Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 19 หลักสูตรเร่งรัด
ลูเซียนสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนจะเปิดหนังสือปกแข็งเหมือนกับการเปิดโชคชะตาหน้าใหม่ เขาพบว่าหน้าแรกของบทที่หนึ่งคือ ‘การออกเสียง’ และรู้สึกมีความสุขแต่ไม่ประหลาดใจเลยที่ตัวอักษรเหล่านี้ถูกใช้ในบันทึกเวทมนตร์
สำหรับลูเซียนที่ใช้ภาษากลางได้คล่องอยู่แล้ว ตราบใดที่เขาสามารถอ่านออกเสียงตัวอักษรทั้งสามสิบสองตัวได้อย่างเชี่ยวชาญและเข้าใจกฎการสะกดคำขั้นต้น เขาก็สามารถลองอ่านคำศัพท์ต่างๆ แล้วเปรียบเทียบกับคำและพยางค์ในการพูด เพื่อให้เข้าใจความหมาย นอกจากนี้เขายังสามารถหัดเขียนคำศัพท์ได้จากการเรียนออกเสียงตัวอักษรและการสะกดเบื้องต้น แบบนี้ การเรียนรู้ภาษากลางก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว
วิกเตอร์ไม่ได้สังเกตเห็นความสุขเล็กๆ ของลูเซียน เขาเริ่มออกเสียงตัวอักษรทั้งสามสิบสองตัวซ้ำๆ อย่างใจเย็นและจริงจัง พลางเฝ้ามองลูเซียนขีดเขียนสัญลักษณ์แปลกประหลาดลงบนกระดาษ เขาอ่านออกเสียงกลับไปกลับมาสองครั้ง ก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งถัดจากเขาด้วยท่าทางพออกพอใจ “เจ้าอ่านทวนอีกหลายๆ ครั้ง หากข้ากลับมา แล้วเจ้าอ่านออกเสียงได้ถูกต้องทั้งหมด ข้าก็จะเริ่มสอนกฎการสะกดคำและการสร้างประโยคเบื้องต้น”
เขาเพียงแต่อยากจะให้กำลังใจลูเซียน ในฐานะผู้เริ่มต้นใหม่ ไม่มีทางอยู่แล้วที่เขาจะจำการออกเสียงทั้งสามสิบสองตัวอักษรได้อย่างรวดเร็ว เว้นแต่ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีความทรงจำเป็นเลิศ และตราบใดที่คนประเภทนั้นเต็มใจจะพยายามอย่างหนัก เส้นทางอาชีพของเขาก็จะประสบความสำเร็จอย่างมากมาย
ลูเซียนอ่านออกเสียงตัวอักษรทั้งหมดอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นจึงเปรียบเทียบกับการออกเสียงในภาษาจีนผสมกับภาษาอังกฤษที่เขาทำเครื่องหมายไว้บนกระดาษ หลังจากแน่ใจว่าเขาไม่ได้เข้าใจตัวไหนผิดไป เขาก็สงบสติและเพ่งจิตเข้าไปในห้องสมุด
ห้องสมุดในห้วงจิตปรากฏชั้นหนังสือที่มีป้ายติดว่า ‘ภาษากลาง’ เพิ่มเข้ามา พร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีเครื่องหมายหน้าตาประหลาดกับหนังสือปกแข็ง ซึ่งก็คือสองอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาในความเป็นจริง
พอเปิดหนังสือปกแข็ง ลูเซียนก็ไม่แปลกใจที่เห็นว่ามีแค่หน้าแรกเท่านั้นที่มีเนื้อหา ส่วนหน้าที่เหลือนั้นว่างเปล่า
ลูเซียนจึงเปิด ‘การออกเสียงตามมาตรฐานภาษากลางและไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน’ ที่อยู่บนโต๊ะกลมอย่างรวดเร็วจนครบทุกหน้า แล้วเขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งเมื่อหน้าว่างเปล่าของหนังสือปกแข็งในห้วงจิตของเขากลายเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสมบูรณ์
‘เป็นอย่างที่คิดไว้เลย’ ลูเซียนพูดกับตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ด้วยความช่วยเหลือจากห้องสมุดในห้วงจิต ลูเซียนมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถเรียนภาษากลางได้ในเวลาสั้นๆ เขาจึงเริ่มพยายามออกเสียงตัวอักษรทั้งหมด
รอบแรกเขาอ่านผิดไปเยอะมาก รอบที่สองก็ยังผิดหลายตัว และข้อผิดพลาดเริ่มลดลงในรอบที่สาม แต่เขาท่องได้แค่ตัวหน้าๆ แล้วลืมตัวหลังๆ…สิบห้ารอบผ่านไป ลูเซียนก็บังคับตัวเองให้จำการออกเสียงได้ครบหมดทุกตัว
แน่นอน ลูเซียนรู้ดีว่านี่เป็นแค่ความจำทันที ถ้าเขาไม่ทบทวนบ่อยๆ อีกไม่นานเขาก็จะลืม ในขณะเดียวกันนั้น ลูเซียนก็พบว่าพลังจิตที่เขาเคยใช้กระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ ยังช่วยให้ความทรงจำเขาดีขึ้นมากอีกด้วย
หลังจากที่ลูเซียนท่องวนอีกสองรอบ วิกเตอร์ที่วนสอนจนครบก็เดินมาหาลูเซียนอีกครั้ง
ใบหน้าเขาดูอิดโรยเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับตอนที่ลูเซียนเพิ่งมาถึง เขาดูไม่กระวนกระวายและร้อนรนเท่าไหร่แล้ว ดูเหมือนการเบี่ยงเบนความสนใจจะช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมากจริงๆ
“ลูเซียน ท่องให้ข้าฟังหนึ่งรอบสิ” วิกเตอร์ส่งยิ้มใจดีให้ลูเซียน
ลูเซียนไม่ลังเลที่จะอ้าปากเริ่มท่องออกเสียง แต่ตอนเขาท่องไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เขาก็ลืมการออกเสียงของตัวอักษรบางตัว แต่จิตของเขาก็เข้าไปหาสัญลักษณ์การออกเสียงจากบนกระดาษจดในห้องสมุดห้วงจิตทันที และท่องจนจบอย่างลื่นไหล
ลูเซียนไม่ได้อยากโกง แต่เขามีเงินและเวลาจำกัด จึงต้องเร่งรัดการเรียนขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะยังไม่เชี่ยวชาญ แต่เขาก็มีห้องสมุดในห้วงจิต และสามารถเข้าไปทบทวนทำความเข้าใจอีกครั้งในภายหลัง
วิกเตอร์เตรียมตัวจะช่วยแก้ตัวอักษรที่ลูเซียนออกเสียงผิดหรือจำไม่ได้ พอลูเซียนท่องจบ เขากลับนิ่ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามด้วยความสับสนมึนงง “เจ้าเคยเรียนการออกเสียงมาก่อนหรือไม่”
คำถามนี้ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย คนอื่นๆ ที่กำลังตั้งใจเรียนจึงหันศีรษะมามองลูเซียนด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ไม่ขอรับ” ลูเซียนส่ายหน้าปฏิเสธ
วิกเตอร์ไม่คิดติดใจสงสัย เพียงพยักหน้าและกล่าวชม “ความจำเจ้าดีมาก หายากจริงๆ เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะสอนกฎการสะกดคำให้เจ้า”
เด็กคนอื่นๆ มองลูเซียนด้วยความประหลาดใจ ต่างไม่คาดคิดว่าความทรงจำของเขาจะดีเยี่ยมถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมมีคนที่มองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยัน ด้วยคิดว่าลูเซียนต้องเคยเรียนการออกเสียงมาก่อนแล้ว มิเช่นนั้นเขาจะจำทั้งหมดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร นี่ก็แค่การแสดงเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากวิกเตอร์ เพราะในอนาคตท่านอาจรับเป็นศิษย์จริงๆ และสอนดนตรีให้ก็ได้
ทว่าเรื่องเล็กแค่นี้ไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไรนัก โดยเฉพาะกับนักเรียนชนชั้นขุนนางทั้งสามที่ได้เรียนดนตรีกับวิกเตอร์อยู่แล้ว พวกเขาก้มหน้าลงไปจดจ่อกับโน้ตเพลงและทฤษฎีดนตรีตรงหน้าตนต่ออย่างรวดเร็ว
เกือบหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ลูเซียนตั้งใจเรียนกฎในการสะกดคำโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในตอนนี้ ณ ที่แห่งนี้ ลูเซียนตระหนักขึ้นมาอย่างถ่องแท้ชัดเจนว่า
เวลาเป็นเงินเป็นทอง!
เพราะการเรียนหนึ่งวันต้องจ่ายแพงอย่างยิ่ง!
“เอาล่ะ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน พักกินผลไม้และชาสักครู่แล้วค่อยเรียนกันต่อเถอะ” วิกเตอร์ดูท่าทางอารมณ์ดี และเมื่อคนรับใช้นำชากับจานที่มีผลไม้ฝานวางไว้เข้ามา เขาก็ขึ้นไปชั้นสอง
ชาเสิร์ฟมาในถ้วยกระเบื้องเคลือบมีหูจับสีขาวซีดลวดลายธรรมดา เป็นชาสีออกส้มแดงที่มีกลีบดอกมะลิ ส้ม และอื่นๆ ผสมรวมกัน ผลไม้บางอย่างลูเซียนรู้จักดี แต่บางอย่างก็หน้าตาประหลาดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เด็กหนุ่มในชุดประณีตดูดีอย่างชนชั้นสูงผู้มีเส้นผมสีน้ำเงินเหมือนน้ำทะเลลึก ส่งยิ้มให้กับสหายรอบกายก่อนเอ่ยว่า “ท่านวิกเตอร์คล้ายจะได้รับแรงบันดาลใจนะ หากแรงดลใจยังมีขึ้นเรื่อยๆ ชั้นเรียนวันนี้คงจบลงก่อนเวลาเป็นแน่”
เขาดูแก่กว่าลูเซียนสองสามปี มีดวงตาเรียวยาวและจมูกโด่งสัน เขาถือกระดาษโน้ตเพลงบางๆ อยู่ในมือทั้งสองข้าง ในหมู่นักเรียนจากชนชั้นขุนนาง เขาดูจะโดดเด่นที่สุด เด็กสาวจากชนชั้นสูงนั้นมีอยู่คนเดียว นางสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงเบอร์กันดี นั่งหลังตรงดูสูงศักดิ์ แต่กลับเอ่ยตอบด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“ล็อตต์ ถ้าวันนี้ท่านวิกเตอร์เลิกเรียนเร็ว ท่านจะต้องไปเพิ่มเวลาเรียนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นแน่ แต่ข้าหวังให้ท่านวิกเตอร์เขียนเพลงใหม่เสร็จเสียทีนะ เราจะได้ซ้อมพร้อมกับวง ข้าไม่อยากเรียนทฤษฎีดนตรีน่าเบื่อนี่และฝึกเล่นฟลุ้ตคนเดียวแล้ว เราจะพัฒนาฝีมือได้รวดเร็วหากเราได้ฝึกซ้อมกับทั้งวงซิมโฟนี ออร์เคสตร้า”
นางอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าดูดีเปล่งประกายสดใสล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีแดงราวกับเปลวเพลิง ริมฝีปากนางอวบอิ่มเย้ายวนใจ และเอวไม่ได้ถูกรัดรึงให้คอดกิ่วคล้ายจะหักได้เหมือนเด็กสาวชนชั้นขุนนางส่วนใหญ่ เพราะว่านั่นจะทำให้หายใจลำบาก และเล่นฟลุ้ตไม่ได้
ล็อตต์หันมองเด็กสาวผมแดงแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นักดนตรีออร์เคสตร้าที่ทำงานกับท่านวิกเตอร์เพิ่งมาที่นี่เมื่อสองสามวันก่อนพร้อมกับคอนเสิร์ตมาสเตอร์ผู้หล่อเหลาและมีผมสลวยดั่งดวงจันทร์สีเงิน เฟลิเซีย ตอนนั้นเราสองคนอยู่กับท่านวิกเตอร์ด้วย เจ้าอยากจะฝึกซ้อมกับวงออร์เคสตร้าถึงเพียงนี้ มิใช่ว่าเจ้าหลงรักเขาเข้าแล้วหรอกนะ”
คอนเสิร์ตมาสเตอร์ของวงซิมโฟนี ออร์เคสตร้าคือนักไวโอลินลำดับที่หนึ่ง หากวาทยกรไม่อยู่ เขาจะเป็นผู้ทำหน้าที่แทน
“อย่ามาดูถูกข้าทั้งๆ ที่เจ้าก็เจ้าชู้ไม่เลือก ข้าเพียงคิดว่าทักษะการเล่นไวโอลินของเขายอดเยี่ยมมาก เขาเก่งกว่าคอนเสิร์ตมาสเตอร์คนเก่าเสียอีก” เฟลิเซียโต้กลับ ทว่าสองข้างแก้มกลับแดงเรื่อ “เจ้าไม่คิดหรือว่าเขาเล่น ‘ไวโอลินโซนาตาหมายเลขหนึ่งใน G ไมเนอร์’ ได้น่าประทับใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าทักษะการเล่นไวโอลินของเจ้าจะล้ำหน้าเขาได้ไหมเล่า”
เมื่อพูดถึงเรื่องดนตรี ท่าทางของล็อตต์ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังและตื่นเต้นในทันที และเริ่มถกกับเฟลิเซียเรื่องความรู้ทางด้านดนตรีกับชิ้นเพลง นักเรียนคนอื่นๆ เองก็เสริมความเห็นเข้ามาเป็นครั้งคราว ท่าทางดูสนใจหัวข้อสนทนาอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มจากนักเรียนชนชั้นกลางที่ปกติมักได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาใส่ยังได้รับการพยักหน้าเห็นชอบเมื่อนางเอ่ยแทรกแล้วออกความเห็นราวกับผู้มีความรู้
ในอัลโต้ ดนตรีคือภาษากลางอีกอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่านักเรียนจากชนชั้นสูงมักเมินเฉยคนอื่นๆ จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ในขณะที่นักเรียนจากชนชั้นกลางก็ไม่แยแสลูเซียน และพยายามจะตีสนิทกับนักเรียนจากชนชั้นสูง ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เช่นกัน
ไม่มีการสาดคำพูดเย็นชา ประชดประชัน หรือดูถูกเหยียดหยัน แต่การแบ่งแยกชนชั้นนั้นหยั่งรากฝังลึกยิ่ง
บางที ในความคิดของนักเรียนสูงศักดิ์แล้ว ชนชั้นกลางและผู้ยากไร้นั้นไม่ควรค่าแก่การที่พวกเขาต้องใส่ใจ อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่ได้คุยภาษาเดียวกันด้วยซ้ำ แต่พวกเขามักกันคนอื่นออกจากวงด้วยติดเป็นนิสัย ซึ่งคล้ายกับเป็นการเหยียดโดยไม่รู้ตัว
แต่ลูเซียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด เขากำลังแข่งกับเวลาเพื่อเรียนรู้ให้ได้รวดเร็วเหมือนกับฟองน้ำที่แห้งผากมานาน แล้วถูกโยนลงไปกลางมหาสมุทรแห่งความรู้ จึงดูดซับเอาสารอาหารเข้าหาตัวอย่างตะกละตะกลาม
ถึงอย่างนั้น ลูเซียนก็ยังได้ยินเสียงฮัมเพลงดังมาจากวงสนทนา และค้นพบว่าเพลงของโลกนี้มีความคล้ายคลึงกับโลกเก่า ทั้งสเกลและทำนอง แตกต่างก็เพียงบางตัวโน้ต
‘ช่างเป็นกลุ่มนักเรียนที่จริงจังเสียจริง’ ลูเซียนเงยหน้าขึ้นมองวงสนทนาแสนกระตือรือร้นนั้น พลางจิบชาดำที่มีกลีบดอกมะลิลอยอยู่ รสชาติของมันออกจะแปลกประหลาด ก่อนจะหยิบผลไม้ที่หน้าตาเหมือนสาลี่หิมะขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง แล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือต่อ
ทว่าแรงบันดาลใจของวิกเตอร์มีอยู่ไม่นาน สิบนาทีต่อมาเขาก็ลงมาข้างล่างด้วยใบหน้าอิดโรยและวิตกกังวล
หลังจากค่อยๆ สอนนักเรียนไปสักพัก สภาพอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก
หลังจากพยายามอย่างหนักหน่วงตลอดหนึ่งชั่วโมง ลูเซียนก็ได้เรียนรู้กฎการสะกดคำส่วนใหญ่ก่อนจบชั้นเรียนในวันนี้ และเก็บความรู้นี้ไว้ในห้องสมุดห้วงจิตของเขา
ชั้นเรียนของพวกเขาจบลงตอนสี่โมงสิบนาที แต่นอกจากล็อตต์ เฟลิเซีย และเฮโรโดตัส เด็กหนุ่มอีกคนจากชนชั้นสูงที่เดินไปเข้าห้องดนตรี คนอื่นๆ ที่เหลือต่างยืนขึ้นและออกไปจากห้องโถง
ลูเซียนกำลังทบทวนสิ่งที่เรียนมาในวันนี้จึงเดินไปอย่างเชื่องช้าจนรั้งท้าย เด็กสามัญชนทั้งสามต่างพูดคุยหัวเราะร่าขณะก้าวเดินอย่างรวดเร็วอยู่ข้างหน้าสุด พวกเขามักเหลือบมองเด็กจากชนชั้นสูงอีกสองคนที่อยู่ตรงกลางและกำลังถกกันเรื่องดนตรี แต่ก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไป ส่วนลูเซียนนั้น เด็กชายหญิงทั้งสองชนชั้นเพียงชายตามองไม่กี่ครั้ง
ข้างนอกรั้วมีรถม้าสองคันแล่นมาจอดจากที่ไหนสักแห่ง ม้าสีน้ำตาลพ่วงพีดูสูงใหญ่แข็งแรง พวกมันส่งเสียงฟืดฟาด แล้วนักเรียนสูงศักดิ์ทั้งสองก็ขึ้นรถม้าที่ทางบ้านส่งมาคนละคันท่ามกลางสายตาริษยาของเด็กๆ สามัญชน ก่อนที่มันจะค่อยๆ แล่นจากไป
ไม่ว่าตระกูลขุนนางจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด แต่ตราบใดที่พวกเขายังไม่ถึงกับไม่มีอะไรจะกิน ส่วนใหญ่แล้วก็เลือกที่จะรักษาเกียรติและหน้าตาตน
เด็กทั้งสามเฝ้ามองรถม้าค่อยๆ หายลับไปหลังต้นไม้ใหญ่ตรงหัวมุม ก่อนที่พวกเขาจะตรงไปยังเขตลิลี่ม่วง
ส่วนลูเซียนนั้นทำตัวเหมือนกับพวกคงแก่เรียน เอาแต่ทบทวนสิ่งที่เรียนมาในวันนี้และเดินทอดน่องไปตามถนนใหญ่อย่างเงียบๆ
…
“นี่เจ้าได้เรียนกับท่านวิกเตอร์งั้นหรือ ท่านเป็นนักดนตรีที่เยี่ยมยอด โอ้ อีวานส์น้อย เจ้าอยากจะสานฝันการเป็นนักดนตรีของลุงโจเอลของเจ้าจริงๆ งั้นหรือ” ในมื้อเย็น โจเอลเพิ่งได้ทราบเรื่องอาจารย์สอนหนังสือของลูเซียน จึงได้เอ่ยหยอกเย้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ลูเซียนตอบกลับอย่างเย้าแหย่เช่นกัน “แน่นอนขอรับ ข้าจะเป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต”
หลังจากจบมื้อเย็น ลูเซียนก็รีบกลับบ้าน นอนลงบนเตียงที่เกือบจะพังจนรับน้ำหนักคนไม่ไหว แล้วเพ่งจิตเข้าไปในห้องสมุด เปิดบันทึกเวทมนตร์ที่เขียนด้วยภาษากลาง พยายามจะสะกดและตีความหมายของคำ
แน่อยู่แล้วว่าเพราะมีปัญหาเรื่องสำเนียงการออกเสียงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะคำศัพท์ที่ต้องเรียนเพิ่ม และไวยากรณ์ที่ยังไม่แตกฉาน ลูเซียนจึงไม่คิดว่าจะอ่านบันทึกออกและเริ่มเรียนเวทมนตร์ได้หลังจากเรียนการอ่านมาเพียงวันเดียว เขาแค่ต้องการทบทวนความจำในสิ่งที่ได้เรียนมาในระหว่างวันเท่านั้น
————————————————