Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 165 กองหนุนของลูเซียน
เมื่อแฮร์ริสัน บราวน์ ใจเย็นลง เขาก็รู้สึกขบขันกับความไวต่อแรงกระตุ้นของตน ราวกับว่าเขาเป็นนกที่หวาดกลัวจนตัวสั่นเทาไปหมด
ผู้พิทักษ์ราตรีที่ปลอมเป็นนักผจญภัยเดินเข้ามาใกล้แฮร์ริสันเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น จงมุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ต่อ”
“ทราบแล้ว แต่ควรจะใครมาซ่อมสะพานนี้เสียหน่อยนะ” บราวน์พนักหน้า แล้วเดินไปพร้อมกับนักผจญภัยผู้นั้นเป็นจังหวะเดียวกันแต่รักษาระยะห่างเอาไว้
อีกฝั่งหนึ่งของสะพานคือเขตศิลปะของเมืองนี้ บราวน์มองเห็นตึกอาคารแสนอลังการสองสามหลังแล้วจากฝั่งนี้
“ข้าจะแจ้งเรื่องนี้กับทางโบสถ์ เผื่อว่าจะมีใครตั้งใจทำให้สะพานนี้เสียหาย” สายตาของผู้พิทักษ์ราตรีมองตรงไปข้างหน้า แต่กลับพูดกับบราวน์ที่อยู่ข้างกาย “เราจะไม่มีทางประมาท”
แม้ว่าผู้พิทักษ์ราตรีจะสัมผัสถึงคลื่นพลังเวทใดๆ ไม่ได้เลย เขาก็ยังระวังตัวอย่างยิ่ง
ความจริงแล้ว พลังของ ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ นั้นมาจากแรงสั่นสะเทือนของคลื่นความถี่ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่สามารถตรวจจับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ได้แม้ว่าผู้พิทักษ์ราตรีจะส่งใครมาตรวจสอบสะพานก็ตาม
หนทางเดียวที่คนจากโบสถ์จะค้นพบว่ามีบางอย่างน่าสงสัยก็คือการย้อนไปตรวจสอบจากรายงานซ่อมบำรุงประจำปีของสะพานแห่งนี้ นั่นจะทำให้สังเกตได้ว่าความเสียหายนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ในความเป็นจริง เมืองนี้หาได้มีการตรวจสอบประจำปีใดๆ
“เจ้าเป็นคนรอบคอบจริงๆ” บราวน์พยักหน้าด้วยความพอใจ “ข้ารู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับพวกท่าน”
หลังลงจากสะพานแล้วเดินต่อไปอีกเจ็ดถึงแปดนาที บราวน์กับผู้อารักขาก็มาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์ อาคารสีดำของพิพิธภัณฑ์นั้นออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ จึงดูยิ่งใหญ่อลังการ
“ยินดีที่ได้พบท่านขอรับ ไวเคานต์ไรต์ ยินดีที่ได้พบขอรับ บารอนเคป…” บราวน์รับโค้งตัวทักทายเหล่าขุนนางคนสำคัญ แม้ว่าเขาจะย้ายไปยังเมืองแลนซ์ในเร็วๆ นี้ บราวน์ก็ยังหวังจะสานสัมพันธ์อันดีงามกับพวกเขา ในเมื่อพวกเขาคือผู้ควบคุมเศรษฐกิจทางตะวันตกและชายฝั่งตะวันออก เช่นเดียวกับทางตอนเหนือและใต้ของทวีป
ไวเคานต์ไรต์เป็นชายวัยกลางคน เส้นผมของเขาเป็นสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นสีที่ค่อนข้างหาได้ยาก เขาพยักหน้าด้วยท่าทางภาคภูมิใจในตนเองนิดๆ “ยินดีต้อนรับอัศวินวีรบุรุษของเรา”
บราวน์รีบร้อนโค้งตัวลงอีกครั้งพร้อมกับตอบกลับ “ข้าไม่ได้ใกล้เคียงอันใดกับท่านเลยขอรับ”
มักมีช่องว่างระหว่างคนที่พึ่งพายาวิเศษในการปลุกพรกับอัศวินที่ฝึกฝนมาอย่างหนักที่ปลุกพรขึ้นได้ด้วยตนเองเสมอ ไวเคานต์ไรต์คืออัศวินหลวงระดับสี่ตัวจริง
ไวเคานต์ไม่ได้พูดอะไรอีก กลับหันไปพูดคุยกับเกรนนิวฟ์ที่มาร่วมงานเช่นกัน ทั้งยังเป็นคู่ค้าทางธุรกิจของไวเคานต์อีกด้วย บราวน์เองก็เริ่มพูดคุยกับคนรู้จักที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้น
เวลาสิบนาฬิกา ซอกัส เจ้าของพิพิธภัณฑ์ที่ยืนอยู่กับขุนนางและพ่อค้าคนสำคัญ ก็ประกาศเริ่มพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งกับแขกที่มาร่วมงาน
วงดนตรีเริ่มเล่นเพลงที่มีท่วงทำนองแสนสดใส
ทว่า ในตอนนั้นเองก็เกิดความวุ่นวายขึ้นกลางฝูงชน ราวกับว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้นไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ ผู้พิทักษ์ราตรีที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชนเหลือบมองตากันด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้น หลายๆ คนก็เร่งไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่ง
ลูเซียนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาสวมหมวกทรงสูงสีดำกับแว่นตาข้างเดียวบนดวงตาซ้ายขณะยืนปะปนกับฝูงชน เขาไม่ได้ใช้เวทแปลงกายเพราะเวทมนตร์อาจจะถูกเปิดโปงโดยอัศวินหลวงที่อยู่ที่นี่อย่างง่ายดาย และเขาก็ต้องการเพียงทำให้แน่ใจว่าบราวน์จะไม่สามารถจำได้ทันทีว่าเขาคือชายหนุ่มบนเรือลำนั้น เขามองเห็นผู้พิทักษ์ราตรีที่ปลอมเป็นคู่รักกับคนที่ดูเหมือนพ่อค้าเดินออกไปจากฝูงชน เหลือเพียงนักผจญภัยและคนพายเรือที่ยังอยู่
นี่คือการสนับสนุนจากฝีพาย พวกเขากำลังดึงความสนใจของพวกผู้พิทักษ์ราตรี
‘ดูเหมือนว่าฝีพายกับคนของเขาจะรู้จักผู้พิทักษ์ราตรีพวกนี้ค่อนข้างดีทีเดียว…’ ลูเซียนคิดในใจ
เมื่อคืนก่อน ลูเซียนวิเคราะห์อย่างรอบคอบว่าฝีพายนั้นคู่ควรกับความไว้ใจของเขาหรือไม่ และเขาก็ตระหนักถึงความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างฝีพายกับเกรนนิวฟ์ หากยึดจากความจริงที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เฟลิเปจะโกหกต่อหน้าศาสตราจารย์ มันจึงมีเพียงคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผล ตามที่ลูเซียนเข้าใจแล้ว
ลูเซียนเชื่อว่าเกรนนิวฟ์เป็นผู้ประสานงานของสภาเวทมนตร์ในเมืองสเติร์กจริงๆ ฝีพายเองก็เช่นเดียวกัน ทว่า ในขณะที่ตัวตนของเกรนนิวฟ์นั้นเป็นที่รู้จักในหมู่นักเวทส่วนใหญ่ว่าเป็นผู้ประสานงานในเมืองสเติร์ก แต่ยังมีผู้ประสานงานอีกคนที่ทำงานกับเกรนนิวฟ์ นั่นก็คือฝีพาย ทุกๆ ครั้งที่มีนักเวทหรือนักเวทฝึกหัดมาขอความช่วยเหลือจากเกรนนิวฟ์ ฝีพายก็จะไปตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคนคนนั้น ในกรณีแบบนี้ แม้ว่าผู้ที่มาขอความช่วยเหลือจะเป็นผู้พิทักษ์ราตรีจอมเจ้าเล่ห์จริงๆ ฝีพายก็จะหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย และมันจะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่โยงไปหาเกรนนิวฟ์เช่นกัน
ตราบใดที่ลูเซียนแน่ใจได้ว่าฝีพายเองก็มาจากสภาเวทมนตร์ เขาก็เต็มใจที่จะทำงานนี้ให้กับองค์กรเพื่อเดินทางไปยังเมืองอัลลินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ลูเซียนสามารถบอกได้เลยว่าฝีพายกับคนของเขานั้นได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจากการที่ผู้พิทักษ์ราตรีกว่าครึ่งหนึ่งถูกดึงดูดความสนใจไปในตอนนี้
“ทุกอย่างเรียบร้อยไหม” บราวน์ถามอย่างวิตกกังวล ผู้พิทักษ์ราตรีที่ปลอมเป็นนักผจญภัยเพิ่งแอบขยับเข้ามาใกล้เขาและทำท่าเหมือนเป็นผู้อารักขาของเขา
“ไม่ต้องห่วง พวกเราบางคนเพิ่งจะออกไปตรวจสอบดู” ผู้พิทักษ์ราตรีตอบอย่างใจเย็น “เรามีอัศวินหลวงอยู่ที่นี่ตั้งสามสี่นาย และมีอัศวินมากกว่าสิบกว่านายอีกด้วย” เป็นไปตามที่ผู้พิทักษ์ราตรีพูด แม้ว่าผู้อารักขาของบราวน์บางคนจะไม่อยู่ ความปลอดภัยก็ยังเชื่อถือได้
บราวน์เหลือบมองไวเคานต์ไรต์และอัศวินนายอื่นๆ จึงค่อยโล่งอกขึ้นเล็กน้อย
ทว่า ณ เวลานี้ ลูกธนูดอกหนึ่งที่ปกคลุมด้วยไฟสีฟ้าก็พุ่งตรงมาทางบราวน์อย่างเกรี้ยวกราด
โดยไม่ต้องสงสัย พลังของลูกธนูนั้นอย่างน้อยก็เป็นของนักธนูระดับอัศวิน!
ภายในพริบตาเดียว ลูกธนูดอกนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าบราวน์แล้ว
ไวเคานต์ไรต์โบกมือซ้ายแล้วอัญเชิญสายลมกรรโชกขึ้นมาสายหนึ่ง แม้ว่าสายลมนั้นจะทำให้ลูกธนูช้าลงเล็กน้อย มันกลับไม่ได้ขัดขวางแรงเคลื่อนที่
นักธนูนั้นอย่างน้อยก็อยู่ในระดับอัศวินหลวง หรืออาจเป็นคันธนูที่เป็นอาวุธระดับสาม!
แต่ว่า ด้วยความช่วยเหลือของไวเคานต์ไรต์ บราวน์จึงมีเวลามากพอที่จะเรียกใช้ของวิเศษอีกครั้ง ขนนกสีขาวเข้าปกคลุมร่างกายเขา และในขณะเดียวกันนั้น ผู้พิทักษ์ราตรีรีบคว้าโล่ของบราวน์แล้วถือมันไว้ตรงหน้าบราวน์
ลูกธนูแสนทรงพลังพลันทะลวงผ่านโล่และปักบนเกราะขนนก
ขณะที่ขนนกร่วงหล่นและหลายเป็นฝุ่นผง ก็มีส่วนที่งอกกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุด ลูกธนูก็ตกลงกระทบพื้น บราวน์สามารถหลบเลี่ยงแผนการโจมตีแสนซับซ้อนนี้ได้!
คนที่ยิงลูกธนูมาจากหอคอยรีบถอยหนีไปทันที โดยมีผู้พิทักษ์ราตรีที่ปลอมเป็นคนพายเรือตามติดไปเพราะเป็นคนสะกดรอยตามได้ดีที่สุด
ไวเคานต์ไรต์ดูท่าทางหัวเสีย เขายกมือขวาขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้อัศวินของเขาสองสามคนไปช่วยเหลือผู้พิทักษ์ราตรี
ลูเซียนขยับแว่นตาข้างเดียวด้วยท่าทางสบายๆ อยู่ท่ามกลางฝูงชน ผู้พิทักษ์ราตรีกับอัศวินอีกสองสามคนจากไปแล้ว
ลูเซียนมั่นใจว่าหลังจากการโจมตีนี้ บราวน์จะลดความระแวดระวังลงมาก เพราะในความคิดของบราวน์ การโจมตีนี้ได้จบลงแล้ว
เมื่อลูเซียนขยับเข้าไปใกล้บราวน์ เขาก็มองเห็นว่าเครื่องรางที่ห้อยคอบราวน์อยู่นั้นดูซีดจางมากแล้วในตอนนี้ บราวน์น่าจะเหลือโอกาสในการเรียกใช้เวทมนตร์อีกเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น
กลยุทธ์นี้เป็นลูเซียนที่เสนอแนะ ไม่ว่าคนของสภาเวทมนตร์จะใช้วิธีใด ลูเซียนก็ขอให้พวกเขาดึงความสนใจผู้พิทักษ์ราตรีไปสองรอบด้วยกัน
“โล่เสียหายแล้ว และขนนกเทวทูตก็ใช้ได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เราควรไปจากที่นี่ตอนนี้ดีหรือไม่” บราวน์ถามอย่างหวั่นวิตก
“ใจเย็นๆ ท่านบราวน์” ผู้พิทักษ์ราตรีตอบ “การโจมตีเมื่อครู่นี้ไม่โดนตัวท่าน และคนของเราก็อยู่ทั่วทุกแห่งแล้วในตอนนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาหาท่านหรอก อีกอย่าง หากว่ามีเพียงข้าคนเดียวที่คุ้มครองท่านกลับบ้าน มันคงจะยิ่งอันตราย บางทีนักเวทมากเล่ห์พวกนั้นอาจรอให้ท่านเดินทางกลับบ้านก็ได้ อยู่ที่นี่เถิด อย่างไรที่นี่ก็มีอัศวินหลายท่าน มันปลอดภัยกว่า”
บราวน์เหลือบมองไปทางไวเคานต์ไรต์ หากไม่ได้ท่านช่วยเหลือ เขาก็คงเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “ก็ได้”
แม้ว่าขุนนางหลายๆ คนจะถูกลูกธนูเมื่อครู่ทำให้หวาดกลัว แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามีอัศวินและอัศวินหลวงหลายคนอยู่รอบๆ ในวันนี้ก็ทำให้พวกเขาผ่อนคลายลงได้ไม่ยาก อีกอย่าง พวกเขายังไม่อยากทำให้ซอกัส เจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่พอใจ
แม้ว่าจะมีผู้ชื่นชอบหุ่นขี้ผึ้งมารวมตัวกันอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ คนทั่วไปส่วนใหญ่ก็ไม่อาจสู้ราคาค่าเข้าที่สูงถึงยี่สิบนาร์ได้
ขณะถือกระเป๋าหนังสีดำ ลูเซียนเดินตรงไปที่ประตูทางเข้าด้วยอากัปกริยาองอาจน่านับถือ
เมื่อเห็นความสง่างามและชุดสูทเนื้อดีของลูเซียน ยามเฝ้าประตูสองนายก็กล่าวกับเขาด้วยความสุภาพยิ่ง “ยี่สิบนาร์ขอรับ ท่าน และเราจำเป็นต้องตรวจภายในประเป๋าของท่านด้วยขอรับ”
“ได้สิ” ลูเซียนตอบโดยใช้สำเนียงชาวจิบูตี “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่เพื่อรวมงานเปิดตัว และนี่ก็คือกระเป๋าสัมภาระของข้า”
ทันทีที่เปิดกระเป๋า เหรียญทองนับสิบๆ เหรียญที่เปล่งประกายวิบวับกับเสื้อผ้าชั้นดีก็แตะตายามเฝ้าประตูอย่างจัง
หลังจากได้รับเงินห้าสิบนาร์จากลูเซียน ยามทั้งสองก็ค้อมศีรษะให้เขาและปล่อยให้เขาเข้าไปด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
ลูเซียนเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์พร้อมกับกระเป๋าหนังสีดำของเขา
มันเป็นกระเป๋าชนิดพิเศษ ที่ข้างใต้นั้นมีช่องลับซ่อนอยู่
……………………………………….