Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 241 ความพยายาม
ภายนอกห้องหมายเลขสิบสี่ บนชั้นสิบสามของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน
ฟลอเรนเซียสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนในวันนี้ ซึ่งเป็นรูปแบบการตัดที่คล้ายกับของเมืองเทรียหรือเมืองอัลโต้ ชุดนี้ทำให้นางยิ่งดูร้อนแรงและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก เป็นเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ชนิดหนึ่ง
ณ ตอนนี้ ฟลอเรนเซียนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลูเซียน โดยใช้มือซ้ายค้ำศีรษะตนเอง และเส้นผมสีบลอนด์ยาวสลวยของนางก็ร่วงหล่นลงมาคลุมบ่าอย่างแผ่วเบา นางรับฟังลูเซียนอย่างตั้งใจขณะที่เขาอธิบายจุดประสงค์ที่มาขอพบ จากนั้น ดวงตาสีเขียวของนางก็มองตรงมาที่ลูเซียนเมื่อเขาพูดจบ ก่อนที่นางจะแย้มยิ้ม
“อีวานส์ เจ้าคิดว่าข้อเสนอนี้จะผ่านการพิจารณาภายในคณะกรรมการกิจการหรือ เจ้ารู้ไหม… ข้อเสนอที่จะเพิ่มต้นทุนแล้วตัดผลประโยชน์ของพวกเขาเช่นนี้น่ะ…”
ท่าทีของนางต่อคำถามนี้ดูคลุมเครือ
ลูเซียนไม่ได้รู้จักนางเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงพยายามระมัดระวังคำพูด “ก็อาจจะขอรับ ข้าคิดเช่นนั้น อย่างแรกเลยก็คือ ต้นทุนสามารถแบ่งและกระจายไปตามราคาของผลผลิตสุดท้ายได้ และอย่างที่สองคือ ข้ามั่นใจว่ามีสมาชิกคณะกรรมการหลายท่านที่ศึกษาโหราศาสตร์ พวกท่านสามารถมองเห็นอนาคตของคนรุ่นหลังหากเราไม่ทำอะไรในตอนนี้ได้ด้วยตัวเอง อย่างที่สาม มันเป็นโอกาสอันใหญ่หลวงสำหรับเราที่จะแสดงมิตรไมตรีกับเหล่าเอลฟ์ และชาวดรูอิดทั้งหลาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของสภาเวทมนตร์ขอรับ”
“เข้าใจพูดนะ…” ฟลอเรนเซียหยอกล้อลูเซียนเล็กน้อย จากนั้นนางจึงมีท่าทางจริงจังขึ้น “แต่การเพิ่มต้นทุนใดๆ ก็ตามจะต้องส่งผลต่อปริมาณการขายแน่ๆ ซึ่งจะเชื่อมโยงโดยตรงกับจำนวนเงินที่จะเข้ากระเป๋าของเหล่านักเวท ในฐานะนักเวทนะ อีวานส์ เจ้าก็รู้ว่าเราจำเป็นต้องมีเงินมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ตลอด… เพื่อซื้อวัตถุดิบ เพื่อการทดลอง เพื่อทำพิธีกรรมเวทมนตร์… ข้าเกรงว่าคงจะมีนักเวทเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นที่สนใจเท่ากับที่เจ้าสนใจในเรื่องอนาคตที่ยังอยู่ไกลมาก โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาด้วยแล้ว”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฟลอเรนเซียก็พูดต่อ “ข้ายอมรับว่าการใช้โหราศาสตร์อาจช่วยได้เล็กน้อย แต่นักเวทมีเวทมนตร์คาถามากมายที่จะใช้ปกป้องตนเอง หรือไม่พวกเขาก็แค่เดินทางไปอาศัยอยู่อีกมิติหนึ่งอย่างถาวรก็ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะยาว สิ่งที่พวกเขาเห็นก็แค่ไม่กี่เมตรที่อยู่ห่างจากปลายเท้า ข้าไม่สงสัยเรื่องความสามารถของเจ้านะ อีวานส์ แต่เจ้าก็ยังใสซื่อเกินไป แม้ว่าทางคณะกรรมการจะตัดสินใจอยู่ข้างเจ้า นักเวทหลายๆ ท่านก็อาจหาทางละเมิดมันได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งสุดท้ายที่สมาชิกคณะกรรมการอยากจะทำคือทำให้ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพวกเขาโมโหคือ”
ครู่หนึ่งที่ลูเซียนไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบอย่างไร
ฟลอเรนเซียจัดเรียงเอกสารตรงหน้านางอีกครั้ง พลางเอ่ยว่า “อีวานส์ แนวคิดในการใช้เวท ‘พายุหมุนพลังธาตุ’ เพื่อรับมือกับมลพิษเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยม แต่อีกคำถามของข้าก็คือ เจ้าได้พิจารณาต้นทุนของมันหรือยัง การปลุกเสกคาถาไว้ในแหวน ‘เวทธาตุ’ ของเจ้าทำให้เราเสียเงินไปมาก แต่มันก็ยังใช้ได้แค่ไม่กี่ครั้งต่อวัน แม้ว่าหอคอยเวทมนตร์ไฟฟ้าพลังน้ำในโรงงานแปรธาตุจะผลิตพลังงานได้มากพอสำหรับการทำให้คาถาลดระดับเหลือแค่ระดับสี่หรือสาม และถึงแม้จะมีการนำธาตุบริสุทธิ์มาใช้ใหม่ได้ ต้นทุนก็ยังสูงอยู่ดี ดังนั้น ก็เหมือนกับที่ข้าเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ ราคาจะยิ่งกลายเป็นปัญหา”
ลูเซียนไม่รู้จะโต้แย้งฟลอเรนเซียอย่างไรดี ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงมองฟลอเรนเซียด้วยแววตาจริงใจ “ท่านหญิงฟลอเรนเซียขอรับ ต้นทุนไม่ได้สูงถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ”
“ข้ารู้ แต่สำหรับเศรษฐีหลายๆ คนแล้ว พวกเขายอมสูญเงินมากกว่าจะต้องลงทุนให้กับอนาคต” ฟลอเรนเซียผงกศีรษะ “แต่ในเมื่อข้อเสนอนี้เกี่ยวข้องกับการร่วมงานกับเหล่าเอลฟ์และดรูอิด ข้าจะนำข้อเสนอของเจ้าเข้าที่ประชุมของคณะกรรมการกิจการให้ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าตั้งความหวังอะไรไว้นะ”
ความในที่นางจะสื่อนั้นชัดเจน เหตุผลที่ฟลอเรนเซียยอมพูดคุยกับลูเซียนก็คือลูเซียนเป็นนักเวทหนุ่มมากสามารถจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ และเหตุผลที่นางเต็มใจจะนำข้อเสนอนี้ไปให้สมาชิกคณะกรรมการท่านอื่นๆ ดูก็เพราะความสัมพันธ์ในการร่วมมือกันระหว่างสภาเวทมนตร์กับเอลฟ์และชาวดรูอิดนั่นเอง
แต่ในขั้นตอนนี้ แม้ว่าลูเซียนจะมีอนาคตไกลแค่ไหน ฟลอเรนเซียก็ไม่คิดจะเสียเวลาหรือพยายามไปกับการสนับสนุนนักเวทระดับสองและจอมเวทระดับสี่จนเกินไป
“เป็นความกรุณาอย่างยิ่งขอรับ ท่านหญิงฟลอเรนเซีย” ลูเซียนทราบดีว่าเขาไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร ดังนั้นเขาจึงรู้ตัวดีว่าผลลัพธ์จากบทสนทนาครั้งนี้ถือว่าไม่แย่มากแล้ว
“เช่นนั้น ในฐานะสุภาพบุรุษ” ฟลอเรนเซียยิ้มหวาน “เจ้าจะเชิญข้าไปกินมื้อค่ำหรือไม่”
“อ๋า… ขอรับ… ข้าหมายถึง… แน่นอนขอรับ” ลูเซียนพยักหน้าหงึกหงัก แต่ความจริงแล้วลูเซียนกำลังจะไปหาราเวนติหลังจากนี้เพื่อดูว่าสมาชิกของ ‘หอคอยสูง’ จะทำอะไรได้บ้างกับประเด็นนี้ อย่างไรเสีย ‘หอคอยสูง’ ก็ค่อนข้างมีสัมพันธ์อันดีกับ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แต่ลูเซียนก็รู้ดีเช่นกันว่าเขาควรจะทำตามความต้องการของฟลอเรนเซียในตอนนี้
“ฮ่าๆ…” เมื่อเห็นสีหน้าของลูเซียน ฟลอเรนเซียก็ยิ้มกว้าง พลางยกสองมือขึ้นปิดใบหน้าส่วนล่างเอาไว้ “ไม่ต้องประหม่าขนาดนั้น อีวานส์ ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น ‘โอลิเวอร์’ สามีข้าจะกลับมาจากต่างมิติในคืนนี้ และเราจะกินมื้อค่ำด้วยกัน”
ฟลอเรนเซียเพียงแค่ชอบหยอกล้อหนุ่มโสดเล่น แต่ก็เท่านั้น เพราะนางไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร
…
เมื่อได้ยินจากลูเซียนว่าฟลอเรนเซียจะนำเรื่องข้อเสนอนี้เข้าที่ประชุม ทั้งไอริสทีนและอาร์เซเลียนต่างก็โล่งอกขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน ทั้งสองก็ส่งข้อความกลับไปยังป่าสตู๊ป เพื่อให้ได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมอีกด้วย
จากนั้นพวกเขาก็มาที่ ‘หอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม’ พร้อมกับลูเซียน เพื่อเยี่ยมเยียนราเวนติ
ราเวนติที่สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีเทา ปักลายด้วยสัญลักษณ์ธาตุดูลึกลับ พูดกับลูเซียนว่า “อีวานส์ สำหรับเจ้าแล้ว ข้าจะพยายามคุยกับสมาชิกคนอื่นๆ ให้ แต่บอกตามตรงนะ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงให้ความสนใจเรื่องนี้นัก จริงอยู่ว่าโรงงานแปรธาตุทั้งหลายทำลายสภาพแวดล้อม แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ชาวนาตัดต้นไม้เพื่อปลูกพืชพรรณไม่ใช่หรือ เราให้โรงงานไปตั้งไกลๆ เมืองเท่าที่จะทำได้ก็ได้นี่ เพื่อที่มนุษย์จะไม่ได้รับผลกระทบมากถึงเพียงนั้น”
แม้ว่าราเวนติจะให้ค่าลูเซียนมากกว่าฟลอเรนเซีย และเขาก็ยังรู้จักความสามารถของลูเซียนดีตั้งแต่ที่ลูเซียนนำเสนอตารางธาตุครั้งแรก แต่น่าเสียดายที่ราเวนติไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม
ลูเซียนพยายามอธิบายผลลัพธ์ให้ราเวนติฟัง และในท้ายที่สุด เขาก็สรุปว่า “ท่านราเวนติขอรับ ข้ายอมรับว่าผู้วิเศษทั้งหลาย และนักเวทระดับสูงเช่นท่านไม่มีอะไรต้องคิดกังวล แต่ท่านช่วยพิจารณาถึงนักวทฝึกหัด และสังคมมนุษย์เข้าไปด้วยจะได้ไหมขอรับ คนกลุ่มนี้จะทำอะไรได้หากว่าสภาพแวดล้อมถูกทำลายอย่างรุนแรงน่ะขอรับ”
“ก็ได้… ข้าต้องไปคุยกับพวกนักโหราศาสตร์จาก ‘หอคอยสูง’ เดี๋ยวนี้เลย หากพวกเขาบอกว่ามลพิษอาจร้ายแรงมากขนาดนั้นในอนาคต ข้าจะอยู่ข้างเจ้า อีวานส์” ราเวนติรับฟังลูเซียน และตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ในระดับหนึ่ง ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่ราเวนติสามารถทำได้มากสุด ณ ตอนนี้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักเวทระดับสูง และเขาก็เข้าใจโลกใบนี้แตกต่างจากเหล่าเอลฟ์และดรูอิด
ราเวนติคือรองประธานของ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ และเขาก็อาจอยู่ข้างพวกเขา ลูเซียนจึงมีกำลังใจมากขึ้น เช่นเดียวกับไอริสทีนและอาร์เซเลียน
ลูเซียน ไอริสทีนและอาร์เซเลียนเฝ้ารอราเวนติอยู่นาน หลังจากที่เขาหายเข้าไปในห้องประชุมและใช้ ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’ เพื่อพูดคุยกับสหายเก่าจาก ‘หอคอยสูง’
เมื่อราเวนติกลับมา สีหน้าท่าทางเขาก็ดูเคร่งเครียดจริงจัง “ตามที่นักเวทโหราศาสตร์หลายๆ คนได้ทำนาย พวกเขาต่างมองเห็นแก๊สสีเหลืองอมเขียวกระจายไปบนอากาศทั่วทุกหนแห่ง ทั้งมนุษย์และสัตว์ค่อยๆ ตายลง ป่าก็เหี่ยวแห้ง น้ำกลายเป็นสีดำและส่งกลิ่นเหม็น แม้ว่าสิ่งที่เห็นจะไม่ชัดเจนและเป็นเพียงความเป็นไปได้หนึ่งของอนาคต เราก็ยังควรจะพยายามหลีกเลี่ยงให้ดีที่สุด ข้าจะไปโน้มน้าวสมาชิกคนอื่นๆ ในคณะกรรมการกิจการที่ข้ารู้จักดีเพื่อให้สนับสนุนเจ้า อีวานส์”
ลูเซียนรู้ดีว่าเขาโชคดี เพราะที่นักโหราศาสตร์มองเห็นนั้นคือกรณีที่ร้ายแรงที่สุดนั่นเอง
ในตอนที่พวกเขากำลังจะออกมาจากหอคอยเวทมนตร์ ไอริสทีนก็พูดกับลูเซียนด้วยความจริงใจ “ท่านอีวานส์ ขอบพระคุณท่านอย่างยิ่งสำหรับสิ่งที่ท่านทำเพื่อธรรมชาติ ความดื้อดึงของท่านทำให้เราประทับใจมาก และท่านช่างสมกับเป็นสุภาพบุรุษ”
“คือ นี่ก็เพื่อตัวกระหม่อมเองด้วยพะยะค่ะ ไม่มีทางที่กระหม่อมจะปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแน่ โดยเฉพาะเมื่อกระหม่อมก็มีส่วน ในฐานะผู้ที่ค้นพบธาตุจากการแปรธาตุนี้เป็นคนแรก” ลูเซียนตอบ ในตอนนี้ ลูเซียนกำลังวางแผนจะนั่งสมาธิเข้าฌานในตอนเย็น เพราะอย่างไรเสียการเลื่อนระดับขั้นก็คือเรื่องสำคัญอันดับแรกเสมอ
ในตอนนั้นเอง ‘แพทริค’ เจ้าชายแห่งโฮล์ม ก็เดินลงมาจากบันได ตามมาด้วยอาเธอร์ ดอยล์ ผู้ที่ดูเหมือนคนรับใช้ส่วนพระองค์ของเจ้าชาย
แม้จะนึกสงสัยว่าทำไมเจ้าชายถึงมาที่ ‘หอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม’ บ่อยนัก แต่ลูเซียนก็ทำเพียงถอดหมวกออกแล้วโค้งตัวเล็กน้อย “สายัณสวัสดิ์พะยะค่ะ ฝ่าบาท”
อย่างไรเสียพระองค์ก็เป็นเสด็จลุงของเจ้าหญิงนาตาชา
เมื่อสังเกตเห็นว่าเป็นลูเซียน รอยยิ้มอ่อนโยนจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันโรยราของแพทริค “เป็นเจ้านั่นเอง อีวานส์ เจ้ามีพัฒนาการทั้งอาร์คานาศาสตร์และระดับเวทมนตร์เลยนี่นา ยินดีด้วย ว่าแต่วันนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่เช่นนั้นหรือ”
ลูเซียนคิดไว้ว่าจะไปเยี่ยมเยือนอาเธอร์ในวันพรุ่งนี้ แต่ในเมื่อเขาพบทั้งเจ้าชายและอาเธอร์ที่นี่ ลูเซียนจึงเชิญทั้งสองไปยังห้องประชุมว่างๆ แล้วบอกเล่าสิ่งที่เขากำลังพยายามทำอยู่
“สรุปก็คือเจ้าอยากให้ข้าตั้งกฎหมายข้อใหม่ที่ว่าโรงงานแปรธาตุทั้งหมดจะต้องมีการติดตั้งวงแหวนเวทชำระล้างเช่นนั้นหรือ” แพทริคถามขณะขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากไอโขลกอยู่หลายครา เจ้าชายก็พูดต่อ “ข้าไม่สามารถควบคุมนักเวทอย่างพวกเจ้าได้ และข้อเสนอประเภทนี้ไม่มีโอกาสเลยที่สภาขุนนางจะเห็นชอบ ขุนนางพวกนั้นไม่มีทางเห็นชอบการตัดสินใจที่จะทำให้พวกเขาสูญเสียรายได้เพื่อแลกกับสิ่งที่พวกเขาไม่แม้แต่จะใส่ใจหรอก แต่สำหรับโรงงานของอาเธอร์ ไม่ต้องห่วงไป อีวานส์ เจ้าไม่จำเป็นต้องสละกำไรปีถัดไปของเจ้าเพื่อเรื่องนี้หรอก อาเธอร์จะจัดการเอง”
ลูเซียนเพิ่งจะเสนอว่า ในส่วนของโรงงานที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อ เขาเต็มใจจะสละกำไรปีถัดไปเพื่อให้มีการติดตั้งวงแหวนเวทชำระล้างไว้
“ใช่ขอรับ ท่านอีวานส์ ข้าจะจัดการเอง ปัญหาเดียวจากการติดตั้งวงแหวนเวทชำระล้างก็คือมันจะฉุดกำไรลงติดต่อกันหลายปี โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ในอุตสาหกรรมการเกษตรด้วยแล้ว แถมราคาเมล็ดพืชพันธุ์ก็ไม่สามารถตั้งสูงมาก… ข้าเพียงอยากให้ท่านรับรู้ไว้…” แม้ว่าอาเธอร์จะไม่อยากตกลงกับเรื่องนี้เลยสักนิด แต่เจ้าชายก็ตัดสินใจแทนไปเสียแล้ว
แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่ลูเซียนก็ยังพูดด้วยความมุ่งมั่น “ตอนนี้ข้าไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้น แต่ข้าก็ยังหวังว่า ‘โฮล์มการแร่และการเกษตร’ จะอยู่ได้นานและกำไรจะต่อเนื่องมั่นคง สิ่งสุดท้ายที่ข้าไม่อยากเห็นก็คือการที่บริษัทต้องปิดตัวลงเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีด้วยเหตุผลหลายประการ อีกอย่างคือ ข้าหวังว่าชาวนาทุกคนจะซื้อผลผลิตจากการแปรธาตุได้ ดังนั้นราคาจึงไม่ควรตั้งไว้สูง หากว่าพวกเขายังมีเงินไม่พอ เราก็อาจให้พวกเขากู้ยืมเงินโดยปลอดดอกเบี้ยหรือใช้วิธีอื่นๆ ก็ได้ขอรับ”
นี่จะทำให้ชาวนาซื่อสัตย์ต่อศาสนจักรน้อยลงอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าอาเธอร์เริ่มจะคิดตามอย่างจริงจังแล้ว ลูเซียนจึงพูดต่อ “ฝ่าบาท ไม่มีวิธีอ้อมๆ วิธีอื่นในการประกาศใช้กฎหมายนี้แล้วหรือพะยะค่ะ
แพทริคส่ายหน้าเบาๆ “ในสายตาขุนนางส่วนใหญ่ ข้าเป็นเพียงเจ้าชายที่มักจะป่วยบ่อยๆ และพวกเขาก็ไม่ได้เคารพข้าเสียเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วข้าก็มีคำแนะนำอีกข้อนะ เราสามารถเปลี่ยนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องน่าทำด้วยการเสนอเงินสงเคราะห์ให้กับโรงงานที่จะติดตั้งวงแหวนเวทชำระล้างตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มสร้าง และเงินสงเคราะห์นี้สามารถหักจากกำไรประจำปีของหุ้นที่ข้าถืออยู่ในสมาคมเหมืองแห่งโฮล์ม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขานึกไม่ออกเลยว่าเจ้าชายแพทริกจะต้องสูญเสียกำไรไปมากเพียงใด บอกตามตรง ลูเซียนรู้สึกสงสัยในตัวแพทริคไม่น้อย ในฐานะเจ้าชายพระองค์หนึ่ง เหตุใดจึงทำดีกับเขาอยู่เสมอ อย่างไรเสีย ถึงพระองค์จะรู้ว่าเขาคือลูเซียน นักดนตรีชื่อดังคนนั้น และยังเป็นลูเซียนที่เป็นเพื่อนสนิทของหลานสาวเขาคนนั้น ลูเซียนก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมแพทริคถึงเต็มใจช่วยมากถึงขนาดนี้ เขาคือพระราชาคนต่อไปของอาณาจักรโฮล์มเชียวนะ!
แต่ในทางกลับกัน ลูเซียนก็ต้องยอมรับว่านี่คือความคิดที่ดีมาก และคงจะมีแค่สมองแสนเจ้าเล่ห์เจนโลกเท่านั้นที่จะคิดถึงเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ลูเซียนสามารถเสนอเรื่องนี้กับฟลอเรนเซีย พร้อมกับบทลงโทษสำหรับโรงงานที่รับเงินสงเคราะห์ไปแล้วแต่ไม่ยอมทำตามกฎ
หลังจากตัดสินใจได้ ลูเซียนก็เฝ้ามองแผ่นหลังของแพทริค ผู้ที่ยังคงไอโขลกขณะเดินออกไปจากห้องประชุมด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมากมายในหัวเขา ลูเซียนนึกสงสัยว่าทำไมเจ้าชายถึงเต็มใจสนับสนุนข้อเสนอของเขาด้วยการยอมเสียเงินจำนวนมาก… เป็นเพราะเขาสามารถมองเห็นอนาคตอันเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกันหรือเปล่านะ
…
เช้าตรู่วันจันทร์ ลูเซียน ไอริสทีนและอาร์เซเลียนก็มาถึงห้องโถงหลักของแผนกคณะกรรมการกิจการบนชั้นสิบสอง ตามที่ฟลอเรนเซียบอกไว้ นางกำลังจะยกเอาข้อเสนอของลูเซียนมาพูดในการประชุมประจำสัปดาห์ และพวกเขาก็จะลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสินใจ
ทันทีที่พวกเขามาถึงที่นี่ โกเลมตนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา “ท่านอีวานส์ ท่านหญิงฟลอเรนเซียอยากให้ท่านขึ้นพูดในฐานะแขกรับเชิญพิเศษสำหรับการประชุมนี้ ร่วมกับแขกชาวเอลฟ์ทั้งสองท่านของเรา”
…………………