Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 148 การตรวจสอบจากทางศาสนจักร
ไวเคานต์คาเรนเดียมองลูเซียนด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลากระจ่างใส “ศาสตราจารย์ พลังชีวิตแสนอ่อนเยาว์ในร่างกายท่านน่ะ ข้าไม่มีทางมองพลาดไปหรอก ฮ่าๆ นับแต่ที่ท่านดักลาสกำหนดนิยามของคำว่าอาร์คานาขึ้น สภาเวทมนตร์ก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาว เป็นเรื่องน่าอิจฉาเสียจริงที่มีคนหนุ่มผู้แข็งแกร่งมาสานต่ออยู่เนืองๆ”
ลูเซียนจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของอีกฝ่ายแล้วลอบคิดในใจ ‘แถวนี้ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับแวทไพร์และนักเวททมิฬค่อนข้างโด่งดัง คนคนนี้รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตของคนอื่น หรือว่าเขาจะเป็นแวมไพร์ผู้แข็งแกร่งกันนะ’
แต่ภายนอก ลูเซียนกลับยิ้มแย้มนิ่งๆ แล้วตอบไปว่า “ความจริงแล้ว ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามท่านฟิลิปมาก่อนเลย และข้าเองก็ตั้งตาคอยที่จะได้พบกับเขา แต่ข้ามีธุระหลายอย่างที่ต้องสะสาง เกรงว่าข้าคงจะมาที่นี่ล่วงหน้าหนึ่งวันไม่ได้ขอรับ” ความคิดของฟิลิปที่มีต่อ ‘ศาสตราจารย์’ นั้นยากจะคาดเดา ลูเซียนจึงคิดจะมาร่วมงานฉลองความตายแล้วสืบหาตัวผู้ประสานงานในเมืองสเติร์กจากการพูดคุยกับนักเวทที่มาร่วมงานคนอื่นๆ ดีกว่า
“น่าเสียดายจริงๆ ท่านศาสตราจารย์ และนี่คือจดหมายเชิญของท่าน” ไวเคานต์คาเรนเดียรับจดหมายมาจากพ่อบ้านนี้ด
เนื้อหาในจดหมายเชิญนั้นเหมือนกันกับของฮันต์และนักเวทฝึกหัดเป๊ะๆ เว้นแต่ว่าสัญลักษณ์เปลี่ยนเป็นหมวกทรงสูงสีดำ ลูเซียนมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บไป จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม “ขอบพระคุณอย่างยิ่งขอรับ ท่านไวเคานต์ ข้าจะไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านต่อแล้ว ขอตัวก่อนนะขอรับ”
“จริงๆ แล้วข้าเพิ่งจะเริ่มวันใหม่แสนสดใสต่างหากเล่า” ไวเคานต์คาเรนเดียยกมือขึ้นกุมหน้าผาก “คงจะน่าเสียดายมากหากท่านศาสตราจารย์เต็มใจจะอยู่ต่อเพื่อพูดคุย เพราะข้าไม่สะดวกจะรับรองท่านเท่าใด ข้าขอให้ท่านเดินกลับโดยสวัสดิภาพภายใต้แสงจันทร์สีเงินนี้”
พ่อบ้านนี้ดเดินนำลูเซียนกลับออกไปจากปราสาทแล้วกลับมายังห้องทำงาน ใบหน้าแก่ชราของเขาฉายความไม่เข้าใจเล็กน้อย “นายท่านขอรับ เหตุใดท่านจึงอยากให้เขามาร่วมงานฉลองความตายหรือขอรับ ท่านมั่นใจจริงๆ หรือว่านั่นคือศาสตราจารย์น่ะขอรับ”
ไวเคานต์คาเรนเดียเดินไปยืนตรงหน้าต่าง มองออกไปยังทะเลสาบแสนงดงามราวกับภาพฝันท่ามกลางความมืดด้านนอก ก่อนจะหัวเราะออกมา “แน่นอน นี้ด เจ้าไม่เห็นแหวนบนนิ้วชี้ข้างซ้ายของศาสตราจารย์หรอกหรือ แม้ว่าสภาพมันจะผุพัง และศาสตราจารย์คงจะตั้งใจซ่อนสัญลักษณ์ที่สลักเอาไว้ แต่ตัวแหวนที่ทำขึ้นจากโลหะผสมธาตุทั้งเจ็ดนี้มีแต่สำนักเวทมนตร์โฮล์มรอยัลกับ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ เท่านั้นที่มีในครอบครอง ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์จะเป็นตัวแทนของทั้งสององค์กรนี้นะ”
พ่อบ้านนี้ดยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม “เช่นนั้น นายท่าน เหตุใดจึงยอมให้เขามาร่วมงานฉลองความตายกันเล่า ‘เจตจำยงแห่งธาตุ’ กับ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’…”
“น่าตื่นตาตื่นใจดีไม่ใช่หรือ และคล้ายกับว่าเขาจะมีกลิ่นที่ข้าคุ้นเคยชอบกล…” ไวเคานต์คาเรนเดียยิ้มกว้างขณะเอ่ยขัดพ่อบ้านนี้ด แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อะมอเรส เจ้ารู้สึกอย่างไรกับเวทมนตร์พิเศษเมื่อครู่นี้”
เสียงแตกๆ เรียบเฉยพลันดังขึ้นจากอากาศรอบๆ “ดูเหมือนจะเป็นเวทมนตร์แห่งเสียงที่ใช้แรงสะท้อนกลับในการปรับเปลี่ยนคลื่นความถี่อย่างต่อเนื่อง และคลื่นความถี่ก็พิเศษมากทีเดียว มันทำให้ข้ารู้สึกคันนิดๆ”
…
การใช้วิธีปิดบังร่องรอยที่ได้เรียนรู้จากนาตาซา ทำให้ลูเซียนต้องใช้เวลามากกว่าชั่วโมงครึ่งก่อนจะกลับมาถึงปราสาทของบารอนฮาเบโร แล้วจากนั้นจึงใช้เวท ‘อาณาเขตความมืด’ เพื่อหลบลอดจากสายตาไซม่อนที่เฝ้ายามอยู่และตรงไปยังห้องนอนของเขา
เวท ‘อาณาเขตความมืด’ คือเวทมนตร์ที่จะสร้างอาณาเขตความมืดรูปแบบพิเศษขึ้นมา คนที่อยู่ในอาณาเขตจะมองออกมาข้างนอกได้ชัดเจน แต่คนด้านนอกจะมองฝ่าอาณาเขตความมืดนี้เข้ามาไม่ได้
หลังจากล้มตัวลงนอนบนเตียง ลูเซียนก็ถอดแหวนที่มีสัญลักษณ์ ‘โม’ ออกแล้วเก็บซ่อนไว้ จากนั้นเปลวไฟเล็กๆ ก็ผุดขึ้นมาบนปลายนิ้วของเขาและเผาจดหมายเชิญของฮันต์ เขารออยู่เงียบๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาจึงหลับพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลัง
เช้าวันต่อมา หลังจากเพิ่งกินมื้อเช้า คณะเดินทางก็กลับมาอยู่บนถนนอีกครั้งตามคำรบเร้าของไวส์และมาร์ส
ครั้งนี้ลูเซียนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง บางคราก็จะช่วยฝึกฝนเบ็ตตี้ในเรื่องของการระวังภัยและการโจมตีตามวิถีอัศวิน วิธีการเหล่านี้เขาได้มาจากคำบอกเล่าของจอห์นและคำชี้แนะจากนาตาซาเป็นครั้งคราว
การฝึกฝนแสนจริงจังและน่าเบื่อของอัศวินทำให้เบ็ตตี้ โจแอนนา และไซม่อนรู้สึกไม่สบายใจในทีแรก แต่เมื่อคิดถึงนักเวทศาสตร์มืดไร้ความเป็นมนุษย์กับความเก่งกาจทรงพลังน่าอิจฉาของท่านอีวานส์แล้ว พวกเขาก็กัดฟันฝึกฝนต่อไป
นักผจญภัยทั้งสามหยุดฝึกฝนก็เมื่อพวกเขามองเห็นเมืองหมาป่าในเช้าตรู่วันถัดมา
ไซม่อนพูดกับลูเซียนเบาๆ ด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย “หลังจากรายงานเรื่องนี้ให้กับทางศาสนจักรทราบ ตำนานอัศวินผู้กล้าของท่านบารอนฮาเบโรก็จะถูกแทนที่ด้วยเรื่องเสื่อมทราม ช่างเป็นจุดจบที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
“ใช่ แต่สิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจยิ่งกว่าก็คือผู้บริสุทธิ์มากมายที่ต้องสังเวยชีวิต” ลูเซียนไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยกับตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับบารอนฮาเบโร จึงไม่ค่อยเข้าใจสภาพอารมณ์ของไซม่อนกับโจแอนนาเสียเท่าไหร่ แม้ว่าเขาจะได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดและได้รับฟังคำสารภาพจากปากชายชราผู้นั้นก่อนเสียชีวิต ลูเซียนก็ยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่เขาจะต้องเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสูงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ตอนยังหนุ่มแน่น มิเช่นนั้น หลังจากที่เขาแก่ตัวลง และความทรงจำกับพลังชีวิตน้อยลง เขาคงทำได้เพียงเฝ้ามองผิวหนังของตนเองแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา
…
สามชั่วโมงต่อมา
ภายในห้องสารภาพบาปของศาสนจักรประจำเมือง อาร์โนลด์ บิชอปขั้นที่สามกำลังตรวจสอบเอกสารแสดงตนในมือ ก่อนจะแย้มยิ้ม “ข้าไม่คิดเลยว่านักดนตรีผู้มากความสามารถอย่างลูเซียน อีวานส์ จะเป็นอัศวินผู้ทรงพลังอีกด้วย ข้าประหลาดใจจริงๆ”
ก่อนหน้านี้ เขาขอให้ลูเซียนเล่นเพลง ‘ทุกข์ทน’ ในศาสนจักร ซึ่งลูเซียนก็บรรเลงออกมาได้ดีกว่ามาตรฐานนักดนตรีทั่วไปและทำให้เขาเชื่อ ตอนนี้เขาจึงไม่นึกสงสัยอะไรหลังจากได้ตรวจสอบเอกสารเพื่อยืนยัน
ลูเซียนส่ายหน้า “ข้าพึ่งพาน้ำยาที่ได้รับจากฝ่าบาทเพื่อปลุกพรในสายเลือดขึ้น ข้าจึงไม่ใช่อัศวินที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นข้าคงจะได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นขุนนางไปแล้วขอรับ”
“โอ้ หากไม่ใช่ด้วยเหตุนี้ มันคงจะเป็นชื่อเสียงดีงามไม่น้อยหากข้าจะถูกขนานนามว่าเป็นนักดนตรีและอัศวินมากสามารถ คงไม่จำเป็นต้องปิดบังอันใด ครั้งนี้ข้าอาจสังหารบารอนฮาเบโรกับนักเวทศาสตร์มืดได้ก็จริง แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาวุธวิเศษและอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ได้รับมาจากฝ่าบาทต่างหากขอรับ”
“พระเมตตาขององค์หญิงนาตาซานั้นทำให้เราทุกคนริษยาท่านจริงๆ” อาร์โนลด์ตอบด้วยสีหน้าแฝงความนัย อุปกรณ์เวทมนตร์สองชิ้น อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้น และอาวุธวิเศษอีกสองชิ้น ทั้งหมดนี้เทียบได้กับของสะสมของไวเคานต์สแตนลีย์เลยทีเดียว ข่าวที่ว่าลูเซียน อีวานส์ เป็นคนรักลับๆ ของเจ้าหญิงนาตาซาจากเขตการปกครองแห่งออร์วาริตนั้นถูกต้องแล้ว เขาลอบคิดในใจ ‘เหตุใดข้าถึงไม่โชคดีเช่นนี้บ้างนะ ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าองค์หญิงนาตาซาเป็นหญิงงามแสนล้ำค่าเลยทีเดียว’
เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากที่ลูเซียนและคนอื่นๆ รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บาทหลวงฝึกหัดแห่งเมืองหมาป่าก็หลั่งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดกลัวและรีบร้อนส่งสารผ่านนกไปยังศาสนจักรในเมืองคอร์โซ สองชั่วโมงต่อมา บิชอปอาร์โนลด์ก็พาบาทหลวงอีกสองคนกับผู้พิทักษ์ราตรีอีกสี่คนเดินทางมาที่นี่โดยใช้อุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่าง จากนั้นก็สอบถามลูเซียนกับคนอื่นๆ และส่งผู้พิทักษ์ราตรีไปตรวจสอบยังปราสาทของบารอนฮาเบโร
เมื่อครู่นี้ ลูเซียนเพิ่งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปราสาทอีกครั้ง ซึ่งบิชอปอาร์โนลด์ไม่พบว่ามีจุดบกพร่องอันใด และยังได้รับการยืนยันจากบันทึกการให้ปากคำจากการสอบถามไซม่อน เบ็ตตี้ โจแอนนา และคนอื่นๆ ว่าตรงกัน
ความจริงแล้ว หลังจากที่เขารู้ถึงตัวตนของลูเซียน เขาก็แทบไม่นึกสงสัยอะไรอีก หากว่าลูเซียนทำอะไรผิด เหตุใดจึงมารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับทางศาสนจักร แทนที่จะหนีไปทางหุบเขากันเล่า ดังนั้นเมื่อใดที่เขาได้ทราบถึงวิธีการสังหารบารอนฮาเบโรและนักเวทศาสตร์มืดแล้ว เขาก็จะสามารถเขียนรายงานส่งไปให้พระคาร์ดินัลที่ดูแลเขตการปกครองแห่งจิบูตีได้
อาร์โนลด์เหลือบมองด้วยสายตาลึกล้ำและเริ่มทำการตรวจสอบขั้นสุดท้าย “ท่านอีวานส์ ท่านช่วยแสดงสิ่งที่ใช้สังหารบารอนและนักเวทผู้นั้นได้หรือไม่”
“ไม่มีปัญหาขอรับ” ลูเซียนตอบ ท่าทางดูไม่ยี่หระ ก่อนจะยื่นมือขวาออกไป “นี่คือแหวนที่สามารถปล่อยใบมีดน้ำแข็งออกมา และนี่คือสร้อยข้อมือที่สามารเรียกใช้โล่อัคคีและบอลไฟได้ขอรับ”
ลูเซียนได้ใช้พืชพิเศษย้อมสีให้กับแหวนหนี้แค้นเหมันต์และสร้อยข้อมือเชือกอัคคีเตรียมไว้แล้ว ซึ่งมันจะเปลี่ยนสีไปหนึ่งวันเต็มๆ นี่ก็เพื่อไม่ให้คนจากศาสนจักรจำมันได้ นอกจากนี้เขายังตั้งใจบิดเบือนผู้พิทักษ์เปลวอัคคีเป็นโล่อัคคีอีกด้วย
เมื่อเห็นว่าลูเซียนไม่คิดจะถอดอุปกรณ์เวทมนตร์ออกมา อาร์โนลด์ก็ไม่บังคับ หลังจากตรวจสอบสัมผัสพลังเวทที่บรรจุอยู่ในนั้นว่าเป็นคลื่นพลังที่คล้ายกันกับบทเวทดั่งที่ลูเซียนกล่าวมา เขาก็เฝ้ามองลูเซียนปลดกระดุมเสื้อ เผยให้เห็นเครื่องราง ‘มงกุฎสุริยัน’ บนแผงอกของเขา
“นี่เป็นรูปแบบที่สร้างขึ้นช่วงต้นสงครามแห่งรุ่งอรุณ…” อาร์โนลด์เองก็คุ้นเคยกับสัญลักษณ์ของศาสนจักรของเครื่องรางบนตัวลูเซียน “คงมีเพียงราชนิกุลที่มีประวัติยาวนานอย่างไวโอเล็ตเท่านั้นที่ยังมีของเช่นนี้ไว้ในครอบครอง”
ลูเซียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เป็นอีกครั้งที่เขานึกสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างมัสเคลินย์และศาสนจักร แต่สถานการณ์กับช่วงเวลาในตอนนี้ไม่เหมาะสำหรับการสืบค้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วหยิบเอาดาบยาวกับกริชออกมา “ชิ้นนี้คือดาบยาวที่ข้าได้รับโปรดเกล้ามาจากองค์หญิง และอีกชิ้นเป็นกริชที่ฝ่าบาทได้มาจากการสังหารอัศวินดำระดับสองขอรับ”
“อืม มีตราประจำตระกูลไวโอเล็ตอยู่ชัดเจน” เมื่ออาร์โนลด์ได้ยินกระโยคนี้ของลูเซียน เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าหญิงนาตาซาเพิ่งเลื่อนระดับขึ้นเป็นอัศวินนภา ความคิดแย่ๆ ทั้งหลายจึงหายวับไปทันที “ข้าสัมผัสได้ว่าผู้พิทักษ์ราตรีกลับมากันแล้ว และหลังจากที่ข้ายืนยันข้อมูลกับพวกเขาเสร็จ ข้าก็จะปล่อยให้ท่านอีวานส์เดินทางต่อได้”
หลังจากที่อาร์โนลด์ลุกจากไป ลูเซียนก็หลับตาลงและเฝ้ารออย่างใจเย็น
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา อาร์โนลด์ก็เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร “ข้าได้ยืนยันคำให้การของท่านอีวานส์แล้ว แต่น่าเสียดายที่ห้องทดลองของนักเวทศาสตร์มืดถูกบอลไฟของท่านเผาจนมอด มิเช่นนั้นเราคงจะได้ข้อมูลมามากกว่านี้”
“ส่วนนี่คือรางวัลจากทางศาสนจักรและเป็นการแสดงความเคารพจากพวกเรา หากท่านอีวานส์ไม่ได้แสดงความกล้าหาญแล้วล่ะก็ เมืองสายหมอกก็คงจะตกอยู่ภายใต้เงาปีศาจไปอีกนาน และศาสนจักรเราก็คงจะมัวหมองไปด้วย ท่านอีวานส์ ท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากศาสนจักรทุกแห่งได้ด้วยการแสดงเข็มกลัดอันนี้ เอาล่ะ เชิญท่านกลับไปพักผ่อนได้”
อาร์โนลด์ยื่นเข็มกลัดรูปไม้กางเขนให้ลูเซียน มันหาใช่ของที่มีศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่เป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับตราแสดงตน
ลูเซียนรับเข็มกลัดนั้นไปด้วยความรู้สึกขบขัน ‘ศาสนจักรให้รางวัลกับนักเวทเนี่ยนะ กับนักเวทที่มีชื่ออยู่ในรายนามชำระล้างเสียด้วย’
หลังจากขอบคุณอาร์โนลด์ ลูเซียนก็เดินออกจากห้องสารภาพบาปแล้วกลับไปยังโรงแรมพร้อมกับคนอื่นๆ
…
ณ เมืองอัลโต้ ภายในชั้นใต้ดินที่ลึกที่สุดข้างใต้ศาสนจักรมีเพียงความมืดและความเงียบงันเท่านั้น
ประตูเปิดออกช้าๆ โดยไร้สุ้มเสียง คามิลค่อยๆ เดินเข้ามา ก่อนจะมองไปทางผู้ที่สวมชุดคลุมสีดำของแม่ชีด้วยความกังวล เพราะท่าทางของนางดูอิดโรยยิ่ง ที่นั่งคุกเข่าอยู่นั้นก็คือนาตาซาที่กำลังรับโทษสำนึกผิดอยู่
ความยากลำบากในการบำเพ็ญเพียรคือการจดจ่อตนเองกับความเงียบงันและความมืดมิด ดูราวกับอยู่คนละโลก
“ฝ่าบาท มีพระประสงค์อันใดให้หม่อมฉันทำเช่นนั้นหรือเพคะ” คามิลเดินไปยืนอยู่ข้างๆ นาตาซา
นาตาซาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วแย้มยิ้ม “ข้านึกบางอย่างได้น่ะ ท่านน้าคามิล ท่านนำกระดาษกับปากกามาให้ข้าตามที่บอกหรือไม่”
“เพค่ะ” คามิลยื่นทั้งสองสิ่งนั้นให้
นาตาซายกมือขึ้นและจรดปลายปากกาเขียนลงบนกระดาษ และใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเขียนเสร็จ “ท่านน้าคามิล นำสิ่งนี้ไปให้ท่านโอเทลโล่ด้วย”
…
ยามบ่ายในเมืองคอร์โซ เจ็ดวันต่อมา
ไวส์กับมาร์สที่หายจากอาการตื่นตระหนกหวาดกลัวแล้วกล่าวลากับลูเซียน “ท่านอีวานส์ เราจะแยกไปที่สมาคมนักดนตรีแล้ว ท่านสามารถแวะไปเยี่ยมเยียนได้ทุกเมื่อเลยนะขอรับ”
เบ็ตตี้ที่สงบเงียบขึ้นมากเอ่ยถามอย่างร่าเริง “ข้าขอบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตของท่านได้ไหมเจ้าคะ ท่านไวส์”
ก่อนที่ไวส์จะได้ตอบอะไร ลูเซียนก็เอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็บังเอิญต้องไปทำธุระที่สมาคมนักดนตรีเช่นกัน คงต้องขอรบกวนท่านไวส์และท่านมาร์สให้ช่วยนำทางแล้วล่ะขอรับ”
ลูเซียนวางแผนไว้ว่าจะส่งจดหมายไปให้จอห์นกับนาตาซาผ่านทางสมาคมนักดนตรี
……………………………………….