร์… มิติเวทมนตร์… กำลังถล่ม!”
ก่อนที่คนอื่นๆ จะทันได้ตอบ ลิลิธร้องออกมาและชี้ไปยังพวกนักเดินทางด้วยมือสั่นๆ “พวกเจ้า…”
ผิวของพวกเขาเริ่มกลายเป็นสีเทา บางส่วนถึงขั้นเน่าเฟะ อย่างไรก็ตาม ตัวนักเดินทางเองก็ดูสับสนมาก ราวกับพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง
เมื่อเห็นว่าดวงตาของพวกเขาเริ่มเลื่อนลอยดูไร้สติ ซาลาดึงแขนน้องสาวแล้วตะโกนลั่น “วิ่ง! อย่าหันหลัง!”
ซาลาและลิลิธวิ่งเร็วมากจนแทบหายใจไม่ทัน รสชาติของเลือดจ่อมาถึงคอหอยของพวกเขา
เมืองบอนน์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลายเป็นนรก
ในที่สุด ซาลาและลิลิธก็รู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมา หลังจากความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกำลังวิ่งฝ่าผ้าม่านหนาๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าที่จะหยุดพัก ทั้งสองยังคงวิ่งต่อไปยัง ‘เมืองมัสซาวา’ ไปให้ไกลจากเมืองที่น่าขนลุกนี้ ‘เมืองบอนน์’
…
“มิติเวทมนตร์…?!” อีเลีย นักบวชหลวงในชุดสีเงิน สังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในทันที เมื่อสีของทุกๆ รอบตัวอย่างเริ่มซีดลง “ไม่เหมือนกับที่ ‘ท่านเจ้ามหาลัทธิ’ บอกเรา!”
หลังจากนั้น เราออกคำสั่งกับนักบวชชั้นสูง นักบวชชั้นล่าง และอัศวินดำอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่มีเวลาเหลือสำหรับการสังเวยเลือด! มิติเวทมนตร์กำลังเปลี่ยน ยกเลิกการสังเวย เรียกทุกคนมารวมกัน! เราต้องใช้ ‘วงเวทอัญเชิญ’ เดี๋ยวนี้เพื่ออัญเชิญ ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ ของเรา!”
เมื่อได้รับคำฟัง นักบวชชั้นสูงหกรูปลอยขึ้นกลางท้องฟ้ากระจายตัวเป็นวงกลมรอบ ‘เมืองบอนน์’ และ ‘ทะเลสาบเอลซินอร์’ ส่วนนักบวชและอัศวินดำอีกสิบสองคนยืนอยู่บนพื้นในรูปแบบเดียวกัน ทุกคนเป็นสาวกลัทธิอาร์เจนต์ ฮอร์น ที่มีอยู่ในราชรัฐออร์วาริต บางคนปฏิบัติตามบัญชาของ ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ ของพวกเขามาไกลจากประเทศอื่น หรือแม้กระทั่งมาจาก ‘เทือกเขาแห่งความมืด’ เพื่อเป็นกำลังเสริม
อีเลียก็ลอยขึ้นเหนือ ‘ทะเลสาบเอซินอร์’ และเห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องตะลึง
ผิวน้ำของทะเลสาบกลายสภาพเป็นของแข็งภายในไม่กี่วินาที และทันใดนั้นก็แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย เหมือนกระจกแตกละเอียดจากพลังมหาศาลบางอย่าง ‘มหากางเขน’ เปล่งแสงสว่างจ้าอยู่ใต้ทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยของเหลวสีเลือดที่เคลื่อนไหวบิดเบี้ยวไปมาราวกับมีชีวิต
ผี วิญญาณแค้น และเงาดำมากมายกำลังส่งเสียงหวีดหวิวและกรีดร้อง ขณะลอยฉวัดเฉวียนวนไปมาอยู่เหนือทะเลสาบ ขณะที่พวกมันกำลังตะโกนกรีดร้องไปในทิศทางเดียวกัน คลื่นเสียงรวมตัวกันและกลายเป็นร่างของผีร้ายขนาดมหึมาโปร่งแสงในชุดสีดำยาวถือเคียวขนาดใหญ่อยู่ในมือ มันยืนตระหง่านอยู่เหนือของเหลวสีแดงเลือด ภายใต้หมวกคลุมหัว มีหลุมดำสองหลุมอยู่บนหน้าที่ดูเหมือนกะโหลก
แม้มีเวทมนตร์ต่างๆ คุ้มครอง อีเลียยังรู้สึกตัวสั่นพรั่นพรึงจากภาพที่เห็น ราวกับความอบอุ่นของการมีชีวิตอยู่ละทิ้งร่างกายเขาไปแล้ว
‘มหากางเขน’ พังทลายลงช้าๆ โลกหลักและโลกสีขาวดำกำลังทับซ้อนกัน
อีเลียยื่นมือซีดใหญ่ออกมา ทุกข้อนิ้วมีเดือยกระดูกแหลมๆ โผล่มา ส่องแสงมัวๆ
เขายกมือขึ้นกลางอากาศ อีเลียเริ่มร่าย ‘บทสวด’ ยาวเหยียดที่อาจทำให้ผู้คนกลายเป็นบ้าได้ เส้นพลังสีเงินหลายเส้นปรากฏออกมาจากตัวนักบวชและอัศวินดำที่ลอยอยู่กลางอากาศและยืนบนพื้น เชื่อมต่อกันรอบตัวอีเลีย สร้างวงเวทที่ซับซ้อน
เมื่ออีเลียร่ายเวทเสร็จ เขาตะปบมือขนาดใหญ่ของเขาลงตรงกลางวงเวท เส้นพลังสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดเข้าสวาปามมือข้างนั้นอย่างกับปากขนาดมหึมาของอสูรกาย
เมื่อประตูสีเงินค่อยๆ ปรากฏบนท้องฟ้า ‘มหากางเขน’ ข้างล่างเลือนหายไปเกือบหมด
ทันใดนั้น ลำแสงสว่างจ้าลุกเป็นเพลิงก็พุ่งตรงเข้ากลางประตูสีเงินลงมาจากตำแหน่งสูงด้านบนฟากฟ้า
สีดำและเทาหายไปในทันตา และทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยแสงจ้าศักดิ์สิทธิ์
ทันทีที่ผี วิญญาณแค้น และเงาดำสัมผัสกับแสงนั้น พวกมันก็สลายกลายเป็นไอ แม้แต่พวกผีดิบซากศพเดินได้ทั้งเมืองก็หลายเป็นเถ้าถ่านในทั้งที
นี่เป็นอาคมชั้นเทพ ระดับแปด ‘เวทลำแสงตะวันฉาย!’
“อะเมลตัน… กอสเซ็ตต์!?” อีเลียตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้…”
วีล่า อะเมลตัน พระคาร์ดินัลหญิง ลอยสูงขึ้นกลางอากาศ ในมือนางถือเหรียญตรากางเขนสลักรูปดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง และพระคาร์ดินัลกอสเซ็ตต์อยู่ข้างกายนาง
เคานต์ฮาร์ต ราฟาติ และเคานต์เฮย์เวิร์ด ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ‘กองอัศวินไวโอเล็ต’ และยังมียศ ‘อัศวินทองคำ’ รวมถึงอัศวินอาภาอีกสองนายก็อยู่ที่นั่น
อีกฟากหนึ่ง ซัลวาดอร์ หรือ ‘ผู้คุมกฎ’ และคลาวน์ หัวหน้ากองผู้พิทักษ์ราตรี ก็กำลังนำ ‘กองกำลังผู้พิทักษ์ราตรี’ เข้าปิดล้อมพื้นที่ทั้งหมด
บุคคลผู้ทรงพลังที่สุดในราชรัฐกว่าครึ่งหนึ่งมารวมตัวกันที่นี่ในคืนนี้
“เป็นไปไม่ได้?” วีล่าเก็บเหรียญตราชั้นเทพระดับแปดกลับ นางพูดกับอีเลียอย่างเยือกเย็น “เราซุ่มรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว”
แม้ว่าอีเลียรู้ดีว่า ‘ศาสนจักร’ จะส่งคนมาสืบสวนเหตุการเปลี่ยนแปลงผิดปกติที่เกิดขึ้นรอบทะเลสาบในช่วงนี้ แต่เขาไม่คิดว่าการซุ่มโจมตีจะเต็มไปด้วยบุคคลที่ทรงพลังขนาดนี้
“ใครหักหลังเรา!?” อีเลียกำหมัดแน่น แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏบนหน้า “หาก ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ ไม่เสด็จมา คืนนี้ เราทั้งหลายจะตายกันหมดด้วยน้ำมือของพลังที่ผนึกไว้ หรือแย่กว่านั้น เราทุกคนจะถูกจับเป็นเชลย”
…
ท่ามกลางความรกร้าง ณ บริเวณทางแยกระหว่าง ‘ป่าดำเมลเซอร์’ กับ ‘เทือกเขาแห่งความมืด’
“ลูเซียน ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” นาตาซาถามลูเซียนด้วยความสับสนงุนงง เสียงของนางสั่นเล็กน้อย
ลูเซียนมองสำรวจชุดสีดำที่เขาสวมอยู่และตระหนักว่าเขาต้องบอกความจริงอย่างน้อยบางส่วนกับนาตาซา “กระหม่อมพบความลับของมิติเวทมนตร์จากบทกวีของเดโรนี และม้วนเอกสารโบราณที่มีคนแปลกหน้าสองคนนำมาให้กระหม่อมอ่านตีความ” ลูเซียนหยุดพูดพักหนึ่งก่อนเล่าต่อ “พระองค์รู้จักกระหม่อมดี กระหม่อมอยากแข็งแกร่ง อยากมีพลังมากขึ้นเพื่อปกป้องสหายและครอบครัว กระหม่อมตัดสินใจลองเสี่ยงดู เผื่อว่าจะเจอยาวิเศษในมิติเวทมนตร์”
นาตาซาขมวดคิ้ว
“ทันทีที่กระหม่อมเดินทางมาถึงเมืองบอนน์ กระหม่อมถูกดูดลงไปในหลุมลึกลับ ทั้งโลกภายในหลุมเป็นสีขาวดำ กระหม่อมเกือบตายอยู่ในนั้น กระหม่อมถูกพวกซากศพเดินได้และต้นไม้ปีศาจไล่ล่า ข้าเจอรูโหว่เลยกระโดดเข้ามา แล้วกระหม่อมก็มาโผล่ที่นี่… มันแปลกมากพะยะค่ะ”
“ข้าพอเห็น… ประโยชน์จากการประวัติศาสตร์บ้างแล้วล่ะ จริงไหม?” นาตาซายิ้มแบบหมดเรี่ยวแรง แม้นางไม่เชื่อคำพูดของลูเซียนเสียทีเดียว ในความคิดของนางคิดว่าหากถามมากไปกว่านี้ก็คงไม่มีประโยชน์กับใครในสถานการณ์แบบนี้
“เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ พะยะค่ะ? แล้วท่านหญิงคามิลไปไหน?” ลูเซียนถาม
นาตาซาตาละห้อยและดูเศร้าสร้อย “ข้าได้ข่าวเกี่ยวกับมิติเวทมนตร์เมื่อวานก่อน ด้วยความสงสัย ข้าตัดสินใจมาที่ทะเลสาบเอลซินอร์เพื่อสำรวจ แต่พวกเราถูกซุ่มโจมตี ความสงสัยของข้าพาพวกเรามาติดกับดัก…”
“อะไรนะพะยะค่ะ?” ลูเซียนถึงกับตกใจ
“เพื่อถ่วงเวลาให้ข้าหนี ท่านป้าคามิลคอยอยู่คุ้มกันข้า นางกำลังสู้กับอัศวินอาภาและนักเวทระดับสูง…”
“ใครซุ่มโจมตีพระองค์?” ตาของลูเซียนเปิดกว้าง
นาตาซาดูเศร้ามาก ตอนที่นางกำลังจะตอบ กองทหารกองหนึ่งก็เดินทัพมาถึงและเข้าล้อมกรอบทหารของนาตาซาและลูเซียน
ลูเซียนแหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นเวอร์ดี้นั่งอยู่บนหลังม้าหน้าตาประหลาดที่มีเขาแพะคู่หนึ่งอยู่บนหัว ซิลเวียอยู่ข้างกายเวอร์ดี้ ท่าทางเศร้า อย่างไรเสียพ่อของนางไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“ญาติผู้น้อง โปรดยอมแพ้เสียเถิด” เวอร์ดี้สวมชุดเกราะสีม่วงเข้ม “สายไปแล้วที่ ‘ศาสนจักร’ หรือ ‘กองอัศวินไวโอเล็ต’ จะมาช่วยชีวิตเจ้าได้”
……………………………………….