Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 236 เวทมนตร์ใหม่ของลูเซียน
หลังจากเผชิญกับความประหลาดใจครั้งใหญ่อันเนื่องมาจากประสบการณ์สองครั้งก่อนหน้า ความจริงที่ว่า ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ ถูกล้มล้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดใจเกินไปสำหรับเหล่าพระคาร์ดินัลหลวงทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาจินตนาการได้เลยว่า ‘สภาเวทมนต์’ กำลังจ้องเล่นงานแนวคิด ‘รังสรรค์นิยม’ อันเป็นอาณาจักรของพระเจ้า
ความสำเร็จจากการทดลองครั้งนี้เสมือนบังคับให้เหล่าพระคาร์ดินัลหลวงและวีระอัศวินเกิดข้อกังขาในแนวคิดรังสรรค์นิยม และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าดินแดนต้องห้ามนี้มิใช่เป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวใช่หรือไม่ พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร การแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดดูเหมือนจะเป็นเพียงวิธีเดียวที่สามารถปิดบังความกลัวและความรู้สึกผิดภายในจิตใจ
ตลอดช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา พระพระสันตะปาปาหลายพระองค์ต่างให้ความสำคัญกับการใช้อาร์คานาศาสตร์ในการพัฒนาอาคมเทพ ดังนั้น เหล่าพระคาร์ดินัลหลวงก็ฝักใฝ่ในอาร์คานาศาสตร์เช่นกัน หากมีพระคาร์ดินัลหลวงรูปหนึ่งเข้าไปยังสภาเวทมนตร์ ภายในหนึ่งหรือสองปี เขาหรือนางก็พัฒนาถึงขั้นระดับกลาง ฉะนั้น แม้จะดูเหมือนว่าพวกเขาโกรธกันมาก แต่พวกเขาก็มีความคิดนานัปการขึ้นในสมอง โดยหวังจะใช้ภูมิปัญญาค้นหาช่องโหว่ในการทดลอง ตราบใดที่พวกเขาสามารถค้นพบช่องโหว่นั้นได้ ก็อาจตอบโต้ได้ว่าการทดลองมีข้อบกพร่อง และจะสามารถปกป้องแนวคิดรังสรรค์นิยมไว้ได้
ก่อนที่พระสันตะปาปาจะพูดอะไรออกมา หอประชุมแสงพิสุทธิ์เต็มไปด้วยเสียงดังเอ็ดตะโรราวกับตลาดในนครแลนซ์
“การทดลองครั้งนี้เป็นเพียงต้นแบบของสภาพแวดล้อมธรรมชาติยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีระบุไว้ในตำนาน ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่านี่เป็นสภาพแวดล้อมจริงๆ ที่ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ ทรงสร้างโลกใบนี้” พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่สองกล่าว
“แต่พระคัมภีร์ก็บัญญัติไว้เหมือนกัน… ฟ้าผ่า น้ำท่วม ภูเขาไฟ…”
“สิ่งที่พระคัมภีร์บัญญัติก็เป็นเพียงสภาพแวดล้อมที่จับต้องได้ แต่แล้วเรื่องก๊าซล่ะ? มีความเป็นไปได้ที่ก๊าซต่างๆ ที่ใช้ในการทดลอง หาใช่ก๊าซเดียวกันกับครั้งเมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งแรก พวกท่านสังเกตเห็นหรือไม่ว่าไม่มีการใช้ออกซิเจนในการทดลองครั้งนี้? ทั้งที่ในสายตาของพวกสภาเวทมนตร์ ออกซิเจนเป็นก๊าซที่มีประโยชน์ที่สุดต่อร่างกายมนุษย์”
“แต่… นี่เป็นเพียงสมมติฐานของเราฝ่ายเดียว…”
“เราไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ข้อผิดพลาดของพวกเขา เราเพียงต้องให้ความสำคัญกับข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการทดลองครั้งนี้” พระสันตะปาปากล่าว “นั่นมันหน้าที่ของพวกจอมเวทที่ควรจะพิสูจน์ทุกอย่าง ไม่ใช่เรา หากพวกเขาไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ พวกเขาก็ไม่มีทางล้มล้างแนวคิดรังสรรค์นิยมลงได้”
มุมมองใหม่ของพระสันตะปาปาครั้งนี้ช่วยทำให้เหล่าพระคาร์ดินัลหลวงสงบลง พวกเขามีอารมณ์เกรี้ยวกราดน้อยลง และเริ่มรับฟังสิ่งที่พระสันตะปาปากล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งมากขึ้น
น้ำเสียงของพระสันตะปาปาหนักแน่นขึ้น “ไม่ว่าการทดลองครั้งนี้จะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม เรายอมรับว่าการทดลองครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่าองค์ประกอบชีวิตสามารถสร้างขึ้นได้จากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ อย่างไรเสีย นั่นเป็นสิ่งที่จะสั่นคลอนความเชื่อต่อพระเจ้าของพวกท่านนั้นหรือ? พวกท่านจะกล่าวว่าพระเจ้ามิได้ประทานชีวิตให้กับเรางั้นหรือ?”
พระคาร์ดินัลยังคงสงบนิ่ง
“กายหยาบล้วนต้องการวิญญาณ แต่วิญญาณไม่จำเป็นต้องมีกายหยาบ วิญญาณที่ไม่มีกายหยาบก็ถือเป็น ‘พระวิญญาณบริสุทธิ์’ ผู้วิงวอนต่อพระเจ้า หรือชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง เราขอถามพวกท่านว่า… แก่นแท้ของชีวิตคืออะไร?”
“แก่นของชีวิตคือวิญญาณที่สามารถเข้าสู่สวรรค์ขุนเขา มิใช่เลือดเนื้อ เราคิดว่าเหตุผลที่ทำไมพวกท่านถึงรู้สึกสับสนอยู่ในตอนนี้ก็เพราะพระสันตะปาปาพระองค์แรกผู้รวบรวม ‘พระคัมภีร์’ มิได้แสดงข้อนี้อย่างกระจ่างชัด”
“ทุกท่านลองบอกเราเถิด… ใครคือผู้สร้างธรรมชาติ? ใครคือผู้สร้างกฎแห่งธรรมชาติ? คำตอบก็คือพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ครอบครองกิตติศัพท์ขององค์ประกอบชีวิตซึ่งกำเนิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ!”
คำถามและคำตอบมากมายได้ไขข้อสงสัยและตีความแนวคิดรังสรรค์นิยมใหม่ ความกระวนกระวายในห้วงความคิดของเหล่าพระคาร์ดินัลหลวงก็ค่อยๆ หายไป จนสามารถกลับมาเป็นผู้ศรัทธาโดยไร้ข้อกังขาได้อีกครั้ง
ซาร์ด พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญ ซึ่งเดินทางผ่านประตูมิติตรงมาจากนครอัลโต้สู่ราชอาณาจักรโฮล์ม กำลังทำเครื่องหมายกางเขนบนหน้าอก สายตาของเขาเพิ่งโดยปกติมักจะขุ่นมัวตอนนี้กลับเป็นประกายสดใส “กิตติศัพท์อันงามของพระผู้เป็นเจ้า พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ได้โปรดสำแดงเจตจำนงอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าแก่เหล่าบาทหลวงและพระคาร์ดินัลทั้งหลายเถิด เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่และกิตติศัพท์อันงามของพระเจ้า”
หากเปรียบเทียบกับตอนที่ลูเซียนได้เจอกับซาร์ดในโรงละครซาล์มฮอล ซาร์ดในตอนนี้ดูมีอายุและทรงภูมิขึ้นมาก ดวงตาของเขาดูลึกและดำยิ่งขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าดวงตาคู่นี้สามารถดูดซับแสงรอบๆ
“นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้ พวกเราจำเป็นต้องช่วยให้เหล่าพระคาร์ดินัลและบาทหลวงในทุกๆ สังฆมณฑลตระหนักถึงเจตจำนงอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า” พระสันตะปาปาออกคำสั่งอย่างสุขุม “ขณะเดียวกัน ให้ส่งคนไปที่โฮล์มและโคเล็ตต์เพื่อช่วยงานฟีลิเบลและวาฮารัลล์ในการเรียกความเชื่อมั่นจากผู้คน”
แม้จะชัดเจนว่าภารกิจที่สำคัญที่สุดตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ก็คือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับรากฐานความเชื่อของศาสนจักร และยังไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะเข้าทำสงครามห้ำหั่นกับ ‘สภาเวทมนตร์’ สโตนและอัศวินคนอื่นๆ ก็ยังมีอาการกระสับกระส่าย
“พระองค์ เราควรปล่อยพวกนักเวทไปไหมพะยะค่ะ? ศาสนจักรของพวกเราถูกดูหมิ่นถึงเพียงนี้ พวกมันต้องชดใช้ด้วยเลือด ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย พวกนักเวทจะมองว่าเราอ่อนแอและขี้ขลาด แล้วพวกมันจะลอบกัดเราไปเรื่อยๆ”
“นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาอยากให้เราประกาศสงครามขณะที่เรายังไม่พร้อม และถ้าเราหลงกล เราจะเป็นฝ่ายเสียหายครั้งใหญ่จากการเผชิญหน้ากับศัตรูจากศาสนจักรฝ่ายเหนือ และพวกผู้ศรัทธาในลัทธินอกรีตและอสุรกายจากโลกมืดใน ‘เทือกเขาแห่งความมืด’ แม้พวกเขาจะได้รับความเสียหายครั้งใหญ่เช่นกัน แต่เราจะมีศัตรูเพิ่มเสียยิ่งกว่าตอนนี้ หากไม่มีเราคอยขัดขวางไว้ สภาเวทมนตร์จะเติบโตอย่างรวดเร็วมาก” พระสันตะปาปาตอบอย่างสุขุม “พวกนักเวทรู้ดีว่าเราจะต้องมีสงครามครั้งใหญ่ไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้น พวกเขาถึงอยากให้เราเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม ขณะที่เราถือไพ่ที่เป็นรอง นั่นก็เพราะการตั้งรับเป็นเรื่องง่ายกว่าการโจมตีมากมายนัก เรารับใช้พระเจ้า เราเทิดทูนในกิตติศัพท์อันงามของพระผู้เป็นเจ้าไว้สูงสุด หาใช่กิตติศัพท์ของเราเอง เราสามารถแทรกซึมเข้าไปในสภาเวทมนตร์ได้ในระดับหนึ่ง และเราจะทำให้พวกเขาได้ชดใช้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ อย่างไรเสีย เราต้องเริ่มหันมาสนใจกับสภาเวทมนตร์เป็นเป้าหมายหลัก นับตั้งแต่นี้ไป”
จากนั้น พระสันตะปาปาก็หันไปเริ่มออกคำสั่ง “สโตน ท่านจงนำ ‘อัศวินแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์’ ไปยังโฮล์มเพื่อช่วยฟีลิเบล ออกัสตา ท่านจงขึ้นไปทางเหนือและหาทางเจรจากับ ‘ศาสนจักรฝ่ายเหนือ’ เพื่อให้พวกเขาได้แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องกิตติศัพท์ของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการรับมือกับพวกพวกนักเวทเช่นกัน นี่เป็นภารกิจที่หนักหนาสาหัส และเราหวังว่าความศรัทธาของพวกท่านในพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยท่านได้”
หลังจากรับภารกิจเรียบร้อย เหล่าพระคาร์ดินัลหลวงเริ่มเดินออกจากหอประชุมทีละรูปๆ จนสุดท้าย พระสันตะปาปาก็ออกจาก ‘หอประชุมแสงพิสุทธิ์’
เมื่อเขาวางคฑาในมือลง พระสันตะปาปาก็ดูเหมือนกับชายแก่ทั่วไป แสงรอบตัวทำให้เขาดูโดดเดี่ยวอ้างว้างเป็นที่สุด
…
โครงการวิจัยลดลงแล้ว ตอนนี้เหล่าดรูอิด ทำได้เพียงเฝ้ารอต่อไปอีกสี่ถึงห้าเดือน จนกว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารจะเจริญเติบโต และแล้ว เหล่าดรูอิด ก็ถึงเวลากลับไปยัง ‘ป่าสตรู๊ป’ โดยการนั่งรถไฟไอน้ำเวทมนตร์
เหล่าดรูอิดรู้สึกว่าพวกเขาได้ประสบการณ์และได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมายจากการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะการทดลอง แม้ว่าความสร้างสรรค์ของเหล่ามนุษย์ทั้งหมด เช่น รถไฟขบวนนี้ ล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ชั้นดี แต่มนุษย์ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งสามารถสร้างและอุปถัมภ์ความมหัศจรรย์ของชีวิต!
“ถ้าอย่างนั้น ท่านอีวานส์ แล้วพบกันใหม่อีกห้าเดือนนะคะ” ไอริสทีนโบกมือของนางให้กับลูเซียนผ่านหน้าต่างรถไฟด้วยรอยยิ้มหวานบนใบหน้า “ข้าหวังจริงๆ ว่าผลผลิตแร่แปรธาตุที่ท่านค้นพบจะสามารถช่วยชาวไร่ชาวนาไม่ให้อดตายได้”
ทั้งเอลฟ์และมนุษย์ล้วนมีวิธีคิดที่ค่อนข้างแปลกประหลาดในระดับหนึ่ง เมื่อเอลฟ์หรือมนุษย์เกลียดใครเข้าให้สักคน ไม่ว่าคนๆ นั้นจะทำอะไร ทุกอย่างก็ดูน่ารังเกียจไปเสียหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับกลายเป็นเกิดความประทับใจในตัวบุคคลใด ทุกอย่างก็จะดูถูกอกถูกใจไปเสียหมด
“ท่านอีวานส์” ไอริสทีนพูดด้วยอากับกริยาน่ารัก “พูดจริงๆ นะคะ ข้ารู้สึกว่าท่านมีความคิดที่ลุ่มลึกและยังเข้าใจวิถีการปกป้อง ‘พระแม่แห่งสรรพสิ่ง’ ของเราจากที่เราเพิ่งได้สนทนากัน แต่เหลืออีกสิ่งหนึ่งก็คือ ท่านยังคงเข้าข้างมุมมองความเป็นมนุษย์ของพวกท่าน”
นอกจากนางแล้ว อาร์เซเลียนหันกลับมายิ้มและพยักหน้าให้ “ท่านอีวานส์ ท่านมาเยือนป่าสตรู๊ปได้เสมอ ข้าเชื่อว่าพอท่านไปถึงที่นั่น ท่านจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณของพระแม่แห่งสรรพสิ่งยิ่งกว่านี้ แน่นอน ท่านจะได้ฟังเพลงเอลฟ์อันไพเราะที่นั่นด้วย”
เสื้อคลุมเวทมนตร์ของลูเซียน ‘แปลงกาย’ ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ ‘องค์กรหัตถ์ไร้ชีวา’ เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่าย
มือข้างหนึ่งของลูเซียนล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุม เขาเดินไปยังสุดทางอีกทางของสถานีเพื่อพบกับนักเวทอาวุโสคนอื่นๆ จาก ‘องค์กรเจตจํานงแห่งธาตุ’ และที่นั่น เขาก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เค!” ลูเซียนค่อนข้างแปลกใจ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเค ลูเซียนจะไม่สามารถตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับตารางธาตุในวารสาร ‘ธาตุ’ ได้เลย
เคไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา เขายังคงมีท่าทางแข็งแรงและรูปร่างสูง อยู่ในชุดเสื้อนอกสีดำทรงยาว และเป็นคนค่อนข้างเหนียมอาย
“ข้าเพิ่งกลับมา และข้าได้พบกับท่านแลร์รี่” เคเกาหลังหัวเบาๆ
“ทุกอย่างเรียบร้อยไหม ตอนเจ้ากลับมา?” ลูเซียนถามด้วยความเป็นกังวล
“แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว” เคตอบเสียงเบา “จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พ่อแม่ของข้าเจอปัญหา ถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่อาวุโสของสภาเมือง เพราะข้าเป็นนักเวท และก็ยังเป็นสมาชิกสภาเมือง เพราะอย่างนั้นพวกเขาถึงอยากให้ข้ากลับไป”
เคเหลือบมองแลร์รี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขายังไม่ค่อยมั่นใจ “ขอบคุณสำหรับคำเชิญ ลูเซียน แต่จากวันนี้ไป ข้าจะติดตามท่านแลร์รี่และทำวิจัยต่อจากเขา ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้ามาแล้ว ล้วนแต่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ข้าไม่อยากเชื่อว่าเจ้าไม่เพียงได้รับ ‘รางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม’ แต่ยังเป็นผู้นำการล้มล้าง ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ ภายในแค่หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เจ้ารู้ไหม… ข้ายังรู้สึกเหมือนเจ้าเป็นอาจารย์ประจำสำนักวิชา แอบวัดปริมาณธาตุลับหลังข้า ชีวิตช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
ด้วยความขี้อายของเขา เคถือว่าพูดมากกว่าปกติขณะที่เขาพยายามแสดงออกถึงความประหลาดใจอันเหลือล้น
“ข้าจะไปพักที่ ‘หอคอยเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม’ สักพักหนึ่ง” แลร์รี่ร่วมวงสนทนา “คำถามที่เจ้านำเสนอทำให้ท่านแกสตันกับข้ามีความคิดและแรงบันดาลใจมากมาย เราจะเริ่มศึกษาแนวทางใหม่เกี่ยวกับการสลายตัวของผลผลิตแร่แปรธาตุ ขอบคุณเจ้ามาก ลูเซียน ความคิดที่คมกริบของเจ้าช่างมีคุณค่ายิ่งนัก”
ว่าแล้วแลร์รี่ก็จับมือลูเซียน
“อีกเรื่องหนึ่ง” แลร์รี่พูดต่อ “อาคมระดับห้า ‘สารแม่เหล็กไฟฟ้าเฟอร์นันโด’ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากการทดลองค้างคาวของเจ้า ช่วยเราได้มากในครั้งนี้ ตั้งแต่นี้ไป การสื่อสารระหว่างนักเวทระดับกลางขึ้นไปจะง่ายขึ้นมาก แน่นอน เรายังสามารถพัฒนาอาคมบทนี้ให้ดียิ่งขึ้น แต่ตอนนี้ วิธีการสื่อสารยังคงมีปัญหาบางอย่าง ทั้งเรื่องความลับของข้อมูล อีกอย่างอาคมก็ถูกสายฟ้าแทรกแซงโดยง่าย และไม่สามารถทะลุผ่านอุปสรรคระหว่างพื้นที่ที่ต่างกัน… แต่อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นอาคมชั้นยอด โดยเฉพาะเมื่อเจ้าลองดูที่การร่ายอาคมส่งเสียงที่ต้องใช้พลังมหาศาล”
ลูเซียนพยักหน้า “ข้ามั่นใจว่าอาคมบทนี้จะได้รับการพัฒนาต่อยอด”
ในความคิดของเขา ลูเซียนประทับใจในอาคมบทนี้ที่ ‘เจ้าแห่งวายุ’ เป็นผู้สร้างขึ้น ด้วยการผสมผสานคลื่นวิทยุ วิทยาการเข้ารหัสลับ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เมื่อนักเวทสองคนตกลงเลือกความถี่คลื่นกันได้ ก็จะสามารถพูดคุยกันได้โดยตรง แม้นักเวทชั้นต้นที่ยังไม่สามารถศึกษาอาคมบทนี้ ก็ยังสามารถซื้ออุปกรณ์เวทที่บรรจุอาคมบทนี้ไว้ หากยอมเสียเงินเก็บประมาณสิบปี
ลูเซียนรู้ว่ายังคงมีช่องว่างที่กว้างและลึกระหว่าง ‘เจ้าแห่งวายุ’ กับตัวเขา แม้การสร้างอาคมบทนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะการวิจัยเรื่องค้างคาวของเขา ลูเซียนไม่ได้หลับหูหลับตาภาคภูมิใจในตัวเอง เขารู้ว่านี่เป็นเวลาที่เขาต้องศึกษาเรียนรู้ให้หนักอีกครั้ง ก็เพื่อสร้างอาคมใหม่ของตัวเอง และหนึ่งในนั้นจะเป็นอาคมที่ชื่อว่า ‘เนตรอินฟาเรดลูเซียน’
แกสตันส่งสัญญาณให้เขาขึ้นรถไฟ ก่อนพูดกับเขาว่า “อีวานส์ เพราะผลงานอันยอดเยี่ยมของเจ้าในโครงการนี้ สภาและเจตจำนงแห่งธาตุตัดสินใจมอบคฤหาสน์พร้อมสวนในเมืองอัลลินให้เจ้าหนึ่งหลังเป็นรางวัล ซึ่งมีห้องทดลองเวทที่สร้างขึ้นโดยนักเวทชั้นอาวุโส ซึ่งมีอุปกรณ์ทดลองระดับล่างถึงระดับกลางส่วนใหญ่ครบครัน เราหวังว่าเจ้าจะตั้งใจศึกษาอาร์คานาศาสตร์ และตลอดทั้งปีหน้า เจ้าจะไม่ต้องรับภารกิจใดๆ จากทางสภาหรือเจตจำนงแห่งธาตุ”
“วิเศษมากเลยขอรับ” ลูเซียนพยักหน้า “หลังจากโบกมือลาให้แกสตัน แลร์รี่และเค เขาก็ก้าวเท้าขึ้นรถไฟ
……………………