Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 149 หนังสือพิมพ์
ไวส์ส่งยิ้มให้ก่อนจะตอบคำถามเบ็ตตี้ “ตอนอยู่ในปราสาทบารอนฮาเบโร ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยปกป้อง ข้ากับท่านมาร์สจึงได้ไร้รอยขีดข่วน แม้ว่าเจ้าจะไม่ร้องขอ ข้าก็จะเชิญเจ้าไปร่วมคอนเสิร์ตอยู่แล้ว” จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปทางลูเซียน “ท่านอีวานส์จะไปทำอะไรที่สมาคมหรือขอรับ มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้หรือไม่ ฮ่าๆ ว่าแต่ท่านยินดีไปร่วมคอนเสิร์ตของข้าหรือไม่ขอรับ”
ในเมื่อลูเซียนย้ำอยู่เสมอว่าเขาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์อะไร ทุกคนจึงเรียกเขาว่าท่านต่อไป ไม่ใช่ท่านลอร์ด
“ใช่ๆ ท่านอีวานส์ หากท่านมีธุระที่สมาคม ข้าเองก็พอจะช่วยท่านได้บ้าง” มาร์สมองลูเซียนอย่างซาบซึ้งที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
เมื่อใดก็ตามที่เขานึกถึงบารอนปีศาจกับผีดิบเน่าเหม็นที่เคยอยู่รายล้อมรอบตัว เขาก็จะตัวสั่นสะท้านและฝันร้าย เนื่องจากเขาเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีให้กับบารอนฮาเบโร เขาจึงมักจะเดินทางไปมาระหว่างเมืองสายหมอกกับเมืองคอร์โซ และบางคราก็จะไปร่วมงานสังสรรของพวกชนชั้นสูงและงานเฉลิมฉลองในเมืองคอร์โซ
เบ็ตตี้ ไซม่อน และโจแอนนาปลาบปลื้มดีใจกับคำเชิญของไวส์ขณะมองไปทางลูเซียนด้วยความแปลกใจ เหตุใดท่านอีวานส์ถึงต้องไปที่สมาคมนักดนตรีด้วย เขาเองก็เป็นคนรักในเสียงเพลงเช่นกันงั้นหรือ แต่ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเอาแต่ฟังคนอื่นๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนการเรื่องดนตรีกับไวส์เท่านั้น แทบจะไม่ออกความเห็นอะไรด้วยซ้ำ บางทีเขาอาจมีสหายประจำอยู่ที่สมาคมนักดนตรีแห่งเมืองคอร์โซก็เป็นได้
ลูเซียนส่ายหน้า “ขอบคุณขอรับท่านไวส์ที่กรุณา แต่ข้าคงไม่มีเวลามากพอจะไปร่วมคอนเสิร์ตของท่าน ส่วนธุระของข้าก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ข้าเพียงอยากจะส่งจดหมายให้เพื่อนๆ ผ่านทางสมาคมนักดนตรีแห่งเมืองคอร์โซ ท่านก็รู้ ท่านมาร์ส นอกเหนือจากโบสถ์แล้ว การสื่อสารที่ใช้อย่างแพร่หลายระหว่างอาณาจักรก็คือการส่งจดหมายผ่านทางสมาคมนักดนตรี ที่ผู้คนได้อ่าน ‘วิพากษ์ดนตรี’ และ ‘ซิมโฟนีนิวส์’ กันทั้งทวีปก็เพราะเช่นนี้” ความแตกต่างเดียวก็คือความล่าช้าที่อาจมากน้อยตามแต่ภูมิภาค
แม้ว่าโลกนี้จะมีผู้ส่งสาร แต่ก็ยังไม่มีระบบไปรษณีย์ที่ใช้อย่างเป็นสากล โดยเฉพาะการส่งสารระหว่างอาณาจักร คนทั่วๆ ไปมักพึ่งพากองคาราวานและนักเดินทางเพื่อส่งจดหมายไปยังที่ไกลๆ แต่แน่นอนว่าคนทั่วๆ ไปไม่ค่อยมีผู้ใดที่มีญาติสนิทมิตรสหายอยู่ต่างแดนเสียเท่าไหร่
มาร์สพยักหน้านิดๆ พร้อมส่งยิ้มให้ “ท่านอีวานส์เป็นถึงอัศวินผู้หนึ่ง หากท่านต้องการจริงๆ ทางสมาคมคงไม่มีทางปฏิเสธได้ แต่พวกเขาคงไม่ยอมให้ท่านใช้เหยี่ยว ‘ฮาร์ธเมียร์’ เพื่อส่งจดหมายแน่ ทั้งยังจะคิดค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว ฮ่าๆ แม้ว่าข้าจะแก่มากแล้ว แต่ข้าก็ยังพอจะมีอิทธิพลในสมาคมนักดนตรีแห่งคอร์โซ ข้าจะช่วยท่านอีวานส์เองขอรับ เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าจดหมายจะส่งไปถึงมือสหายได้โดยเร็วที่สุด”
“เหยี่ยว ‘ฮาร์ธเมียร์’ เช่นนั้นหรือขอรับ” ลูเซียนรู้ว่านอกจากสัตว์ทั่วไปแล้วยังมีสัตว์เวทอีกมากมาย แต่เขากลับไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเหยี่ยวพันธุ์นี้มาก่อนเลย
ไวส์ยิ้มนิดๆ “นี่คือสัตว์ชนิดพิเศษของเขตการปกครองแห่งจิบูตีขอรับ มันเป็นเหยี่ยวตัวใหญ่มากและบินได้รวดเร็ว และหลังจากฝึกฝนแล้ว มันยังสามารถจำแนกเส้นทางต่างๆ ของพิราบสื่อสารได้อีกด้วย มันใช้เวลาเพียงสิบวันในการบินไปกลับระหว่างเมืองคอร์โซและเมืองอัลโต้ ฮ่าๆ ดังนั้นสมาคมนักดนตรีทั้งหลายในเขตการปกครองแห่งจิบูตีจึงมี ‘วิพากษ์ดนตรี’ และ ‘ซิมโฟนีนิวส์’ ฉบับล่าสุดในช่วงวันที่ห้าถึงเจ็ดของทุกๆ เดือนขอรับ”
“วันนี้เป็นวันที่สอง ดูเหมือนว่าจะต้องรออีกหลายวันกว่าเราจะได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดของทั้งสองหัว” ลูเซียนตอบด้วยความเสียดาย เพราะเขาอาจได้ข่าวคราวเกี่ยวกับนาตาซาและสถานการณ์ปัจจุบันของวิกเตอร์ผ่านทางบทความในหนังสือพิมพ์ “บังเอิญว่าเพื่อนของข้าอยู่ที่เมืองอัลโต้เสียด้วย คงต้องขอให้ท่านช่วยจัดการเรื่องนี้แล้วล่ะขอรับ ท่านมาร์ส เพื่อที่พวกเขาจะได้รับจดหมายจากข้าภายในไม่กี่วัน”
รอยย่นบนใบหน้าของมาร์สเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อเขายิ้มกว้าง “เป็นเกียรติของข้าที่ได้ช่วยเหลือท่านอีวานส์ขอรับ แต่ความจริงแล้ว ถึงไม่มีข้า ท่านไวส์ก็อาจช่วยเหลือท่านได้เพราะทางสมาคมให้ความสำคัญกับเขามากทีเดียว”
“ท่านมาร์สเป็นถึงผู้ที่เคยได้รับรางวัล ส่วนข้าเป็นเพียงหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเส้นทางแห่งดนตรีขอรับ” ไวส์ตอบอย่างถ่อมตน
มาร์สพยักหน้ารับนิดๆ ก่อนหันหลังเดินนำทางไปยังสมาคมนักดนตรีแห่งเมืองคอร์โซ
ลูเซียนยื่นค่าจ้างวันสุดท้ายให้กับไซม่อน “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือตลอดการเดินทางนะขอรับ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเริ่มการฝึกฝนเป็นอัศวินในเร็วๆ นี้ บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่เราจะได้พบกันอีกครั้งก็ได้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านอีวานส์ แต่ข้าไม่คิดว่าเราควรจะบอกลาในตอนนี้ เพราะข้าจะตามท่านไปที่สมาคมนักดนตรีด้วยเจ้าค่ะ ไหนๆ ข้าก็ได้รู้จักกับท่านไวส์และท่านมาร์สแล้ว เฮะๆ ข้าอยากจะไปเยี่ยมเยียนสมาคมนักดนตรีมานานแล้ว!” เบ็ตตี้โพล่งขึ้น ก่อนจะหันไปขยิบตาให้พี่สาวและพี่เขย
“ข้าขอเป็นตัวแทนต้อนรับคุณหนูเบ็ตตี้ในการเยี่ยมเยือนสมาคมนักดนตรีแห่งเมืองคอร์โซ” ไวส์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “ท่านไซม่อน ท่านโจแอนนาจะไปด้วยกันไหมขอรับ”
โจแอนนาถลึงตาใส่เบ็ตตี้ แต่ก็เอ่ยตอบรับด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
…
คอร์โซไม่ใช่เมืองหลักของภาคกลางเฉียงใต้ของทวีป และมีอาณาบริเวณเพียงหนึ่งในห้าของเมืองอัลโต้ ไม่นานลูเซียนก็มองเห็นตึกสี่ชั้นสีเทาเงินเรียบง่ายของสมาคมนักดนตรี
ยามรักษาการณ์ที่นี่เข้มงวดกว่าที่สมาคมนักดนตรีแห่งเมืองอัลโต้ พวกเขายืนอยู่หน้ารั้วเหล็กดัด และไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเข้าไป จนกระทั่งพวกเขาเห็นนักดนตรีชื่อดังอย่างมาร์ส ถึงได้ยอมปล่อยให้เข้าไป แล้วรีบไปรายงานผู้อำนวยการสมาคมเพราะท่านไวส์ที่เป็นเป็นรับเชิญได้เดินทางมาด้วย
ของตกแต่งทำจากคริสตัลแสนงดงาม ภาพวาดสีน้ำมันของนักดนตรีมากมาย พรมหนานุ่มสีแดงเข้ม พื้นที่กว้างขวางปลอดโปร่งและสว่างไสว ทั้งหมดนี้คือห้องโถงของสมาคมนักดนตรีแห่งเมืองคอร์โซ
ขณะที่เบ็ตตี้ โจแอนนา และไซม่อนกำลังมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ชายวัยกลางคนใบหน้ายิ้มแย้มในชุดสูทสีดำก็มาต้อนรับพร้อมกับผู้คนอีกมากหน้าหลากตา
“สวัสดีขอรับ ท่านไวส์ ทางเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับท่านและซาบซึ้งที่ท่านจะมาแสดงคอนเสิร์ตในเมืองคอร์โซ ข้าคือแคสเปอร์ ผู้อำนวยการสมาคม ส่วนพวกเขาคือคณะกรรมการและนักดนตรีของสมาคมเราขอรับ” แคสเปอร์จับมือไวส์อย่างกระตือรือร้น นักดนตรีมากสามารถผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงของเขตการปกครอง ในขณะที่ที่นี่แทบไม่มีใครสามารถเรียกได้ว่านักดนตรีได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ไวส์ยังคงแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน “ขอบคุณขอรับท่านแคสเปอร์ ท่านทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้นจริงใจของเมืองคอร์โซอย่างยิ่ง…”
นักดนตรีทั่วไปที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างเข้ามารุมล้อม และต้อนรับไวส์อย่างตื่นเต้น ทั้งยังถึงกับแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องดนตรีกับบทเพลงที่ไวส์เตรียมมาแสดงกันตรงกลางห้องโถง ผลักลูเซียน มาร์ส เบ็ตตี้ และคนที่เหลือไปด้านข้าง
“เยี่ยมไปเลย!” หลังจากได้เห็นว่าไวส์ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากนักดนตรีของสมาคม เบ็ตตี้ก็ไม่สนใจว่าตนจะถูกเบียดออกมา ทั้งยังอุทานด้วยดวงตาเปล่งประกายวิบวับ “และทำนองเพลงที่พวกเขากำลังพูดถึงกันอยู่ช่างไพเราะเหลือเกิน!”
โจแอนนาเหลือบมองสามีตนแล้วพึมพำว่า “รอให้เราปลุกพรในตัวได้และกลายเป็นอัศวินเสียก่อนเถิด เราจะกลับไปที่บ้านอีกครั้งหนึ่ง และเราจะต้องได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้เหมือนกัน”
ความรู้สึกเป็นที่เคารพรักจากทุกคน ใครๆ ต่างก็ชื่นชอบ ไซม่อนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาจึงเอ่ยอย่างคาดหวัง “ข้าจะเริ่มฝึกฝนจริงจังให้เร็วที่สุดตามที่ท่านอีวานส์แนะนำ”
ลูเซียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขามองไปทางภาพแสนมีชีวิตชีวาเบื้องหน้าแล้วส่งยิ้มให้มาร์ส “ท่านมาร์ส ข้าจะไปเขียนจดหมายตรงเคานเตอร์แล้วจะไปหาท่านเพื่อให้ช่วยจัดการเรื่องจัดส่งนะขอรับ”
“ข้าจะตามท่านไปบอกกับคริสให้เองขอรับ” มาร์สชี้ไปทางเด็กสาวผมดำที่อายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี นางกำลังเขย่งเท้ายืดคอเพื่อมองไวส์ที่ยังอยู่ในวงล้อม
“คริส” ทั้งสองเดินมาตรงหน้าเคานเตอร์และเห็นว่าเด็กสาวยังคงไม่หันมาทักทายพวกตน มาร์สจึงเอ่ยเรียก
คริสไม่ยอมหันกลับมา ทั้งยังยกมือขึ้นห้ามปราม “มีอะไร โปรดรอสักครู่”
มาร์สส่ายศีรษะอย่างขบขัน ก่อนจะกระแอมไอแรงๆ แล้วเอ่ยเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “คริส”
“อ๋า ท่านมาร์ส! สวัสดีเจ้าค่ะ มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่เจ้าคะ” คริสสะดุ้งโหยง รีบร้อนยืนตัวตรงพร้อมกับถามอย่างประหม่ากลัว
มาร์สเพิ่งจะรอดพ้นความตายมาได้และตอนนี้ก็กำลังอารมณ์ดี เขาเป็นคนใจกว้างพอจึงไม่คิดเอาเรื่องกับการเสียมารยาทของเด็กสาว เขาชี้ไปทางลูเซียน “เอากระดาษ ปากกา กับซองจดหมายให้ท่านอีวานส์หน่อย เมื่อท่านเขียนเสร็จ ช่วยเตรียมเหยี่ยวเพื่อไปส่งที่สมาคมนักดนตรีเมืองอัลโต้ด้วย”
“มันกินเนื้อเยอะมากๆ และถ้าจะให้มันบินก็แพงมากนะเจ้าคะ” คริสกล่าวเสียงเบาขณะหยิบปากกากับกระดาษออกมายื่นให้ลูเซียน
มาร์สเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าจะรับผิดชอบเอง”
คริสแลบลิ้นโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์ออกมากองใหญ่ “ท่านมาร์ส นี่คือ ‘วิพากษ์ดนตรี’ กับ ‘ซิมโฟนี นิวส์’ ฉบับล่าสุดเจ้าค่ะ จะรับไปไหมเจ้าคะ”
“ฉบับล่าสุดงั้นหรือ” ลูเซียนที่กำลังเปิดซองอยู่นั้นเงยศีรษะขึ้นมาถามพร้อมกับมาร์ส
คริสพยักหน้า “คือว่า ฉบับนี้ตีพิมพ์ล่วงหน้าน่ะเจ้าค่ะ เพิ่งมาถึงเมืองคอร์โซเมื่อวานนี้เอง”
“ตีพิมพ์ล่วงหน้างั้นหรือ ข้าขอเล่มหนึ่งได้หรือไม่” ลูเซียนหยิบเงินออกมาหนึ่งธาเล
ไวส์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้ยินบทสนทนาของทั้งสาม จึงเดินมาพร้อมกับฝูงชนที่มาต้อนรับเขา “คนงาม ข้าขอเล่มหนึ่งเช่นกันจะได้หรือไม่ และข้าจะจ่ายให้กับท่านอีวานส์และท่านมาร์สด้วย” แม้ว่าเบ็ตตี้ โจแอนนากับไซม่อนจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อหนังสือพิมพ์แสนโด่งดังทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะตรงมายังเคาน์เตอร์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ได้เลยเจ้าค่ะ ท่านไวส์” คริสหน้าแดงขณะยื่นหนังสือพิมพ์ให้ไวส์ จากนั้นก็ยื่นให้มาร์ส และลูเซียนเป็นคนสุดท้าย
ไวส์เปิดหนังสือพิมพ์ ก่อนจะหัวเราะด้วยประหลาดใจ “ท่านลูเซียน อีวานส์ ประพันธ์เปียโนโซนาตาอีกบทเพลงงั้นหรือ?!”
“ใช่แล้ว ข้าเห็นเมื่อวานนี้เอง มันช่างงดงามชวนฝัน แม้จะเป็นเพียงท่อนแรกเท่านั้น” ผู้อำนวยการแคสเปอร์เอ่ยเสียงดังด้วยท่าทางตื่นเต้นเกินจริง ทำให้เบ็ตตี้ตื่นเต้นตามไปด้วย
ไวส์พยักหน้านิดๆ แล้วฮัมเบาๆ ตามตัวโน้ต มันฟังดูเศร้าสร้อยแต่แว่วหวาน อ่อนโยนและไพเราะยิ่ง
ลูเซียนที่อยู่อีกฟากหนึ่งได้ยินบทสนทนานั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาไปประพันธ์เปียโนโซนาตาไว้ตอนไหนกัน
แต่ทันทีที่ได้ยินท่วงทำนองคุ้นหู ลูเซียนก็เดาได้ในทันที
ลูเซียนเปิดหนังสือพิมพ์ในมือและก็ได้เห็นโน้ตเพลงแสนคุ้นเคยใน ‘วิพากษ์ดนตรี’ ฉบับที่สองของปีพร้อมกับบทวิพากษ์
“นี่คือเปียโนโซนาตาที่รังสรรค์โดยลูเซียน อีวานส์ นักดนตรีผู้โด่งดัง ระหว่างที่เขาเดินทาง แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังแต่งได้เพียงท่อนแรก เขาก็ยังคงนำเสนอท่วงทำนองได้อย่างงดงามและดีเยี่ยม บรรยากาศของบทเพลงนั้นช่างสุขสงบ และการคิดค้นเปียโนโซนาตานี้ก็ได้ทำลายประเพณีการเล่นแบบเร็ว-ช้า-เร็ว…”
“เมื่อใดก็ตามที่ข้าได้ยินท่อนแรกนี้ ข้าก็จะนึกถึงทะเลสาบที่เปล่งประกายงดงามใต้แสงจันทร์ มันช่างงดงามและชวนฝันยิ่งนัก”
…
“นาตาซา ไวโอเล็ต”
‘เป็นฝ่าบาทจริงๆ ด้วย แต่ทำไมจู่ๆ ถึงคิดจะช่วยฉันตีพิมพ์ท่อนแรกของ “แสงจันทร์” กันล่ะ’ ลูเซียนครุ่นคิดด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่นเพราะความสับสนมึนงง
“เป็นท่วงทำนองที่งดงามเหลือเกิน” เพียงฟังเสียงไวส์ฮัมเพลง เบ็ตตี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ที่แท้ก็เป็นเพราะมีเพลงบทใหม่ของท่านอีวานส์นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่หนังสือพิมพ์จะตีพิมพ์ออกมาล่วงหน้า”
“ตีพิมพ์ล่วงหน้า…” ลูเซียนคิดถึงบางอย่าง แล้วรีบพลิกไปหน้าแรก จึงเห็นวันที่ที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรใหญ่กว่าปกติว่า 26 มิถุนายน 816
ลูเซียนหัวเราะออกมา นี่คือวิธีการแสดงความยินดีที่ได้เป็นผู้ใหญ่ของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ
……………………………………….