Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 245 ท่านอีวานส์
ลูเซียนติดเหรียญตราที่ปรับระดับขึ้นแล้วเรียบร้อย และแม้ว่ารถไฟหัวจักรเวทมนตร์จะเพิ่งนำเสนอเส้นทางใหม่จากเมืองอัลลินไปยังเมืองคาปัส เขาก็ไม่ได้ไปขึ้นเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้น กลับจ้างรถม้าให้ไปส่งยังหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’
ภารกิจนี้มอบให้กับลูเซียนในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสงสัย เพราะว่ามันส่งมาทันทีที่ลูเซียนเลื่อนระดับ เขาต้องการให้จอมเวทระดับสูงบางคนจากกลุ่มของเขาตรวจดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัยดี
ณ ห้องทำงานภายในหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แกสตันรับฟังคำบรรยายภารกิจของลูเซียนเงียบๆ ด้วยนิ้วที่ประสานไว้ตรงหน้า ดวงตาสีเหลืองเข้มของเขาฉายแววสงสัยเล็กน้อย แล้วแกสตันก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ภารกิจนี้ดูไม่ได้อันตรายอะไร ด้วยแหวนของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่ก็ยังปกป้องตัวเจ้าเองแล้วหลบหนีออกมาได้โดยไร้ปัญหา แต่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าแล้ว ข้ายังต้องถามฟลอเรนเซียดูก่อน… บางทีนางอาจจะรู้อะไรบางอย่าง”
แกสตันปล่อยให้ลูเซียนนั่งรออยู่ในห้องทำงานของเขา ส่วนตนเดินไปอีกห้องหนึ่งเพื่อคุยกับฟลอเรนเซียผ่านทาง ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’
ลูเซียนฉวยโอกาสนี้เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรองถึงผู้ที่อาจเป็นศัตรูของเขาจากในสภาและต้องการให้เขาตาย ปัญหาเกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ นั้นยุติไปแล้ว ตอนนี้เป็นฟิลิปที่รับความสนใจไปเสียส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการติดตั้งวงแหวนชำระล้าง ลูเซียนไม่คิดว่าจะมีใครอยากสังหารเขาเพราะเรื่องนั้น โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของบรรดาโรงงานก็เท่านั้น
ลูเซียนนึกสงสัยว่าเขาจะสรุปได้ไหมว่าไม่มีใครพยายามใช้ภารกิจนี้เพื่อสังหารเขา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แกสตันก็กลับมา
แกสตันนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะเอ่ยกับลูเซียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าได้คุยกับฟลอเรนเซียแล้วล่ะ นางบอกว่ามันเป็นเรื่องฉุกเฉิน และน่าจะปลอดภัย แต่เพราะเราให้ความสำคัญกับเจ้ามาก อีวานส์ และเจ้าก็เป็นผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมอุปกรณ์เวทมนตร์ไป”
แกสตันหยิบแว่นตาข้างเดียวที่ร้อยกับโซ่สีเงินประณีตออกมายื่นให้ลูเซียน “แว่นตาข้างเดียวนี้มี ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’ ประทับอยู่อย่างถาวร หากว่าเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้น ติดต่อหาข้าทันที นี่คือคลื่นความถี่ส่วนตัวของข้าและรหัส…”
ขณะที่พูดนั้น เขาก็เขียนข้อมูลทุกอย่างลงในเศษกระดาษเพื่อมอบให้กับลูเซียน
ชัดเจนว่าตอนที่ ‘เจ้าแห่งวายุ’ คิดค้นเวทมนตร์บทนี้ขึ้น เขาได้พิจารณาถึงการรักษาความลับไว้แล้ว
ลูเซียนประทับสัญลักษณ์พลังวิญาณของตนไว้ในแว่นตาข้างเดียวนี้ตามคำสั่งของแกสตัน จากนั้นจึงสวมมัน แว่นกรอบทองที่เขาสวมอยู่ก่อนหน้านี้ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมด้านซ้ายแล้ว และอีกกระเป๋าก็มีนาฬิกาพกอยู่
ตอนที่ลูเซียนหยิบหมวกทรงสูงของตนขึ้นมาและกำลังจะจากไป แกสตันก็ยืนขึ้นมาและส่งยิ้มให้ “อีวานส์ ยินดีด้วยที่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสามแล้ว นี่เป็นขอบเขตที่สำคัญมากสำหรับนักเวทหลายๆ คน ความจริงที่ว่าเจ้าทำมันได้หมายความว่าเจ้าล้ำหน้านักเวทไปแล้วเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ และจากนี้ต่อไป ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ จะมอบสี่สิบคะแนนอาร์คานาให้เจ้าทุกเดือนเป็นเงินสงเคราะห์”
“ขอบคุณขอรับ ท่านแกสตัน” ได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนจึงสิ่งยิ้มจริงใจกลับไป
…
หมู่บ้านเฟรเซอร์ ใกล้กับทางเข้าหุบเขาคาปัส
หมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลตัวเมืองมาก ผู้เดินทางจะต้องนั่งรถไฟหกชั่วโมงจากเมืองอัลลินมายังใจกลางเมืองคาปัส จากนั้นก็ใช้เวลาอีกครึ่งวันนั่งรถโดยสารระยะยาวเพื่อมายังหมู่บ้านที่ชื่อว่าเทนนิง แล้วฝ่าถนนขรุกขรักกลางหุบเขาอีกสองชั่วโมงเพื่อมายังหมู่บ้านนี้ แน่นอนว่า นักเวทที่สามารถบินมาได้ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้
ในหุบเขามีต้นไม้อยู่หนาตาและสัตว์ป่านานาชนิด ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ส่วนใหญ่จะเป็นนายพรานหรือคนตัดต้นไม้ ปราสาทนักเวทที่นี่ส่วนใหญ่จะควบคุมสายแร่ส่วนหนึ่ง และเพราะนักเวทบางคน นักเวทฝึกหัดหลายๆ คน และยังมีคนงานเหมืองอีกมากมายอาศัยอยู่ หมู่บ้านห่างไกลนี้จึงค่อนข้างคึกคัก ไม่ได้เงียบเหงาสันโดษอย่างที่ใครๆ คิด นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนยังมาที่นี่เพื่อเสาะหาอัญมณีล้ำค่า ก้อนแร่ พืชพรรณ และสมบัติลับอีกด้วย
ร้านเหล้าที่ขึ้นชื่อที่สุดของเฟรเซอร์ก็คือ ‘ร้านถ้วยทองคำ’ ขณะนี้นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังดื่มกินและพูดคุยสังสรรค์กัน พวกเขาต่างคุ้นเคยกับการกินดื่มอย่างหนักทุกคืนก่อนจะเข้าไปในหุบเขา เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าตนเองจะมีโอกาสได้กลับออกมาในวันถัดไปยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่เมื่อพวกเขาเข้าไปในนั้นแล้ว
ท่ามกลางกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด นักผจญภัยบางคนกำลังจับกลุ่มคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าได้ยินหรือไม่ว่านักเวทระดับสามในปราสาทเบอร์เทรนถูกปีศาจที่ตัวเองอัญเชิญมาฆ่าตายไปแล้วน่ะ” คนแคระผู้มีเครายาวสีบลอนด์เอ่ยถามชายที่เพิ่งพบเจอในร้านเหล้าแห่งนี้
ชายผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวอยู่บนใบหน้า เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “นักเวทฝึกหัดสองคนที่รอดออกมาได้บอกว่าปราสาทเป็นเหมือนกับนรก ผู้คนต่างถูกไฟครอกตาย โดนน้ำกรดฤทธิ์แรงกัดกร่อน โดนกรงเล็บแหลมคมฉีกเป็นชิ้นๆ เฉือนผ่าครึ่ง… โลหิต และเครื่องในสาดกระจายไปทั่ว”
ขณะที่ชายคนนั้นพูด เขาก็ชี้ไปทางนักเวทฝึกหัดสองคนที่อยู่ในสภาพเกินจะเรียกว่าเมาอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านด้วยความระมัดระวัง คนหนึ่งเป็นผู้ชายและอีกคนเป็นผู้หญิง แม้ว่าทั้งสองจะเมามาก แต่ก็ยังมีท่าทางหวาดกลัว ราวกับว่าพวกเขายังติดอยู่ในฝันร้าย
“เจ้าอยากจะไปที่นั่นเผื่อว่าจะเจออะไรบางอย่างไหมล่ะ” คนแคระโลภมากเอ่ยถาม “แบบว่าแอบหลบอ้อมพวกปีศาจไปฉวยสมบัติมาจากที่นั่นไง หมอนั่นเป็นถึงนักเวทระดับสามเชียวนะ คิดดูสิว่าหมอนั่นจะร่ำรวยเพียงใด!”
หญิงวัยกลางคนอีกคนที่ร่วมสนทนาด้วยมองไปทางคนแคระด้วยสายตาดูถูก “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ พวกปีศาจฆ่านักเวทระดับสามเชียวนะ! เจ้าอยากตายมากถึงเพียงนั้นเลยรึ”
“ข้าเห็นด้วย และทางสภาเวทมนตร์คงจะส่งนักเวทมาจัดการกับเรื่องนี้แล้วแน่ๆ อย่าบอกข้านะว่าเจ้าอยากจะไปเอาสมบัติมาจากพวกบ้านั่น… พลังจากน้ำยาเวทมนตร์ของเจ้าน่ะไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนั้นแน่นอน…” ชายหน้าบากกล่าว
ในตอนนั้นเอง ประตูของร้านเหล้าก็เปิดออก ชายหนุ่มนักเวทประจัญบานผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีดำ เขามองไปรอบๆ ร้านด้วยดวงตาสีฟ้าดุดันก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยสัมผัสได้ถึงรังสีกดดันจากชายหนุ่ม จึงไม่มีผู้ใดหาญกล้ามองเขาตรงๆ จากนั้นเขาก็เดินตรงไปหานักเวทฝึกหัดทั้งสองตรงมุมร้านที่ยังคงดื่มอยู่แม้ว่าจะเมาจนแทบสิ้นสติแล้ว
นักเวทประจัญบานคว้าถ้วยไม้ไปแล้วโยนมันลงบนพื้น ของเหลวสีทองพลันหกราดไปทั่ว นักเวทฝึกหัดทั้งสองค่อยๆ ง่ายหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าด้วยความมึนงง
“ข้าชื่อชาลีย์ ข้ามาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาในปราสาทเบอร์เทรน เจ้าสองคนตอบคำถามข้าให้ดี” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ประสบการณ์จากการต่อสู้มาหลายปีทำให้เขามีท่าทีกดดันเช่นนี้
นักเวทฝึกหัดทั้งสองดูท่าทางได้สติขึ้นมากแล้วในตอนนี้ และต่างเริ่มตัวสั่นเทา หญิงสาวนักเวทฝึกหัดที่มีผมสีแดงเบอร์กันดีตอบเขาด้วยเสียงอันสั่นเทา “ท่านชาลีย์… ข้าชื่อซูซานเจ้าค่ะ และนี่คือสก็อตต์ เราเป็นลูกศิษย์ของท่านเบอร์เทรน…ในคืนวันนั้น ท่านเบอร์เทรนพยายามจะอัญเชิญ… สิ่งเหล่านั้น… ในห้องของท่าน…”
แต่ตอนนั้นเอง หญิงสาวผมสีดำสั้นก็เข้ามาในร้านเหล้า นางสวมเสื้อคลุมสีม่วงดูสง่างาม และดวงตาสีน้ำตาลออกเหลืองของนางก็ดูคมกริบเย็นเยียบ หลังจากมองไปรอบๆ ร้าน นางก็เดินตรงมาหาชาลีย์แล้วแนะนำตัว “สวัสดี ข้าชื่อซานดร้า ระดับกลาง ข้าเองก็ได้รับภารกิจนี้”
“ข้าชื่อชาลีย์ ระดับกลาง” ชาลีย์พยักหน้ารับ ทั้งชาลีย์และซานดร้าต่างก็ไม่อยากเปิดเผยระดับที่แท้จริงต่อหน้าคนมากมาย และทั้งคู่ก็สวมเหรียญตราไว้ใต้เสื้อคลุมเหมือนกัน
คนแคระเคราทองหันขวับมาลอบมองพวกเขา จากนั้นก็พึมพำกับหญิงวัยกลางคนและชายหน้าบาก “แหงล่ะ สภาเวทมนตร์ส่งคนมาแล้ว… ดูพวกเขาสิ… อย่างน้อยก็ระดับสี่แน่ๆ แค่พวกเขาคนเดียวก็ทำลายปราสาทได้ทั้งหลังแล้ว… หรือกระทั่งทั้งหมู่บ้านด้วยซ้ำ”
นักผจญภัยแทบไม่เคยได้เห็นนักเวทตัวจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเวทระดับกลาง ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยและระแวดระวังนักเวทเหล่านี้ด้วยความหวาดกลัวระคนเคารพนับถือ
“ข้าบอกแล้ว…” ชายหน้าบากดูท่าทางขวัญเสียเล็กน้อย
ทางด้านชาลีย์กับซานดร้านั้นกำลังรับฟังเรื่องราวจากนักเวทฝึกหัดอย่างตั้งใจ และพวกเขาก็ไม่สนใจสักนิดว่านักผจญภัยจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขา เพราะพวกเขาแข็งแกร่งและมั่นใจเกินกว่าจะมาใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมนี้
ลักษณะท่าทางนี้ยิ่งทำให้นักผจญภัยประทับใจมากขึ้นไปอีก
“ข้าได้ยินมาว่าเรามีนักเวทอีกคนที่จะมาร่วมภารกิจนี้ด้วยนี่” หลังจากฟังนักเวทฝึกหัดเล่าจบ ซานดร้าก็ถามชาลีย์
“ถูกต้อง” ชาลีย์ผงกศีรษะ “เขายังมาไม่ถึง เรารอเขาอีกสักครู่แล้วกัน จะปลอดภัยกว่าหากมีพลังจากอีกคน และข้าคิดว่าเขาก็น่าจะอยู่ในระดับกลางเช่นกัน ใช่หรือไม่”
“แน่อยู่แล้ว” ซานดร้าตอบเสียงเรียบ
“พวกเขากำลังรอคนอื่นอยู่งั้นรึ” หญิงวัยกลางคนมองไปทางประตูร้าน
“โถ่… พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอใครเลย…” คนแคระพึมพำ “พวกเขาน่ะระดับสี่เป็นอย่างต่ำเชียวนะ!”
“การระวังตัวไว้ก่อนเป็นเรื่องดีเสมอ” ขณะที่ชายหน้าบากเอ่ยประโยคนี้ ประตูร้านเหล้าก็เปิดออกอีกครั้ง
โดยไม่รู้ตัว ทุกคนในร้านเหล้าต่างหันศีรษะไปมองผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามา
เป็นชายหนุ่มรูปงามที่สวมเสื้อโค้ตกระดุมสองแถวสีดำ สวมหมวกทรงสูงและแว่นตาข้างเดียวดูประณีต ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนสุภาพบุรุษผู้สง่างาม
นักผจญภัยทุกคนในร้านเหล้าต่างนึกสงสัยว่าชายหนุ่มชนชั้นสูงผู้นี้มาทำอะไรที่นี่กัน
ชาลีย์กับซานดร้ามองไปทางชายหนุ่มด้วยความระแวดระวัง เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นนักเวทที่รออยู่หรือไม่ อย่างไรเสีย ชายผู้นี้ก็ดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นนักเวทระดับกลาง
ในตอนนั้นเอง ทั้งชาลีย์และซานดร้าก็สังเกตเห็นแหวนประดับอัญมณีสีม่วงบนมือขวาของชายหนุ่ม แหวนวงนั้นมีลักษณะพิเศษและงดงามมาก
ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคือใคร
เขาก็คือผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ที่อายุน้อยที่สุด สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม อัจฉริยะผู้ที่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี!
ขณะเฝ้ามองชายหนุ่มเดินตรงมาทางพวกตนด้วยท่วงท่าสง่างาม และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ทั้งชาลีย์ และซานดร้าพลันผุดลุกขึ้นยืนแล้วทักทายเขาด้วยความเคารพ “ยินดีที่ได้พบกับท่านขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอีวานส์”
ท่าทางของทั้งสองทำให้ทุกคนในที่นั้นประหลาดใจ
……………………