Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 145 การทดลองของฮันต์
เมื่อชิ้นเนื้อเน่าเปื่อยและแขนขาของฮันต์ถูกเผาวอด รูปร่างที่แท้จริงของเขาก็เผยออกมา ขาทั้งสองและแขนหนึ่งข้างหายไป แต่ดวงตาของเขาดูเหมือนดวงตาของคนปกติอีกครั้ง
ฮันต์ครวญคราง ลากร่างพร้อมอวัยวะส่วนต่างๆ ที่ยังคงถูกไฟเผาไปหาเคลีน
ลูเซียนหยิบหลอดแก้วบรรจุเถ้าสีขาวแล้วยื่นให้เคลีน แล้วก็อุ้มนางขยับเข้าใกล้สามี
“นี่มัน…” เคลีนใจเต้นรัว นางรู้สึกคุ้นเคยกับเถ้าในหลอดเล็กๆ นั่นอย่างน่าประหลาดใจ แล้วน้ำตาไหลก็อาบแก้ม
“นั่น… แมรี่ใช่ไหม?” ฮันต์เสียงสั่นเพราะทั้งเจ็บปวดและตกใจ “เคลีน… นั่นแมรี่…. ลูกสาวเรา…”
“แมรี่ถูกขังอยู่ในมิติเวทมนตร์ ก่อนนางจะตาย นางขอให้ข้าช่วยพากลับบ้าน”
ลูเซียนอธิบายสั้นๆ เขาไม่ได้เล่าว่าแมรี่ใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายในโลกแห่งวิญญาณอย่างไร ซึ่งที่นั่นไม่มีอาหาร ไม่มีสีสัน ไม่มีชีวิตใดๆ มันมากเกินกว่าคนเป็นพ่อแม่จะรับไหว
ปากฮันต์ขยับเล็กน้อยแต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา แล้วเขาก็น้ำตาปล่อยโฮ
“มิติ… เวทมนตร์…” ฮันต์ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ซึ่งไม่ใช่ที่ร่างกาย แต่เป็นที่จิตใจ “ข้ารู้ว่าเป็นมิติเวทมนตร์…มันกลืนกินชีวิตข้าไปมากกว่ายี่สิบปี และพรากแมรี่ไปจากข้าด้วย”
ลูเซียนยังคงนิ่งเงียบ เขารู้สึกว่าฮันต์รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการที่แมรี่หายตัวไป แล้วข้อสงสัยของเขาก็ถูกต้อง
เคลีนสะอึกสะอื้น นางดึงจุกหลอดแก้วออก โรยเถ้าของแมรี่บนอก แล้วเอาเถ้าที่เหลือกรอกใส่ปาก จากนั้นก็กอดสามีแน่น ไฟที่แผดเผาร่างของฮันต์ก็เผานางด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณ อีวานส์ อย่างน้อยพวกเราก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันก่อนตาย” เคลีนบอก นางก็กอดศีรษะสามีแล้วจูบหน้าผากเขาด้วยริมฝีปากเปื้อนเถ้าของแมรี่
ลูเซียนรู้สึกหนักอึ้งเมื่อมองดูคู่สามีภรรยาอยู่ในเปลวไฟ เขาพูดอะไรไม่ออก
“เรา… เราน่าจะพาแมรี่มาด้วย… เราไม่น่าอยู่ที่บอนน์เลย… เราน่าจะ… กลับไปที่จิบูตี… บ้านเกิดของข้า” ฮันต์กอดเคลีน เขากำลังจะตาย
“ข้ารักเจ้ามาตลอด รักเสมอ” เคลีนบอกเขา “ข้ารักเจ้าและลูกของเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน” นางบอกเสียงเบา
“ข้า… ก็เหมือนกัน” ฮันต์เริ่มไม่รู้สึกตัวแล้ว “ข้าไม่น่า… ศึกษา… เวท…”
เขาไม่อาจถ่ายทอดความรู้สึกเสียใจได้จบ เคลีนหลับตาและกอดเขาแน่น แล้วปลิดชีวิตตัวเองด้วยมีดเล่มเล็กๆ ที่พกไว้ในชุด
….
เมื่อทั้งสองร่างถูกเผาจนวอด ก็มีลมเย็นพัดควันไปวูบหนึ่ง ปรากฏแสงสีขาวบนท้องฟ้า แล้วแสงเหล่านั้นก็มารวมกัน
ร่างของเด็กหญิงตัวน้อย แมรี่ ปรากฏบนท้องฟ้ายามค่ำคืน นางยังคงน่ารักสดใส
ฮันต์กับเคลีนยืนอยู่ข้างหลังนาง แต่ร่างของพวกเขาเลือนราง
ปากของแมรี่ขยับเงียบๆ มีเพียงลูเซียนเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณที่พาข้ากลับบ้าน ในที่สุดข้าก็ได้พบพ่อแม่เสียที”
ร่างของทั้งสามก็กลายเป็นแสงอีกครั้งแล้วหายไปกับสายลม ในขณะเดียวกัน มีแสงปรากฏรอบๆ มือซ้ายของลูเซียนและสัญลักษณ์รูปหยดน้ำตาสีขาวบนแสงนั้นก็มาอยู่บนมือเขา
ลูเซียนยังใช้เวทต้านมรณะป้องกันตัวเองอยู่ แต่เขาก็ยังถูกโอบล้อมด้วยก๊าซที่ปล่อยมาจากฝูงศพซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญลักษณ์นั้นปรากฏบนมือของลูเซียน เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
มันคือของขวัญจากครอบครัวนั้น สิ่งนี้จะช่วยคุ้มกันเขาจากอันตรายต่างๆ ของพวกผีดิบได้ประมาณหนึ่ง
ลูเซียนตัดสินใจตามหาห้องทดลองศาสตร์มืดของฮันต์เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเวทมนตร์ของศาสตร์มืดเพิ่มเติม จากที่เคลีนพูดไว้ มันต้องอยู่ในสุสานแน่นอน
“พวกเจ้าจัดการพวกหุ่นเชิดศพที่เหลือในปราสาทนะ!”ลูเซียนหันไปตะโกนบอกเบ็ตตี้ โจแอนนา และไซม่อนซึ่งอยู่ข้างบน “ข้าต้องไปดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรชั่วร้ายหลงเหลืออยู่ในห้องทดลองของนักเวทศาสตร์มืดนั่น!”
“ได้เลย อีวานส์!” ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน พวกเขามองว่าลูเซียนเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้แข็งแกร่งซึ่งมีหน้าที่กำจัดนักเวทชั่วร้ายทั่วทั้งทวีป
ถึงแม้ลูเซียนแน่ใจว่าทั้งสามคนนั้นไม่มีใครแยกออกว่าเวทมนตร์กับพลังศักดิ์สิทธิ์ต่างกันอย่างไร แต่เขาตัดสินใจว่าจะตรวจสอบจิตใจของพวกเขาทีหลังโดยใช้เวทลวงใจคนเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เมื่อต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริง เขาจะประมาทไม่ได้
….
ในสุสานที่กำลังไฟลุกไหม้ ประตูห้องทดลองนั้นเปิดอยู่ ดูเหมือนว่าเมื่อฮันต์ทดลองสำเร็จ เขาก็วิ่งออกไปนอกห้องเพื่อบอกข่าวดีแก่เคลีนทันที
ถึงแม้ลูเซียนจะเตรียมใจมาบ้างแล้วว่าอาจจะเจออะไรในห้องนี้ แต่เมื่อเข้ามาแล้วเขาก็แทบอาเจียน เพราะทั้งห้องดูเหมือนโรงฆ่าสัตว์ มีศพมนุษย์หลายศพนอนเกลื่อน ส่วนมากเป็นทารก เด็กเล็กๆ และเด็กวัยรุ่น ศพพวกนั้นถูกตัดเป็นชิ้นๆ อวัยวะวางแยกเป็นประเภทไว้บนโต๊ะสำหรับการทดลอง
โต๊ะของฮันต์อยู่ข้างโต๊ะสำหรับการทดลอง ผิวหน้าโต๊ะแกะสลักเป็นรูปต้นไม้กลับหัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวิชาศาสตร์มืดที่รู้จักกันดี นั่นคือ ต้นไม้แห่งชีวิตกลับหัว มีกิ่งไม้สิบกิ่ง แต่ละยอดมีวงกลม แต่ไม่มีอะไรอยู่ในวงกลมนั้น
มีอะไรบางอย่างที่ลูเซียนคิดว่าเป็นกล่องธรรมดาๆ เมื่อมองแวบแรก แต่ปรากฏว่ามันคือโลงศพขนาดเล็ก
หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด ลูเซียนก็เปิดโลงศพออก เขาตกตะลึงมากเมื่อเห็นว่าเป็นแมรี่อยู่ข้างใน ร่างของแมรี่ในโลงนั้นดูแล้วมีอายุราวเจ็ดหรือแปดขวบ แก้มของนางแดงเรื่อๆ ราวกับว่านางแค่นอนหลับเท่านั้น ลูเซียนแตะหน้านางเบาๆ ผิวนางยังอ่อนนุ่ม
ลูเซียนแน่ใจว่าร่างจริงๆ ของแมรี่ถูกเขาเผาไปเรียบร้อยแล้ว เขารู้แล้วว่าการทดลองของฮันต์คืออะไร จุดประสงค์ของฮันต์ที่เก็บรวบรวมศพทารกและเด็กก็คือเขาจะสร้างร่างคนขึ้นมาใหม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาทำไม่สำเร็จ
ลูเซียนรือค้นทั่วห้อง เขาเจอหนังสือสองเล่มที่มุมห้อง เล่มหนึ่งเหมือนเป็นบันทึก ส่วนอีกเล่มหนึ่งค่อนข้างหนา ซึ่งหน้าปกเขียนไว้ว่า ตำราว่าด้วยศาสตร์มืด
ลูเซียนพลิกหน้าหนังสือทั้งสองเล่มอย่างเร็วๆ เขาบันทึกข้อมูลลงในห้องสมุดจิต จากนั้นก็เริ่มอ่านบันทึกของฮันต์อย่างตั้งใจ
“จากข้อมูลบนหอเวทมนตร์ บอนน์ เมืองเล็กๆ ในโอวาริต เป็นส่วนหนึ่งของซากเมืองเวทมนตร์ลึกลับซึ่งถูกป้องกันไว้โดยมิติเวทมนตร์ และเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องสถานที่อยู่ของอาร์ชเมจในตำนานหลายคน หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนสนิทของวิลเฟรด นักเวทศาสตร์มืดที่มีชื่อเสียง นั่นก็คือ วัลโด เค มาสเกลีน ศาสดาพยากรณ์ พนันได้เลยว่ามีวัตถุเวทมนตร์และขุมสมบัติมากมายมหาศาล!”
…..
“บอนน์สวยกว่าที่ข้าคิด คนที่นี่เป็นมิตรและหัวโบราณ และหญิงสาวที่ชื่อเคลีน… นางสง่างามมาก”
….
“ทำไมข้าหามิติเวทมนตร์ไม่เจอนะ? มันเป็นมิติเวทมนตร์แบบไหนกัน? ข้าสงสัยว่ามาสเกลีนเป็นคนสร้างขึ้นมาเองหรือเปล่า”
….
“ข้าไม่เจอร่องรอยอะไรเลย แม้แต่จากภูมิหลังของผู้อยู่อาศัยในเมืองที่สาบสูญนี้ คงถึงเวลาที่ข้าต้องรามือเสียแล้ว แต่ข้าก็ไม่อยากพานางไปจากบอนน์ บางที… บางทีข้าควรจะบอกนางเรื่องตัวตนที่แท้จริงของข้า”
…..
“ข้ามีลูกสาวแล้ว ข้าเป็นพ่อแล้ว! เคลีนกับข้าอยากจะตั้งชื่อนางว่าแมรี่ ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องเวทมนตร์ของศาสตร์มืดเท่าไหร่ ไม่สนใจการทดลองที่มัสเคลินย์กับวิลเฟรดทำด้วยกัน กระทั่งมิติเวทมนตร์หรืออะไรเทือกนั้นอีกแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเมียของข้ากับลูกสาวตัวน้อย!”
…
“แมรี่หายไปสามวันแล้ว ข้าแน่ใจว่าข้าฆ่าพวกสัตว์ร้ายในบริเวณนี้หมดแล้ว ข้านึกไม่ออกเลยว่าลูกจะหายไปไหน…ข้าไม่รู้… เป็นเพราะมิติเวทมนตร์รึเปล่านะ? เป็นไปไม่ได้…ผ่านมาหลายปีแล้วนะ…มันน่าขันสิ้นดี!”
….
“แมรี่ของพ่อ เจ้าอยู่ที่ไหน? เราคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ได้โปรด…ได้โปรดกลับมาเถิด พ่อขอร้อง..”
….
“เคลีนร้องไห้ทุกวัน ข้าคิดว่าเราต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ข้าต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้เพื่อศึกษาพลังศาสตร์มืดอีกครั้ง จะได้รู้ว่าเราจะหาแมรี่เจอหรือไม่ ถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับนาง…ข้าจะพยายามชุบชีวิตนางขึ้นมา”
…..
“ในที่สุดท่านบารอนแห่งเมืองฟ็อกทาวน์ ก็ฆ่าลูกชายเพื่อยืดอายุขัยตัวเอง! ตอนนี้เราทั้งคู่ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เขาจะคงความอ่อนเยาว์ไปได้อีกหลายปี ส่วนข้าก็สามารถลงมือทดลองได้!”
….
“ทำไมตัวข้าเริ่มมีกลิ่นเหมือนศพ? นี่เป็นการแก้แค้นของคนตายหรือ? ข้าได้ยินเสียงร้องไห้อันขมขื่นตลอดเวลา… ข้าต้องรีบแล้ว… เมื่อข้าได้เป็นนักเวทศาสตร์มืดระดับกลาง ความเจ็บปวดในร่างกายจะไม่รบกวนข้าอีกต่อไป!”
….
“ข้าทำไม่สำเร็จ… นักเวทศาสตร์มืดระดับ 3 เป็นเป้าหมายที่ข้าไปไม่ถึง ข้าปล่อยให้ร่างกายเน่าแบบนี้ไม่ได้ บางทีข้าควรจะลองพิธีกรรมที่บันทึกไว้ในหนังสือชื่อการเย็บศพ และข้าควรจะเริ่มประกอบร่างแมรี่ขึ้นมาด้วย”
….
“การประกอบร่างแมรี่นั้นใช้เงินมาก และข้าก็ใช้เงินไปหมดแล้ว ถึงแม้จะไม่อยากทำ แต่ข้าก็ต้องเอาวัตถุเวทมนตร์ไปจำนำเพื่อที่จะได้ทดลองต่อ อย่างไรก็ตาม… ถ้าข้าประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนตัวเองเป็น ‘มนุษย์ร่างประกอบ’ ข้าก็จะสามารถใช้เวทมนตร์ระดับที่ 3 ได้เลยโดยไม่ต้องใช้วัตถุเวทมนตร์อีกต่อไป
….
“เขาส่งบัตรเชิญมาให้ข้า กล่าวถึงงานฉลองความตาย…สภาเวทมนตร์ บางทีข้าควรจะไปถ้าพิธีกรรมของข้าประสบความสำเร็จ แต่ปราสาทคาเรนเดียอยู่ที่ไหนกัน? ข้าต้องเขียนจดหมายไปถาม”
….
“ท่านบารอนละโมบขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เป้าหมายของท่านไม่ใช่เด็กๆ ในดินแดนของท่านเท่านั้น ท่านกำลังหาศพของอัศวินที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์มาเปลี่ยนร่างกับตัวเอง เขาคิดอะไรอยู่นะ? คิดเหรอว่าการหาอัศวินแบบนั้นเป็นเรื่องง่ายน่ะ? เหลวไหล…เมื่อการทดลองของข้าเสร็จสมบูรณ์ ข้าจะพาเคลีนกับแมรี่ไปจากเมืองฟ็อกทาวน์ก่อนที่การกระทำของบารอนไปสะกิดศาสนจักรเข้า”
….
“ปราสาทคาเรนเดีย… ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะอยู่ที่นั่น เข้าไปในภูเขาลึกที่ชื่อว่าอารอน ใกล้กับคอร์ซอร์ น่าสนใจดี ข้าสงสัยว่าทำไมเขาเลือกตรงนั้น”
ข้อมูลที่เจอทำให้ลูเซียนประหลาดใจมาก เขาไม่คิดว่าจะรู้ที่ตั้งของปราสาทจากบันทึกของฮันต์ และบัตรเชิญก็คั่นอยู่ที่หน้านั้นด้วย
บันทึกที่เหลือ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับพิธีกรรมเย็บศพ และการบันทึกกระบวนการประกอบร่างแมรี่ สถิติและบันทึกเป็นสิ่งมีค่าสำหรับลูเซียน
ลูเซียนหยิบหนังสืออีกเล่ม ตำราว่าด้วยศาสตร์มืด แล้วเปิดดูคร่าวๆ หนังสือเล่มนี้ถูกทิ้งไว้โดยนักเรียนคนหนึ่งของวิลเฟรด นักเวทศาสตร์มืดในตำนาน เนื้อหาส่วนใหญ่คือเวทมนตร์ของศาสตร์มืดและพิธีกรรมต่างๆ ที่วิลเฟรดเป็นผู้สอน แต่มันก็ไม่มีอะไรที่บอกว่าวิลเฟรดก้าวหน้าได้อย่างไร และทำให้เขาเป็นอาร์ชเมจระดับตำนาน เป็นที่นับถือในฐานะ ’ปรมาจารย์แห่งร่างไร้ชีวิต’ ซึ่งนับว่าเป็นโชคไม่ดีสำหรับลูเซียน
ลูเซียนไม่พบของอื่นๆ ที่มีค่า เขาหยิบบัตรเชิญติดตัวไปด้วยแล้วออกจากห้องทดลอง แล้วจัดการเผาห้องนั้นทิ้ง
ลูเซียนมองเปลวไฟแผดเผาร่างทั้งหมดจนเป็นเถ้า รวมถึงแมรี่ด้วย เขาค่อยๆ หันหลังกลับ แล้วความคิดต่างๆ ก็ผุดขึ้นในหัว “พวกนักเวทศาสตร์มืดสมัยโบราณเชื่อกันว่าศพของมนุษย์ที่ตายก่อนเป็นผู้ใหญ่ นั้นดีที่สุดและเป็นวัตถุดิบที่บริสุทธิ์ที่สุดสำหรับการประกอบพิธีกรรมและร่ายเวทของศาสตร์มืด นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบารอนจึงหลงใหลร่างเด็กๆ นัก
“แต่ทำไมมาสเกลีนนักเวทโหราศาสตร์ในตำนาน ถึงทำการทดลองร่วมกับวิลเฟรด ปรมาจารย์แห่งร่างไร้ชีวิต จากวิชาศาสตร์มืดล่ะ? ดูเหมือนว่าเป็นการทดลองที่ลึกลับและมีความสำคัญเสียด้วยสิ…”
……………………………………….