Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 202 พลังแห่งความเชื่อ
เนื่องจากตอนนี้เขายังเปิดผนึกได้เพียงชั้นเดียว ‘มงกุฎสุริยัน’ จึงสัมผัสได้เพียงกลิ่นอายรุนแรงของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ และเพราะว่ามันจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ทรงพลังเท่านั้น จึงหมายความว่ามีผีดิบที่น่าหวาดเกรงกำลังจ้องมองลูเซียนอยู่ในขณะนี้
ทว่าลูเซียนยังคงรักษาท่าทางสงบนิ่งเอาไว้ และเมื่อเขาลอบกวาดตามองไปรอบๆ ห้องทำงาน เขาก็ไม่พบว่ามีใครอื่นนอกจากเขา
แม้ว่าแสงอาทิตย์ฤดูหนาวจะให้ความรู้สึกดีและอบอุ่น ลูเซียนกลับรู้สึกหนาวเหน็บภายในกาย
ด้วยความพยายามอย่างที่สุดที่จะทำตัวตามปกติ ลูเซียนหยิบแผ่นกระดาษแล้วแสร้งทำเป็นอ่านโน้ตเกี่ยวกับแต่ละธาตุที่เขียนไว้อย่างตั้งอกตั้งใจ
‘มงกุฎสุริยัน’ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ และขณะจ้องมองบนแผ่นกระดาษอยู่นั้น ลูเซียนก็รู้สึกคล้ายกับว่ามีกะโหลกสีขาวที่มีดวงตาสีแดงเลือดกำลังอ่านโน้ตอยู่ข้างๆ ใบหน้าเขา
แต่บนกระจกกลับสะท้อนภาพลูเซียนเพียงคนเดียวในห้องทำงาน
ลูเซียนนึกสงสัยว่าเจ้าสิ่งนี้ถูกส่งมาจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ใช่หรือไม่ แต่เขากลับค่อนข้างมั่นใจว่าฝ่ายนั้นยังคงสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศาสตราจารย์ แทนที่จะคิดว่าเขาคือนักเวทผู้ลึกลับโดยตรง มิเช่นนั้นสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้จะต้องทำมากกว่าแค่จับตามองไปแล้ว
แม้ว่าในหัวลูเซียนจะมีความคิดมากมายแล่นผ่าน เขากลับไม่แสดงอากัปกิริยาใดผิดแปลกไปเลย ลูเซียนทำตัวเหมือนนักวิจัยส่วนใหญ่ที่ทุ่มเทให้กับงานวิจัยของตน เอาแต่ศึกษาเกี่ยวกับการวิจัยเรื่องธาตุต่อไป
ในหัวเขานั้น เขารู้ว่าตนเองจำเป็นต้องเร่งมือและรีบเขียนรายงานการวิจัยอาร์คานาหัวข้อต่อไป
เมื่อเริ่มเย็นย่ำ ลูเซียนก็วางแผ่นกระดาษทั้งหมดลงและเดินออกไปจากห้องทำงาน ความร้อนที่ ‘มงกุฎสุริยัน’ แผ่ออกมานั้นตอนนี้แทบไม่รู้สึกถึงแล้ว แต่ยังคงค่อนข้างอุ่นพอสมควร ซึ่งนั่นหมายความว่าสัตว์ประหลาดตนนั้นยังคงไม่จากไปไหน
ลูเซียนผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เพราะเขารู้แล้วว่ามันเพียงจับตามองเขาเท่านั้น สิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องทำและทำได้ในตอนนี้ก็คือทำตัวตามปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
…
หลังรับประทานมื้อเย็น ลูเซียนก็มาที่ห้องทดลองในหอคอยเหมือนเดิม ทันทีที่เขาเข้ามาในหอคอย ความร้อนจาก ‘มงกุฎสุริยัน’ ก็หายไปโดยสิ้นเชิง
ลูเซียนดีใจอย่างยิ่งที่เห็นว่าวงแหวนเวทอันทรงพลังที่ปกป้องหอคอยนี้สามารถกีดกันผีดิบจากการติดตามเขาเข้ามาในนี้อีกด้วย
ในขณะนั้นเอง เคก็เดินตรงมาหาเขา “ลูเซียน ข้านึกว่าวันนี้เจ้าจะไม่มาเสียแล้ว”
“ข้าเข้มแข็งกว่าที่คิดนะ” ลูเซียนยิ้มตอบ จากนั้นจึงเดินเคียงข้างกายเคไป “ว่าแต่ ประเด็นเกี่ยวกับธาตุที่เจ้ากำลังใช้เขียนรายงานอยู่คืออะไรงั้นรึ เค ขออภัยด้วยที่ข้าลืมถามเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้”
เคเกาศีรษะตนเองเล็กน้อยแล้วตอบอย่างขัดเขิน “มันเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ธาตุต่างๆ มีความเชื่อมโยงกับโมเลกุลในจำนวนจำเพาะเวลาทำการทดลองที่เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ หรือก็คือ… บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับจำนวนอะตอมของธาตุธาตุหนึ่งที่ท่านแลร์รี่เป็นผู้เสนอน่ะ”
“นั่นคือรากฐานของศาสตร์แห่งธาตุนี่นา ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่าเหตุใดท่านแลร์รี่ถึงชื่นชมในความสามารถของเจ้า เค” ลูเซียนพยักหน้ารับอย่างจริงใจ
เคเป็นคนขี้อายอย่างมาก เขาไม่ได้ตอบรับอะไร เพียงส่งยิ้มให้แล้วก้มหน้าลง
ในตอนนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านมาก็มองเห็นลูเซียนกับเค
“สายัณห์สวัสดิ์ ท่านเค ท่านอีวานส์” ชายหนุ่มผมดำใบหน้าธรรมดาๆ กล่าวทักทาย แต่ลูเซียนไม่แน่ใจนักว่าบนใบหน้าอีกฝ่ายจะเรียกว่ารอยยิ้ม
เคทำหน้านิ่งตอบกลับไป “สายัณห์สวัสดิ์ บีตย์”
จากนั้นเขาก็หมุนกายเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่ ลูเซียนตามติดไปหลังจากพยักหน้าทักทายเล็กน้อย
“ท่านไม่เหมือนพวกเรานะ ท่านอีวานส์” บีตย์แย้มยิ้ม “ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิดสินะ”
เคหันขวับกลับมาอีกครั้งและเอ่ยตอบโต้อย่างกรุ่นโกรธ “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ บีตย์ แม้ว่าลูเซียนจะละเมิดกฎจริงๆ เขาก็ยังใหม่มาก และเจ้าจะมาบอกเขาก่อนก็ได้นี่”
“แหม… แหม… ท่านคนดีของเราโกรธเสียแล้ว หายากนะเนี่ย” บีตย์พูดกับสหายของตน จากนั้น ใบหน้ายาวๆ ของเขาก็ดูจริงจังขึ้น “ท่านอีวานส์สมควรจะได้รับบทเรียนเพื่อให้ตระหนักว่าการไม่ทำตามขนบธรรมเนียมของสำนักนี้เป็นเรื่องที่รับไม่ได้เพียงไร”
ก่อนที่ลูเซียนจะได้พูดอะไร บีตย์ก็เอ่ยแทรกขึ้น “ตอนนี้ข้าไม่สนว่าใครคือคนละเมิดกฎ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าก็คือการพัฒนาศาสตร์แห่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หากเจ้ายังยึดติดกับทฤษฎีผิดๆ และเชื่อว่าอะตอมคือรากฐานของโลกใบนี้ต่อไปล่ะก็นะ เค ข้าเกรงว่าหัวเจ้าจะระเบิดเพราะคิดมากเกินไปเสียก่อน ฮ่า ตอนนี้เราจะศึกษาการประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามท่านเฟอร์นันโด โชคดีนะพ่อหนุ่มศาสตร์แห่งธาตุ”
ปกติแล้วบีตย์ไม่ใช่คนช่างพูดอะไร แต่ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดี เช่นเดียวกันกับสหายของเขา
ลูเซียนหัวเสียอย่างยิ่ง แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ หลังจากที่อีกฝ่ายเดินจากไป ลูเซียนจึงหันมาถามเคด้วยความมึนงง “เค นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน ที่ว่า… หัวคน… จะระเบิดน่ะ”
เคตอบด้วยเสียงทุ้มเบา ทว่าก้องสะท้อนในพื้นที่แคบๆ แห่งนี้ “นี่ไม่ใช่ทฤษฎีที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการหรือก แต่เป็นสมสมติฐานที่ประธานสภาเวทมนตร์เสนอขึ้น ท่านเชื่อว่าโลกแห่งฌานของคนคนหนึ่งคือสิ่งที่สะท้อนถึงความเข้าใจในธรรมชาติของโลก และแนวคิดกับองค์ความรู้ที่คนผู้นั้นมี
ลูเซียนพยักหน้า และเขาก็นึกเห็นด้วยกับท่านดักลาสอยู่ในใจ
“นอกเหนือจากการเข้าฌานแบบทั่วไปนับสิบแบบที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการเข้าฌานที่สุดแล้ว การเข้าฌานแบบอื่นๆ จะต้องทำงานร่วมกับสภาพแวดล้อมจำเพาะของพวกมันให้ได้ ถ้าไม่ หรือถ้าสภาพแวดล้อมไม่มั่นคงพอ พลังวิญญาณของคนผู้นั้นก็อาจระเบิดขึ้นได้ และนั่นอาจส่งผลร้ายแรงต่อดวงจิตและโครงสร้างสมอง หรือ ถึงขั้นระเบิดศีรษะเป็นชิ้นๆ” เคอธิบายอย่างจริงจัง “หากความเชื่อของนักเวทถูกพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องผิดจากทฤษฎีใหม่ และถ้าเขาหรือนางยอมรับหรือทำความเข้าใจทฤษฎีใหม่ไม่ได้ สภาพแวดล้อมในการเข้าฌานอาจไม่มีความเปลี่ยนแปลง ตามที่เจ้าอาจรู้นะ ลูเซียน การเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการดำรงอยู่และเข้าใจในธรรมชาติของโลกนี้ของคนผู้หนึ่งอาจเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง ดังนั้นการไม่สามารถปรับตัวเข้ากับองค์ความรู้ใหม่จะส่งผลต่อวิธีการเข้าฌานและความมั่นคงภายในโลกแห่งฌานอย่างยิ่งยวด มีหลายๆ คนเสียชีวิตเพราะเหตุนี้ มีเพียงนักเวทไม่กี่คนเท่านั้นที่ก้าวข้ามมันมาและกลับมายืนอยู่บนเส้นทางที่ถูกที่ควรได้”
ลูเซียนตกตะลึงนิ่งงัน ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดฟิลิปจึงโมโหและอ่อนไหวถึงขนาดนั้นตอนที่ลูเซียนสังเคราะห์คาร์บาไมด์ออกมาต่อหน้าต่อตาเขา แต่ตอนนี้เขาเข้าใจเหตุผลแล้ว โชคดีที่การทดลองของเขายังไม่ได้โค่นล้มทฤษฎีแห่งพลังชีวิตไปเสียทั้งหมด มิเช่นนั้นเขาคงจะถูกนักเวทศาสตร์มืดสังหาร ณ จุดนั้นไปแล้ว
ชายผู้มีสติปัญญาและมีความอุตสาหะเช่นฟิลิปนั้น ลูเซียนมั่นใจว่านักเวทศาสตร์มืดผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มคนไม่กี่คนที่จะสามารถเปลี่ยนความเชื่อได้อย่างรวดเร็วพอ ตามที่เคกล่าว ลูเซียนยังคิดเดาอีกด้วยว่าตอนนี้ฟิลิปคงจะพยายามหาทางโค่นล้มทฤษฎีแห่งพลังชีวิตด้วยตนเองอยู่ เพื่อที่จะไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้กับศัตรู ซึ่งอาจสร้างความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง
ไม่แปลกใจเลยที่ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ จะส่งผีดิบอันทรงพลังเช่นนั้นมาจับตามองลูเซียน
เคพูดต่อโดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นถึงปฏิกิริยาของลูเซียน “แต่ทฤษฎีทั้งหมดที่มีอยู่ยังคงเป็นที่ถกเถียงอย่างดุเดือดและยังต้องเผชิญหน้ากับคำวิพากษ์วิจารณ์นานาชนิด ดังนั้นพวกมันจึงไม่แกร่งพอจะทำลายความเชื่อของเหล่านักเวท ด้วยเหตุนี้ การที่พลังวิญญาณจะระเบิดโพลงจึงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก แต่เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากมีการอภิปรายใหญ่หลายๆ ครั้ง และการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าได้รับการยอมรับ นักเวทระดับสูงและระดับกลางหลายคนชีวิตลงเพราะความเชื่อของพวกเขาถูกทำลายลง ยังมีเรื่องที่ว่าไม่นานมานี้ ตอนที่แสงสว่างได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า บาทหลวงหลายท่านในโฮล์มกลับเสียชีวิตจากแสงศักดิ์สิทธิ์ในกายขณะที่กำลังสวดภาวนา ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่าข้อสมมติฐานของท่านประธานสภานั้นถูกต้อง และผู้ที่อดทนต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้ก็จะแข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้น”
“การพัฒนาอาร์คานาศาสตร์และเวทมนตร์ต้องแลกมาด้วยหยาดโลหิตและน้ำตา” ลูเซียนพยักหน้า ดูท่าทางเคร่งเครียดจริงจังขึ้น เขาเชื่อว่าเหตุผลที่เขาสามารถเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการเข้าฌานของตนเองได้อย่างง่ายดายนั้นเป็นเพราะเขามีองค์ความรู้ที่ถูกต้องติดตัวมาจากโลกเดิม แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เขาก็จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าความรู้พวกนี้เป็นจริงหรือไม่เสียก่อน
“เพราะเหตุนี้ ความท้าทายที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับนักเวทที่แต่เดิมศึกษาตามระบบเวทมนตร์โบราณก็คือพวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้เสียใหม่ มีหลายคนที่ไม่ยอมรับมัน พวกเขาจึงไม่มีความคืบหน้าใดๆ” เคพยักหน้าให้ลูเซียน “แต่เจ้ากลับแตกต่างออกไป ลูเซียน เจ้าไม่เพียงแต่จะเติบโตไปพร้อมๆ กับพวกนักเวทฝึกหัดที่เจ้าสอน แต่ยังกระทั่งทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีแห่งอาร์คานา เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นจอมเวทจริงๆ ลูเซียน”
…
หนึ่งเดือนต่อมา ภายใต้การจับตามองของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ลูเซียนก็ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของธาตุทั้งหมดบนโลกใบนี้เสร็จสิ้น ทว่า เขาไม่ได้แสดงลำดับที่ถูกต้องในการเรียงแผ่นกระดาษชื่อธาตุของเขาในห้องทำงาน เพื่อที่จะปิดซ่อนการค้นพบนี้ ลูเซียนจะไปทำส่วนสำคัญๆ ในห้องทดลองกับในห้องสมุดห้วงจิตของเขา
จากนั้นลูเซียนก็เริ่มร่างรายงานการวิจัยชิ้นที่สองของเขา และหัวข้อของมันก็คือ
‘ลำดับความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติของธาตุและการคาดการณ์ธาตุใหม่ๆ’
………………………….