Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 161 ไข่มุกแห่งท้องทะเล
นาตาซานั่งอยู่ท่ามกลางความมืดไม่ดของห้องใต้ดินภายในอาราม พระองค์กำลังอ่านจดหมายที่สหายส่งมาด้วย ‘วิสัยทัศน์แห่งความมืด’
ดูเหมือนว่านางจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแสนมืดไม่ดนี้แล้ว และเส้นเลือดสีฟ้าที่ปูดโปนอยู่บนมือและใบหน้าของพระองค์ก็แทบไม่เหลืออยู่แล้ว
บางครา นางจะฮัมเพลงตามตัวโน้ตบนกระดาษอย่างแผ่วเบาด้วยความสุขใจ
เมื่อพระองค์อ่านมาถึงแผ่นสุดท้าย เจ้าหญิงนาตาซาก็แย้มยิ้มกว้าง “ลูเซียน เจ้าเลียนแบบข้านี่นา ข้าจะตั้งตารออ่าน ‘วิพากษ์ดนตรี’ ฉบับหน้าเพื่อดูว่าเจ้าจะอวยพรวันเกิดข้าอย่างไรนะ”
จากนั้นพระองค์ก็ถอนหายใจแล้วพึมพำกับตนเอง “การมีเพื่อนนี่เป็นเรื่องดีจริงๆ ไม่เช่นนั้นข้าคงสติแตกไปแล้วเพราะที่แห่งนี้”
…
สายลมที่มีกลิ่นทะเลกรุ่นอวลอยู่นั้นพัดพามาขับไล่ไอร้อนในเตือนตุลาคม คลื่นทะเลสาดซัดเข้าฝั่งจนเกิดเป็นโฟมฟองสีขาวไปทั่ว มหาสมุทรนั้นไกลสุดลูกหูลูกตาและท้องนภาก็สดใสยิ่ง เหล่าสกุณาโผบินอย่างเป็นอิสระและเปลี่ยนรูปแบบการรวมตัวบนท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา และข้างใต้นั้นก็คือเรือหลายลำที่เคลื่อนผ่านสะพานทรงโค้งทั้งหลาย
เมืองสเติร์ก ไข่มุกแห่งท้องทะเล นั้นคล้ายกับเมืองเวนิซที่ลูเซียนรู้จักผ่านภาพยนตร์ที่เคยดูในโลกก่อน เมืองสเติร์กมีหมู่เกาะเล็กๆ มากกว่าร้อยเกาะซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยคลองนับไม่ถ้วน ดูราวกับใยแมงมุมแสนซับซ้อน และรอบนอกก็มีชายหาดยาวคอยปกป้องเมืองอยู่
ขณะนั่งอยู่ในเรือหัวแหลมลักษณะพิเศษ ลูเซียนก็มองตึกรามบ้านช่องทั้งสองฝั่งคลองเคลื่อนผ่านไปช้าๆ เขารู้สึกสุขสงบ เหมือนกับนักเดินทางอย่างแท้จริง
“ในเมืองสเติร์ก ทุกลำคลองเป็นเหมือนถนนในเมืองอื่นๆ” คนพายเรือเอ่นแนะนำด้วยความกระตือรือร้น “นี่คือโบสถ์นักบุญเมโย… อาคารนั้น… อาคารนั้นเป็นของ ‘อารามพระวิญญาณบริสุทธิ์’ และนั่น… เราเรียกหอระฆังกันว่า ‘หอคอยแห่งสัจธรรม’ และตรงนั้นคือ ‘หอสวดมนต์’…”
“เช่นนั้นหรือ…” ลูเซียนฟังคนพายเรือแนะนำเมืองด้วยความสนใจ “เช่นนี้ บริเวณนี้ก็คือเขตศาสนาของเมืองสเติร์กใช่หรือไม่”
ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่ เมืองเล็ก หรือหมู่บ้าน ทุกที่จะต้องมีโบสถ์ อาณาเขตบริเวณที่ตั้งอาคารทางศาสนานั้นจะเรียกว่าเขตศาสนา เช่น บริเวณตะวันออกของนครอัลโต้ที่อยู่ใกล้กับ ‘อาสนสถานทองคำ’
“ใช่ขอรับ ด้วยเหตุนี้ บริเวณนี้จึงไม่ค่อยมีคนเท่าไรขอรับ” คนพายเรือยิ้มขณะพายเรือไปเรื่อยๆ “เมื่อไรที่เราเข้าสู่เขตการค้า ท่านก็จะได้เห็นเมืองสเติร์กที่แท้จริงขอรับ”
เรือของลูเซียนแล่นผ่านสะพานทรงโค้งไปหลายสะพาน จากนั้นจึงเข้าสู่เขตการค้า ฉับพลันนั้น สภาพแวดล้อมรอบกายก็เปลี่ยนเป็นคึกคักพลุกพล่าน ลูเซียนเห็นเรือหัวแหลมหลายลำมัดติดกับเสาไม้ตามแนวลำคลอง และมีอีกหลายลำที่กำลังเคลื่อนผ่านใต้อาคารแบบมีสะพานเปิด
เขาได้ยินผู้คนพูดภาษาสามัญด้วยสำเนียงที่แตกต่างกันมากมาย คำพูดอย่างคำว่า ‘เฟลล์’ ‘นาร์’ ‘ธนาคาร’ ‘สัญญาจำนอง’ ‘สิบกรัม’ ‘ปลาสเตอร์เจียน’ ‘ปลาตะเพียนทะเล’ ‘ส้ม’ ‘โลหะ’ ‘ไม้’ ‘ทาส’ ‘แลกเปลี่ยน’ และอื่นๆ อีกมากมายที่นำลูเซียนออกมาจากโลกแห่งศาสตร์มืดมาสู่โลกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ใช้ชีวิตไปตามกิจวัตรประจำวัน
เขตการค้าแห่งนี้ดูพลุกพล่านยิ่งกว่าที่นครอัลโต้เสียอีก
ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และแม้แต่สายลมที่พัดพาเข้ามาจากท้องทะเลก็ยังมีกลิ่นเงินในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
“ตลาดดูมั่งคั่งรุ่งเรืองกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก…” ลูเซียนเอ่ยชมในสิ่งที่เห็นอย่างจริงใจ เขาชอบบรรยากาศในเมืองสเติร์กจริงๆ
“แน่นอนขอรับ” คนพายเรือกล่าวด้วยความภูมิใจ “สเติร์กตั้งอยู่ข้างช่องแคบมรสุมและมีท่าเรือน้ำลึกเป็นของตัวเอง เมืองนี้เชื่อมต่อเหนือกับใต้ ตะวันออกกับตะวันตก และที่นี่ยังเป็นจุดแวะพักของการขนส่งทางทะเลอีกด้วย เพราะเช่นนี้ เราชาวสเติร์กจึงเกิดมาพร้อมความสามารถในการทำธุรกิจ ‘สมาคมช่างทอง’ และธนาคารแห่งแรกต่างก็ก่อตั้งขึ้นที่นี่ขอรับ”
“เชื่อมต่อตะวันออกกับตะวันตกงั้นหรือ” ลูเซียนพึมพำ เวลามีคนพูดถึงอาณาจักรทางด้านตะวันออกของเมืองสเติร์ก ชัดเจนว่าหมายถึง ‘โฮล์ม’ และอาณาจักรที่เหลือซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของช่องแคบมรสุม แต่ลูเซียนไม่รู้ว่าเมืองสเติร์กจะสามารถติดต่อกับอาณาจักรทางตะวันออกได้โดยตรง
“แน่นอนขอรับ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้เห็นสินค้าล้ำค่ามากมายมาวางขายในสเติร์กแห่งนี้” คนพายเรือตอบด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น “ผ้าเนื้อดี ‘ไนติงเกลดำ’ จากโฮล์ม เครื่องเคลือบจากโคเล็ตต์ เครื่องเทศจากคาเลส์ บุหรี่ที่ดีที่สุดจากบริแอนน์…”
“มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้” ลูเซียนตอบอย่างเห็นด้วย
คนพายเรือยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิม “อาณาจักรทั้งสี่นี้อยู่ฝั่งตรงข้ามช่องแคบมรสุมเลยขอรับ ทว่า เนื่องจากผลประโยชน์ที่ได้นั้นสูงมาก ทางศาสนจักรจึงผูกขาดการค้าทั้งหมดนั้น มีเพียงพ่อค้าชนชั้นสูงจากตระกูลใหญ่ทั้งเก้าตระกูลในเมืองนี้เท่านั้นที่จะสามารถส่งเรือสินค้าออกไปแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ อืม… ท่านคงจะต้องไม่เชื่อแน่ว่าตระกูลทั้งเก้านี้ร่ำรวยมั่งคั่งมากเพียงใด…”
“เก้าตระกูลไหนบ้าง?” ลูเซียนถามด้วยความอยากรู้ เขาเดาว่า ‘เกรนนิวฟ์’ คงจะเป็นหนึ่งในนั้น
“ตระกูลของท่านไวเคานต์ไรต์ บารอนเคป บารอนมอนแคช…” คนพายเรือเอ่ยไล่เรียง แต่ลูเซียนกลับไม่ได้ยินชื่อที่เขากำลังตามหาเลย
“เรากลับมาคุยกันเรื่องสถาปัตยกรรมและอาคารสถานที่กันต่อดีหรือไม่” ลูเซียนเอ่ยขึ้นเมื่อความสนใจในการฟังชื่อตระกูลทั้งหมดหายไปแล้ว
“ได้สิขอรับ” คนพายเรือพยักหน้า แล้วชี้ไปยังตึกรามบ้านช่องทางด้านขวา “ตรงนั้น… นั่นคือธนาคารที่ท่านไวเคานต์ไรต์เป็นเจ้าของขอรับ และนั่นคือธนาคารมอนแคช-ฮอว์ธอร์น…”
“อ้อ แล้วนั่นล่ะ… ตึกที่ส่องประกายนั่นน่ะ” ลูเซียนถาม
“โอ้ นั่นคือ ‘หอศิลป์มหากาพย์’ ขอรับ ข้างๆ กันนั้นคือ ‘หอศิลป์ประติมากรรมมิเชลล์’…และนั่นคือ ‘ธนาคารประกายทองคำ’ ขอรับ” คนพายเรืออธิบาย
แม้ว่าลูเซียนจะอยู่ใกล้ธนาคารประกายทองคำ จุดหมายปลายทางของเขาเพียงเท่านี้ เขากลับไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่แห่งนั้น
อย่างไรเสีย เขาก็รู้แล้วว่าใครคือผู้ประสานงานในเมืองสเติร์ก เขาจึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงถามข้อมูลเกี่ยวกับเกรนนิวฟ์จากรอบๆ นี้ ลูเซียนตัดสินใจที่จะตามติดชีวิตประจำวันของเกรนนิวฟ์ และจับตาดูว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในธนาคารของเขาหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าเกรนนิวฟ์ยังทำงานให้กับ ‘สภาเวทมนตร์’ อยู่ ไม่ใช่ว่ากลายเป็นคนของทาง ‘ศาสนจักร’ ไปแล้ว
ช่วงนี้คนทรยศนั้นหาได้ง่ายดายยิ่ง
นอกจากนี้ พลังของลูเซียนได้ก้าวหน้าไปมากในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ด้วยความช่วยเหลือจากวิธีการเข้าฌานสมาธิของนักเวท ลูเซียนรู้สึกได้เลยว่าดวงจิตกับพลังจิตของเขาเพิ่มพูนแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน ภายในดวงจิต ลูเซียนได้สร้างตราประทับเวทมนตร์คาถาใหม่ๆ ขึ้นมากมาย มีทั้ง ‘เวทสร้างความกลัว’ ‘เวทภาพไร้เสียง’ ‘เวทฝ่ามือเผาผลาญ’ ‘เวทเกราะนักเวท’ ‘เวทอวัยวะเหล็ก’ ‘เวททานทนธาตุ’ และ ‘เวทบ่วงหายนะ’ และตอนนี้เขาก็กำลังพยายามสร้างโครงสร้างคาถาสำหรับการหลบหลีกที่ชื่อว่า ‘เวทล่าถอยฉับพลัน’ ดังนั้นลูเซียนจึงค่อนข้างมั่นใจในตนเอง และไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ
ทว่าระหว่างการฝึกฝน ลูเซียนพบว่า แม้เขาจะได้เปรียบด้านความสามารถของพลังจิต แต่เขาก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสอง แม้ว่าเขาจะสามารถวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนตร์ระดับสองได้แล้วก็ตาม และหากยังเป็นเช่นนั้นต่อไป กว่าจะเป็นนักเวทชั้นกลางได้ เขาคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีทีเดียว นี่ยิ่งทำให้ลูเซียนรู้สึกโหยหาอยากไปยังสภาเวทมนตร์ยิ่งขึ้นไปอีก
เรือค่อยๆ แล่นไปข้างหน้า และออกจากเขตการค้าไปช้าๆ
…
ครึ่งเดือนต่อมา ภายในร้านอาหารทะเลชื่อดังในเมืองสเติร์กที่มีชื่อร้านว่า ‘ฉลาม’
หลังจากเดินตามบริกรเข้ามา ลูเซียนก็นั่งลงตรงโต๊ะที่มีผ้าปูสีขาวคลุมอยู่ ขณะที่ลูเซียนสั่งอาหารอยู่นั้น เขาก็เหลือบเห็นชายร่างอ้วนท้วมที่อยู่ในวงล้อมผู้อารักขาสองสามคนซึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง อันเป็นส่วนที่กั้นไว้สำหรับแขกคนสำคัญเท่านั้น
ชายร่างอ้วนท้วมผู้นี้คือเป้าหมายของลูเซียน เขาก็คือ ‘เกรนนิวฟ์’
หลังจากลอบสังเกตการณ์มาตลอดครึ่งเดือน ลูเซียนก็มั่นใจแล้วว่าตัวตนของเกรนนิวฟ์ยังไม่ถูกทางศาสนจักรค้นพบ และเกรนนิวฟ์ยังคงทำงานให้กับสภาเวทมนตร์ และ ณ เวลานี้ คำถามเพียงข้อเดียวก็คือ เขาจะติดต่อกับเกรนนิวฟ์ได้อย่างไร
รอบกายเกรนนิวฟ์จะมีผู้อารักขารายล้อมอยู่เสมอ และลูเซียนก็เดาว่าบางคนอาจเป็นถึงอัศวินดำเลยด้วยซ้ำ ลูเซียนยังแทบจะมั่นใจมากอีกด้วยว่าเกรนนิวฟ์เองหาใช่คนธรรมดาสามัญ เขาจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแก่กล้าผู้หนึ่งเช่นกันอย่างแน่นอน และชัดเจนว่า ในเมื่อเกรนนิวฟ์มีความสำคัญมาก เขาจึงต้องระมัดระวังว่าอาจมีผู้พิทักษ์ราตรีของศาสนจักรแฝงตัวมาอ้างว่าเป็นนักเวทผู้ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งแน่นอนว่าลูเซียนคือผู้ที่เต็มไปด้วยความลับ และเขาก็ไม่อาจใช้ชื่อ ‘ศาสตราจารย์’ ในที่แห่งนี้ได้ นั่นเสี่ยงเกินไป
เมื่อลูเซียนบังเอิญรู้มาว่าคืนนี้เกรนนิวฟ์กำลังจะไปพบแขกในร้านฉลาม เขาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่แล้วคนสำคัญอย่างเกรนนิวฟ์มักไม่แสดงตัวที่ร้านอาหารสาธารณะเช่นนี้ หากผู้ใดต้องการร่วมมื้ออาหารกับเขา พวกเขาก็จะเรียกตัวพ่อครัวไปที่บ้านเพื่อทงานให้ตรงนั้นเลย
ขณะเงี่ยหูฟังเสียงไม้ลั่นตามน้ำหนักตัวของเกรนนิวฟ์ ลูเซียนก็เห็นว่าบริกรคนเดิมเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“ท่านขอรับ นี่คือ ‘สเติร์กนิวส์’ ของวันนี้ และ ‘วิพากษ์ดนตรี’ หลายฉบับที่เพิ่งมาล่าสุดขอรับ และค่ำคืนนี้ นักเปียโนของเราจะเล่นเปียโนโซนาตาแห่งแสงจันทร์ กับแคนอน ดีเมเจอร์ จากนักดนตรีชื่อดังนามลูเซียน อีวานส์ ขอรับ” บริกรกล่าวด้วยความสุภาพ
ลูเซียนพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มสุภาพให้ ไม่เสียชื่อที่ร้านฉลามเป็นร้านอาหารดีที่สุดร้านหนึ่งของเมืองสเติร์ก บริการของที่นี่ดีเยี่ยม กระทั่งหนังสือพิมพ์ที่พวกเขามาให้ก็แทบจะเรียกว่าหาซื้อได้ยากมาก
ท่ามกลางท่วงทำนองไพเราะงดงาม ลูเซียนเริ่มอ่านวิพากษ์ดนตรี เขาหวนระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาเป็นเพียงลูกศิษย์ที่กำลังศึกษาด้านดนตรีกับอาจารย์วิกเตอร์อยู่ในนครอัลโต้
เป็นไปตามคาด เขาพบชื่อคุ้นตาสองสามชื่อบนหนังสือพิมพ์ ตอนนี้วิกเตอร์กำลังตระเวนแสดงดนตรีอยู่ในจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ และเฟลิเซียก็เพิ่งประพันธ์เปียโนบากาแตลชิ้นแรกออกมา
แต่ทว่า ลูเซียนไม่พบชื่อของนาตาซาอีกเลยนับแต่ที่เจ้าหญิงเขียนวิจารณ์เพลงแสงจันทร์ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นห่วงเล็กน้อย
‘ผลกระทบจากการดื่มโลหิตแวมไพร์เข้าไปน่าจะหมดไปแล้วนี่นา…’ ลูเซียนคิดในใจ เขาจะต้องส่งจดหมายหานาตาซาเพื่อตรวจดูว่าอีกฝ่ายยังสบายดี ทันทีที่เขาไปถึงเมืองอัลลิน
หลังจากอ่านวิพากษ์ดนตรีจบหมดแล้ว มื้อค่ำของเขาก็ยังไม่มาเสิร์ฟ และแขกของเกรนนิวฟ์ก็ยังมาไม่ถึงเช่นกัน
ดังนั้นลูเซียนจึงเริ่มอ่านสเติร์กนิวส์เพื่อฆ่าเวลา สิ่งที่เขาเห็นส่วนใหญ่คือข่าวในท้องถิ่น เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย และข่าวทั่วไป เช่น ‘ขายไม้จากจิบูตี’
ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็เห็นชื่อเขาอีกครั้ง และข่าวชิ้นนี้ก็ดึงความสนใจของเขาได้ทันที
พาดหัวข่าวคือ ‘นักดนตรีดาวรุ่งคนใหม่ ท่านหญิงเกรซ ลูกศิษย์ของลูเซียน อีวานส์ กำลังจะจัดแสดงดนตรีในหอประชุมคริสตัลกับเพื่อนๆ!’
‘ศิษย์ของข้างั้นหรือ’ ลูเซียนถึงกับมึนงง แล้วเขาก็ได้ตระหนักว่าพวกเขากำลังโฆษณาคอนเสิร์ตนี้โดยใช้ชื่อเขา จริงอยู่ว่าลูเซียนเคยพูดคุยหารือกับคนกลุ่มนี้ในเรื่องความเข้าใจทางด้านดนตรีที่เขามีและแนะนำเล็กน้อยเกี่ยวกับผลงานเพลงแฟนตาซีที่พวกเขาแต่งไว้
ลูเซียนนึกภาพออกเลยว่าพวกเขามีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ขุนนางและพ่อค้าใหญ่อย่างรวดเร็วเพียงใดหลังกลับมาจากนครอัลโต้พร้อมกับบทเพลงที่เขาเป็นผู้ชี้แนะ
แม้ว่าลูเซียนจะรู้สึกขบขันนิดๆ กับความจริงที่ว่าสมาชิกในวงฉวยโอกาสใช้ชื่อเสียงของเขา แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะเปิดโปงในสิ่งที่พวกเขาทำอยู่
แต่ในขณะนั้นเอง ลูเซียนก็เห็นหญิงสาวหุ่นสะโอดสะองในชุดกระโปรงยาวผ้าเนื้อดีสีดำเดินเข้ามาในร้านอาหาร
“เกรซ… โลกช่างกลมจริงๆ…” ลูเซียนพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็รีบยกหนังสือพิมพ์ขึ้นปิดบังใบหน้าเอาไว้
ขณะที่เกรซเดินขึ้นบันไดไป ลูเซียนก็นึกขึ้นได้ว่านางอาจเป็นแขกของเกรนนิวฟ์ก็ได้
……………………………………….