Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 20 พยายามอ่าน
เป็นไปตามที่คาดไว้ ลูเซียนไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์เลยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ชั่วโมงหลังมื้อเย็นจนกระทั่งผล็อยหลับไป เขาอ่านและตีความเนื้อหาไปประมาณสิบหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วดูจะเป็นคำที่ไม่ปะติดปะต่อกัน เขาไม่สามารถเรียงคำเป็นประโยคได้เพราะมีหลายคำในบันทึกเป็นคำศัทพ์เกี่ยวกับเวทมนตร์ที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด
แน่นอนว่าความสามารถในการเรียนรู้ของลูเซียนจากประสบการณ์หลายปีในโลกก่อน ทำให้เขาพอจะเดาคำได้จากบริบทโดยรอบ แต่มันก็ยังไม่ถูกต้องแม่นยำนัก เพราะเหตุนี้ ลูเซียนจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเริ่มเรียนเวทมนตร์ เขายังไม่อยากตายเพราะความเข้าใจผิดๆ
โชคดีที่แม่มดเจ้าของบันทึกเวทมนตร์ได้บันทึกสิ่งที่นางเรียนรู้เอาไว้ตลอด บางครั้งก็เป็นความคิดและประสบการณ์ต่างๆ ที่นางได้พบเจอ เหมือนเป็นไดอารี่ และคำที่ใช้ในส่วนนี้ก็เป็นภาษากลาง โครงสร้างไวยากรณ์ก็เหมือนกับที่ลูเซียนใช้พูด ทำให้ลูเซียนอ่านตีความบันทึกประมาณสิบหน้าแรกได้สำเร็จ จึงได้รู้คร่าวๆ ถึงที่มาของบันทึกเวทมนตร์อีกสองเล่ม หรือที่ควรเรียกว่า ตำราเวทมนตร์
แม่มดนางนี้มาจากตระกูลนักเวทที่เหลือรอดจากการทำลายล้างจักรวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาสโบราณ แม้ว่าตระกูลของนางจะใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งลึกอยู่ในหุบเขานับแต่ที่เมืองอัลโต้เข้ามาก่อตั้ง ตำแหน่งที่ตั้งของมันกลับซ่อนเร้นลึกลับ แต่ภายใต้การกวาดล้างโจมตีจากศาสนจักรนับร้อยๆ ปี ผู้คนในตระกูลจึงล้มหายตายจากไปราวกับใบไม้ร่วง หากไม่ใช่ว่าราวหนึ่งร้อยปีก่อน ศาสนจักรไม่ได้เสื่อมอำนาจลงและการไล่ล่าพ่อมดแม่มดก็น้อยลงมาก คาดว่าตระกูลของนางคงย่อยยับไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น ในรุ่นของแม่มดนางนี้ ตระกูลนางก็เหลือเพียงสามคน คือนางและบิดามารดา
หลังจากอุบัติเหตุ ‘อัญเชิญสัตว์ประหลาดที่ลูเซียนอ่านชื่อไม่ออก’ แม่มดนางนี้ก็กลายเป็นเด็กกำพร้า และได้รับสืบทอดตำรา ‘โหราศาสตร์และเวทธาตุ’ และ ‘หนังสือภาพส่วนประกอบสำหรับเวทมนตร์ทั่วไป’ มาอย่างเป็นทางการ
ในสิบหน้าแรกของ ‘ไดอารี่’ นั้นมีแต่คำบรรยายไร้สาระ ดังนั้นพอลูเซียนตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป เขาก็คิดว่า ‘หวังว่าบันทึกเกี่ยวกับการเรียนเวทมนตร์ของเธอจะสมบูรณ์ไม่ตัดเนื้อหาอะไรไปนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องเรียนภาษาซิลวานาสที่ตายไปแล้ว’
…
เพราะงานส่วนใหญ่ที่ลูเซียนจะหาได้จากร้านมงกุฎทองแดงนั้นเกี่ยวข้องกับแก๊งอารอน ลูเซียนจึงกลายเป็นคนว่างงานอีกครั้งและจำต้องใช้เงินเก็บไปก่อนในช่วงนี้
แต่นี่คือสิ่งที่เข้ากับแผนการของลูเซียน จอห์น และโจเอล หรืออีกนัยหนึ่งคือ ให้ลูเซียนตั้งใจเรียนหนังสือในช่วงนี้ไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการแก้แค้นที่อาจเกิดขึ้นได้ ถึงกระนั้น โจเอลก็ยังคงไปเล่นดนตรีอยู่ในเขตบริหารปกครองและอะลิซ่าก็ทำงานซักล้างให้กับสมาคมสิ่งทอ ไอเวินเองก็ตามมารดาไปที่สมาคมสิ่งทอเพื่อช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะได้พบปะกับแก๊งอารอน มีเพียงลูเซียนที่ถ้าเขาเริ่มทำงาน ก็คงยากที่เขาจะหนีจากเขตแดนในตลาดของแก๊งอารอนได้
กระทั่งจอห์นยังขอร้องให้ลูเซียนไม่ออกจากเมืองและไปในสถานที่เปลี่ยวในช่วงนี้ และแม้แต่ยามหลับก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกลอบวางเพลิงจนถูกไฟครอกตายคากระท่อม
ดังนั้น หลังจากที่ลูเซียนลุกจากเตียง เขาก็ล้างหน้า กินขนมปังดำแข็งๆ ที่ถูกทำให้นิ่มขึ้นด้วยการต้มในน้ำ เขาก็รู้สึกว่างเพราะไม่มีอะไรทำ
แน่นอนว่าความรู้สึกนั้นคงอยู่ไม่นานนัก ลูเซียนผ่อนคลายความตึงเครียด แล้วออกไปหาลานกว้างๆ ในเขตอาเดรอน จากนั้นก็ทำตามคำสั่งของจอห์น เริ่มออกกำลังกายและฝึกฝนพื้นฐานการใช้ดาบด้วยไม้พลอง
สำหรับลูเซียนแล้ว ก่อนที่เขาจะได้เรียนเวทมนตร์ วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อก็คือการพยายามเสริมสร้างพละกำลังของตน แม้ว่าจอห์นจะเคยบอกว่าถ้าเขาไม่ได้ออกกำลังกายมาตั้งแต่เล็ก แล้วมาเริ่มเอาตอนอายุสิบหก ก็แทบไม่มีหวังเลยว่าเขาจะสามารถกระตุ้นพรในตัวออกมาได้ เว้นแต่ว่าเขาจะได้รับ ‘น้ำแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์’ มาจากโบสถ์
และลูเซียนก็มีกริชของแจ็คสันอยู่กับตัว หากเกิดเหตุร้ายขึ้นก็นำมาใช้ได้
หลังจากฝึกฝนเสร็จตอนเก้าโมง ลูเซียนก็กลับมาบ้าน พักผ่อนครู่สั้นๆ แล้วเริ่มทบทวนสิ่งที่เขาได้เรียนมาเมื่อวานและพยายามอ่านบันทึกเวทมนตร์ต่อจากเมื่อคืน เขามีความจริงจัง ขยันหมั่นเพียร และสมาธิจดจ่อมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
…
ภายในห้องโถงอาคารหมายเลข 12 ถนนสเนห์วา เขตเกซู
วิกเตอร์มองลูเซียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้าไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนจริงๆ หรือ ไม่ว่าจะการออกเสียง การสะกดคำ หรือไวยากรณ์ก็ไม่เคยเรียนเลยรึ”
ตั้งแต่ท่องการออกเสียงตัวอักษรทั้งสามสิบสองตัวตามที่เขาบอก ไปจนถึงการตอบคำถามอีกมากมาย ลูเซียนก็ตอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎการสะกดคำอีกด้วย ซึ่งปัญหาที่เขาถามมักพบเจอหลังจากที่เริ่มเรียนการสร้างคำและเรียงประโยคตามไวยากรณ์ ความก้าวหน้าในการเรียนของลูเซียนนั้นน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เพียงวันเดียวเขากลับมีความรู้เทียบเท่าผู้เริ่มต้นที่เรียนมาแล้วสามเดือน และเกือบจะตามนักเรียนชนชั้นสามัญชนอย่างคอลินกับเรเน่ทันแล้ว
วิกเตอร์ประหลาดใจกับความเก่งกาจของลูเซียนเป็นครั้งที่สองแล้ว นักเรียนคนอื่นๆ เองก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองลูเซียนอีกครั้ง เจ้าเด็กยากไร้นี่เป็นอัจฉริยะด้านภาษาทั้งพูดและเขียน หรือว่าเขาตั้งใจโกหก ทั้งที่จริงๆ เขามีพื้นฐานมาก่อนแล้วกันแน่
“ท่านวิกเตอร์ ข้าไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนจริงๆ ขอรับ เพียงแต่เวลาที่ข้าเรียน ข้าบังเอิญคิดว่ามันสามารถเชื่อมโยงการออกเสียงกับการพูดทั่วไปตามนิสัย หลังจากเปรียบเทียบและอ้างอิงแล้ว ข้าจึงเรียนรู้ได้เร็วขอรับ” ในเมืองอัลโต้แห่งนี้ ลูเซียนอยากให้ทุกคนมองว่าเขาคืออัจฉริยะบุคคล แต่เขาไม่อยากทำเหมือนว่าตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดเข้าใจยาก มันคงจะเป็นปัญหาแน่หากเขาดึงดูดความสนใจคนของทางโบสถ์ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะบอกวิธีการเรียนของเขาให้ฟังสั้นๆ
นั่นคือวิธีที่ลูเซียนใช้เรียนจริงๆ แต่ถ้าไม่มีห้องสมุดในห้วงจิตช่วยและไม่มีตำราให้พยายามอ่านตีความ ลูเซียนก็คงเรียนรู้ไม่ได้เร็วถึงเพียงนี้
แม้ว่าวิกเตอร์จะเกิดมาในชนชั้นกลาง แต่บิดาเขาก็เป็นนักไวโอลินที่เก่งกาจพอสมควรและได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาขุนนาง เขาจึงได้เรียนภาษากลางมาตั้งแต่ยังเด็กและไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน หลังจากฟังคำอธิบาย เขาก็พยักหน้าและกล่าวชื่นชม “เยี่ยม เยี่ยมมาก เจ้าใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบที่ว่าเจ้าพูดภาษากลางได้อยู่แล้ว ทั้งยังสรุปวิธีการออกมาได้เช่นนี้ มันพิสูจน์แล้วว่าเจ้าเก่งกาจมีความสามารถทางด้านภาษา”
ความพึงพอใจของเขาต่อตัวลูเซียนนั้นชัดเจน
เฮโรโดตัส คอลิน และเรเน่มองลูเซียนด้วยสายตาอิจฉาระคนริษยาเล็กน้อย
พวกเขาเรียนกับวิกเตอร์มาห้าปีแล้ว และไม่มีปัญหาอะไรกับการพูดภาษากลาง แม้กระทั่งล็อตต์กับเฟลิเซียที่เก่งทางด้านดนตรีพอๆ กับภาษา ก็แทบไม่เคยเห็นวิกเตอร์ชื่นชมนักเรียนคนใดมากมายเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสบตากัน
“วิธีการของเขาฟังดูมีประโยชน์นะ” เฟลิเซียพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่วางมือซ้อนกันบนกระโปรง นั่งหลังเหยียดตรงสมกับเป็นกุลสตรีและรักษาท่าทางยโสเอาไว้เล็กน้อย
ล็อตต์ตั้งใจจะยักไหล่ แต่ก็หยุดตัวเองไว้เมื่อคิดว่าท่าทางเช่นนั้นดูไม่เหมาะสมสำหรับผู้สูงศักดิ์ ถ้าไปทำท่าทางเช่นนั้นกับสหายสนิทหรือหญิงสาวที่ชอบมาห้อมล้อมเขา นั่นคงไม่เป็นไร แต่กับเฟลิเซียที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขา คู่แข่งทางด้านดนตรีที่แสนตระหนี่และช่างกระแนะกระแหนผู้นี้ เขามักจะระมัดระวังตัวเสมอ เขาจึงเพียงแย้มยิ้มแล้วกระซิบตอบ “พูดภาษากลางมาตั้งนาน ไม่แปลกที่จะคิดเช่นนั้นได้ แต่มันไม่มีทางใช้ได้ในการเรียนดนตรี ใช่ไหม เฟลิเซีย”
“เจ้าคิดว่าข้าจะไร้เดียงสาและใสซื่อถึงเพียงนั้นเชียวรึ ข้ามีวิธีการเรียนดนตรีของข้าเองหรอก ไม่เหมือนใครแถวนี้ที่คอยแต่จะพึ่งพาพรสวรรค์เล็กๆ น้อยๆ ไม่คิดจะฝึกฝนให้หนัก แต่กลับไปเที่ยวเล่นกับผู้หญิงเป็นฝูง ข้าว่าเจ้าควรจะเข้าใจนะว่าพรสวรรค์ไม่ได้มีให้ใช้ตลอดไป” เฟลิเซียส่งรอยยิ้มแบบเวลาเข้าสังคม เผยฟันขาวๆ แปดซี่ที่เรียงตัวสวยงาม “ถ้าเกิดว่า เอ่อ ชายที่ดูยากจนชื่อลูเซียนผู้นี้เริ่มเรียนดนตรี บางทีเขาอาจจะล้ำหน้าเจ้าไปไกลเลยก็ได้”
นางใช้ลูเซียนมาเยาะเย้ยล็อตต์
ความจริงแล้ว นอกจากตัวลูเซียนที่ไม่ได้รู้เรื่องพื้นฐานของโลกใบนี้ โจเอล จอห์น และคนอื่นๆ ที่รู้ว่าเขาอยากจะเรียนหนังสือเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ คนที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นโคเฮ็น วิกเตอร์ ล็อตต์ เฟลิเซีย เรเน่ และคนอื่นๆ ต่างคิดว่าลูเซียนอยากจะปูทางเพื่อเรียนดนตรี เพราะหากเลือกเรียนกับอาจารย์ท่านใดก็เหมือนกับเลือกเส้นทางอาชีพในอนาคตไว้แล้ว
ยกตัวอย่าง เช่น หากอยากเป็นเสมียนในพระราชวังหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจัดการภายในศาลาว่าการ เช่นนั้นก็ต้องเลือกเรียนหนังสือกับอาจารย์ที่มีภูมิหลังทางด้านกฎหมายและประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นักดนตรีอย่างวิกเตอร์
สำหรับนักเรียนที่ไม่ได้มาจากชนชั้นสูงหรือน้อยนักที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกขุนนาง พวกเขาจะไม่มีทางได้รับการยอมรับ แม้แต่ในเส้นทางอาชีพนักดนตรีที่พึ่งพาความสามารถของตัวเองเป็นหลัก หากพวกขุนนางไม่ชื่นชม ยอมรับ หรือตามหาตัว ก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่านักดนตรีได้จริงๆ
ล็อตต์ยิ้มเยาะ “หากเขาล้ำหน้าข้าได้ ก็ต้องล้ำหน้าเจ้าด้วยน่ะสิ เฟลิเซีย”
เฟลิเซียกำลังจะโต้กลับ แต่ก็เห็นว่าวิกเตอร์ตวัดสายตามามองเสียก่อน นางจึงแสร้งทำเป็นจัดผมสีแดงเพลิงแล้วก้มหน้าลงตั้งใจอ่านโน้ตเพลงต่อไป
เมื่อวิกเตอร์มั่นใจแล้วว่าลูเซียนคือผู้มีพรสวรรค์แท้จริง เขาก็เร่งความเร็วในการสอนลูเซียนขึ้น ไม่นานเขาก็จบเรื่องกฎการผสมคำ และเริ่มพูดถึงพื้นฐานไวยากรณ์ ซึ่งนั่นเป็นไปตามความตั้งใจของลูเซียน
…
วันศุกร์ วันสุดท้ายที่ลูเซียนจะได้เรียนในสัปดาห์นี้
หลังจากเรียนมาหลายวัน ลูเซียนก็ใช้ไวยากรณ์ส่วนใหญ่ได้คล่องแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเขายังรู้คำศัพท์น้อยเกินไป เขาคงจะเริ่มเรียนเวทมนตร์ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ลูเซียนได้อ่านบันทึกของแม่มดไปจนเกือบจะเหลือเพียงไม่กี่หน้าแล้ว และก็ได้รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงมาที่เมืองอัลโต้แห่งนี้
‘ยิ่งพลังจิตของข้ากล้าแกร่งขึ้นเท่าไหร่ การจะเพ่งจิตเข้าสู่ฌานก็ทำได้ยากขึ้นเท่านั้น มีทางใดจะพัฒนามันได้หรือไม่นะ’
‘ข้าควรลองเสี่ยงเข้าฌานด้วยวิธีที่นักเวทชั้นสูงเท่านั้นที่จะใช้ได้ดีหรือไม่’
‘ข้าเกือบตาย มันอันตรายมาก บางทีข้าควรจะทำตามวิธีนี้เพื่อฝึกฝนพัฒนาการเข้าฌานของผู้ฝึกใช้มนตราก่อน’
‘ไร้เป้าหมาย ไร้หนทาง ไม่แปลกเลยที่หลังจากสืบทอดกันมากว่าหลายร้อยปี บรรพบุรุษข้าถึงพัฒนาการเข้าฌานของผู้ฝึกใช้มนตราไม่ได้ เป็นข้าเองที่อวดดีและตื้นเขิน’
‘กระทั่งโครงสร้างเวทมนตร์ระดับแรกยังซับซ้อนถึงเพียงนี้ การสร้างสัญลักษณ์เวทมนตร์ช่างยากเย็นยิ่ง’
‘จะบ้าตาย ข้าสร้างสัญลักษณ์เวทมนตร์ไม่ได้และไม่อาจใช้เพียงน้ำยาเวทมนตร์เพื่อยกระดับพลังขึ้นเป็นนักเวทจริงๆ’
‘บางที ข้าน่าจะลองใช้ ‘น้ำยาเบิกพลังเวท’ ที่บรรจุเวทมนตร์ระดับหนึ่งไว้ในตัว มันอาจทำให้ข้ากลายเป็นนักเวทจริงๆ เสียที’
‘ข้าหาดอกกอร์สเยือกแข็งที่ต้องใช้ไม่พบ’
‘อัลโต้คือเมืองใหญ่และมั่งคั่งที่สุดในทางตะวันตกของทวีป และยังเป็นเมืองที่มีนักเวทแอบซ่อนตัวอยู่มากมาย บางทีข้าน่าจะลองไปเสี่ยงโชคดู’
นั่นคือสิ่งที่ลูเซียนอ่านจากไดอารี่ของแม่มด เขานึกอยากรู้เกี่ยวกับประสบการณ์หลังจากที่นางมาถึงเมืองอัลโต้แล้ว จึงตัดสินใจว่าจะอ่านหน้าที่เหลือให้จบ
วันนี้ลูเซียนมาเรียนกับวิกเตอร์ โดยมีความคิดว่า ระหว่างที่เขาเรียนเรื่องไวยากรณ์ให้คล่อง เขาจะหาโอกาสขอยืมพจนานุกรมภาษากลางแล้วรีบบันทึกมันเก็บไว้ที่ห้องสมุดในห้วงจิต ถ้าทำสำเร็จ บางทีวันหยุดสองวันที่จะถึงนี้ ลูเซียนอาจจะได้เริ่มเรียนเวทมนตร์ก็ได้
ในใจลูเซียนพองฟูด้วยความคาดหวัง
————————————————