Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 25 เวทมนตร์บทแรก
ในเมื่อเขาเข้าฌานและสัมผัสถึง ‘ดวงดาวบนฟ้า’ ได้สำเร็จในช่วงที่เขายังเป็นเพียงผู้ฝึกใช้มนตรา ลูเซียนพลันเก็บความสงสัยทั้งหมดไปและเริ่มสำรวจหา ‘ดาวแห่งโชคชะตา’ ประจำตัวเขาตามวิถีของโหราศาสตร์
ท้องฟ้าพราวพร่างนั้นแผ่ไพศาลไร้ขอบเขตเต็มไปด้วยดวงดาราน้อยใหญ่ แต่หลังจากที่เขาผสานดวงจิตเข้ากับพลังจิต ลูเซียนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยจากบรรดาดวงดาวนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว มันเป็นดาวที่มีกลิ่นอายของเขา จากนั้นลูเซียนก็เบนพลังจิตของเขาให้ค่อยๆ เข้าไปใกล้ดวงดาวที่ดูอับแสงอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดพลังจิตที่ผสานกับดวงจิตของเขาก็แตะเข้ากับดาวดวงนั้นจนได้ จากนั้นลูเซียนก็ปล่อยให้ฌานนำทาง ค่อยๆ เชื่อมต่อพลังจิตของเขากับดาวดวงนั้นทีละนิดๆ
ทันใดนั้น พลังจิตของลูเซียนก็สั่นสะท้านรุนแรง ราวกับเส้นเชือกที่ถูกกระตุกดึง ทำให้จิตเริ่มสั่นขึ้นเช่นกัน
ด้วยรู้ว่านี่คือกระบวนการที่จำเป็นและช่วงเวลาสำคัญ ลูเซียนจึงแผ่พลังจิตที่เหลือต่อไป เพื่อทำให้สายสัมพันธ์แห่งการเชื่อมต่อนั้นมั่นคงขึ้นจากสภาวะเปราะบางใกล้ขาดเต็มทน
เส้นพลังจิตค่อยๆ ถูกแสงสว่างจากดวงดาวอาบไล้จนเปล่งประกายขึ้นและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ แต่ดวงจิตของลูเซียนกลับสั่นไหวรุนแรง ก่อนที่ภาพสะท้อนของดาวดวงนั้นจะปรากฏขึ้นภายในดวงจิต
ลูเซียนดึงพลังจากดวงดาวมาอย่างตะกละตะกลามผ่านทางเส้นพลังจิตบางๆ ที่เปล่งแสงสว่างเพื่อเพิ่มพูนพลังจิต เขาทุ่มเทจดจ่ออยู่ในฌานจนกระทั่งดวงจิตของเขารู้สึกเต็มอิ่มจึงหยุดแล้วเปลี่ยนมาเป็นฌานของศาสตร์แห่งธาตุ
ครั้งนี้ลูเซียนไม่ได้ใช้พลังจาก ‘ดิน ไฟ ลม น้ำ’ ที่อยู่รอบๆ เพื่อฝึกฝนพลังจิตและดวงจิต แต่ใช้มันเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพลังจิตของเขากับ ‘ธาตุ’ ให้แข็งแกร่งขึ้นผ่านการเข้าฌาน ยิ่งสายสัมพันธ์นี้แข็งแกร่งมากขึ้น เขาก็จะยิ่งเรียกใช้มนตราที่จำเพาะธาตุได้เร็วขึ้นในอนาคต และยังลดอัตราการคูลดาวน์ (พักใช้เวท) ให้สั้นลงอีกด้วย
ลูเซียนลืมตาขึ้นในที่สุดเมื่อเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าไปถึงจิตวิญญาณ แต่สายตาเขากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความปีติ
‘แม้แต่ตอนไม่ได้เข้าฌาน ฉันก็ยังรู้สึกได้ถึงดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวในดวงจิต ถ้าฉันตั้งสมาธิกว่านี้ ฉันรู้สึกได้เลยว่ามีดวงดาวที่เชื่อมต่อกับฉันแต่เปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้าแสนไกลโพ้น ดาวดวงนั้นกับฉันมีสายสัมพันธ์ที่น่าพิศวง ฉันยืมใช้พลังจากดาวได้ทีละนิดๆ และเส้นพลังจิตที่เชื่อมต่อเราก็แทบเหมือนไม่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะไหนมิติไหน’
ลูเซียนคิดอย่างร่าเริง แต่ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ ‘เดี๋ยวนะ ฉันทะลุมิติมานี่ แล้วทำไมฉันถึงมี ‘ดาวแห่งโชคชะตา’ ประจำตัวอยู่ในโลกนี้กันล่ะ หากพูดกันตามทฤษฎีแล้ว ถ้าลูเซียนคนก่อนเสียชีวิต ดาวของเขาก็ควรจะอับแสงร่วงหล่นหายไปสิ แล้วความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อกี้นี้เป็นของซย่าเฟิงไม่ผิดแน่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมกัน’
ลูเซียนไม่สามารถคิดหาคำใดมาอธิบายได้ จึงทิ้งความสงสัยนั้นไปชั่วคราว
จากการเข้าฌานและอ่านบันทึกของแม่มดจนจบ ลูเซียนยังได้เรียนรู้อีกด้วยว่าการจะประเมินพลังจิตของผู้อื่นได้นั้นต้องอาศัยเวทมนตร์จำเพาะ มีเพียงผู้ที่เพิ่งเลื่อนระดับพลังขึ้นเท่านั้นที่ผู้อื่นจะสัมผัสได้ถึงพลังของพวกเขาโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ชนิดใด เพราะพลังของคนผู้นั้นยังไม่เสถียรมากพอ ในตอนนั้น เบนจามินคงจะรู้ว่าพลังจิตของลูเซียนสูงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยจากการที่เขาได้ยินเสียงร้องไห้ ไม่ใช่อย่างที่เบนจามินบอกว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่แม่มดทิ้งไว้ให้จากกับดักเวทมนตร์ซึ่งจะพุ่งเป้าไปที่คนเพียงไม่กี่คน
แน่นอน เวทมนตร์ที่ใช้ปิดบังพลังจิตย่อมมีอยู่แล้ว
หลังจากพักครู่หนึ่ง ลูเซียนก็เปิดบันทึกด้วยความตื่นเต้นแทบเนื้อเต้น เขาอดใจรอไม่ไหวแล้วว่าเวทมนตร์บทใดที่เขาจะเรียนได้ในตอนนี้
ในเมื่อตอนนี้เขามีดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวแล้ว ลูเซียนจึงเรียนเวทมนตร์ระดับฝึกหัดของโหราศาสตร์ได้สามบท ซึ่งกว่าแม่มดจะเรียนได้ก็หลังจากนางเลื่อนขึ้นเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับสูงแล้ว เวทมนตร์ทั้งสามบทนี้ถือว่าทรงพลังมากในหมู่เวทมนตร์จากศาสตร์แขนงอื่นในระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้เพราะพลังจิตมีไม่มากพอ ผลจากคาถาที่ลูเซียนร่ายจะออกมาย่ำแย่ และหลังจากร่ายคาถาไปสองสามครั้ง พลังจิตเขาก็คงหมดเกลี้ยง
การแบ่งระดับผู้ฝึกใช้มนตรานั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเวทมนตร์ที่ร่ายได้อย่างเต็มกำลังก่อนพลังจิตจะหมด ระดับฝึกหัดจะใช้ได้มากสุดห้าบท สิบบทสำหรับระดับกลาง และยี่สิบบทสำหรับระดับสูง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ตอนนี้ลูเซียนสามารถร่ายเวทมนตร์ระดับฝึกหัดได้เพียงห้าบท ถ้าเขาอยากจะใช้อีก เขาก็ต้องพักผ่อนเอาแรงหรือดื่มน้ำยาเพื่อฟื้นฟูพลังจิต แต่ลูเซียนคงร่ายเวทมนตร์ระดับฝึกหัดของโหราศาสตร์ได้เพียงสามครั้งติดต่อกัน
เวทมนตร์ระดับฝึกหัดของโหราศาสตร์ทั้งสามบทคือ ทำนายชะตา ดวงตาแห่งดารา และบ่วงปลดอาวุธ
จากทั้งสามบท เวททำนายชะตาถือเป็นที่รู้จักมากที่สุด ตามที่แม่มดบันทึกไว้ แม้แต่ระดับพื้นฐานก็ต้องใช้ความรู้มากมาย เช่น กฎการเคลื่อนไหวของดวงดาว และการจะเลือกดวงดาวแห่งโชคชะตาเพื่อทำนายก็เป็นเรื่องซับซ้อนยิ่ง นางศึกษาอยู่หลายปีแต่ก็แทบจะไม่เข้าใจพวกมัน และพอใช้เวทมนตร์ ผลก็มักออกมาคลาดเคลื่อน
แต่สำหรับลูเซียนแล้ว ส่วนที่ยากลำบากที่สุดในการจะใช้เวททำนายชะตาระดับพื้นฐานคือการที่มันต้องใช้คริสตัลแสงอรุณที่สร้างขึ้นจากคริสตัลบริสุทธิ์ไร้รอยตำหนิเพื่อช่วยในการร่ายคาถา เขาไม่รู้ว่าต้องไปหามันจากที่ใด คริสตัลลูกเดียวที่มีอยู่ก็คือของแม่มดซึ่งสืบทอดในตระกูลมาหลายต่อหลายรุ่น แต่น่าเสียดายที่นางนำติดตัวมาด้วยและถูกคนของโบสถ์ริบไปแล้ว
สำหรับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโหราศาสตร์ที่แม่มดคิดว่าซับซ้อนมาก ลูเซียนกลับรู้สึกว่ามันง่ายกว่าการหาของ เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องของกลศาสตร์ท้องฟ้าในระดับมัธยมปลายที่บรรยายไว้อย่างยุ่งเหยิง กับภาพวาดประกอบเกี่ยวกับดวงดาวจากความทรงจำ
แน่นอนว่าลูเซียนยังต้องเรียนรู้ไปช้าๆ ในเรื่องของการที่ดาวประจำตัวประสานงานกับดวงดาวอื่นๆ ที่ถูกเลือก เพราะว่านี่เป็นความรู้ส่วนที่เขาไม่เข้าใจ เหมือนกับที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมดวงดาวถึงเป็นตัวแทนของโชคชะตา
แต่พอจินตนาการถึงตัวเองในอนาคตขณะกำลังถือคริสตัลแสงอรุณเพื่อร่ายเวททำนายชะตา ลูเซียนก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว หากว่าเขาได้สวมเสื้อคลุมนักเวทสีดำด้วย ลูเซียนคิดว่าเขาคงจะเหมือนกับพ่อมดมนตร์ดำมากกว่า
‘เวทดวงตาแห่งดารา’ นั้นคล้ายกับเวทสะกดจิตและเวทที่ทำให้คนงงงวย ผู้ร่ายคาถาจำเป็นต้องจ้องสบตากับเป้าหมาย แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเวทมนตร์บทนี้จึงจัดอยู่ในโหราศาสตร์
‘บ่วงปลดอาวุธ’ ลูเซียนเข้าใจว่าเป็นการยืมพลังแรงโน้มถ่วงจากดวงดาวเพื่อสร้างบ่วงสามมิติหนาๆ ขนาดประมาณยี่สิบเซนติเมตรที่สามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงภายในนั้นได้ เป็นเวทที่เน้นการป้องกันตัวเป็นหลัก
หลังจากพักครู่หนึ่ง ลูเซียนก็ตัดสินใจเรียนเวทมนตร์บทแรกในชีวิต และเขาเลือก ‘บ่วงปลดอาวุธ’
นั่นเป็นเพราะเวทดวงตาแห่งดาราต้องใช้ผงจาก ‘หญ้าดาวราตรี’ ในการร่ายคาถา เวทมนตร์บทอื่นในระดับฝึกหัดก็ต้องใช้วัตถุอื่นๆ เช่นกัน เช่น ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ ต้องใช้ผงจาก ‘เห็ดซากศพ’ ส่วน ‘เวทสาดน้ำกรด’ ต้องใช้ ‘ผงซัลเฟอร์’ ฯลฯ
ในตอนนี้ แทบไม่มีเวทมนตร์ใดที่ไม่ต้องใช้วัตถุสำหรับร่ายคาถา โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเวทมนตร์จากศาสตร์แขนงอื่นมากกว่า เช่น ฝ่ามือผู้วิเศษของศาสตร์แห่งการแปลงร่าง
แม้ว่าลูเซียนจะเรียนเวทมนตร์แขนงอื่นได้ แต่วิธีการที่เขาเข้าฌานนั้นเป็นของโหราศาสตร์และศาสตร์แห่งธาตุ จึงเป็นเรื่องง่ายกว่าหากเขาจะเริ่มเรียนเวทมนตร์ของสองแขนงนี้
ลูเซียนตั้งสมาธิเพ่งจิตตามวิธีการฝึกร่ายคาถาที่แม่มดบันทึกไว้ พยายามสัมผัสถึงดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีและพลังแสนเบาบางของมันผ่านดาวแห่งโชคชะตาในดวงจิต จากนั้นเขาก็พึมพำร่ายคาถาเสียงแปร่งแปลก
ทันทีที่เขาร่ายคาถาจบ เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่า เมื่อเส้นเสียงของเขาสั่นสะเทือน พลังจิตเขาก็เริ่มผันผวน และความเปลี่ยนแปลงแสนอัศจรรย์ใจก็บังเกิดขึ้น มันเริ่มผสานเข้ากับแรงโน้มถ่วงจากดวงดาว
ลูเซียนรีบเปลี่ยนพลังจิตเป็นรูปทรงตามภาพอักษรรูนง่ายๆ ของ ‘บ่วงปลดอาวุธ’ ที่อยู่ในบันทึก
ทว่าโชคไม่เข้าข้าง เนื่องจากยังขาดทักษะ ลูเซียนจึงใช้พลังจิตสร้างอักษรรูนไม่สำเร็จ การผสานพลังจิตกับแรงโน้มถ่วงจากดวงดาวหยุดลง การร่ายคาถาจึงล้มเหลว
หลังจากหยุดพักเป็นครั้งที่สอง พลังจิตของเขาก็ฟื้นฟู และหลังจากที่ลูเซียนล้มเหลวไปห้าครั้ง เขาก็สร้างอักษรรูนได้สำเร็จในที่สุด
บ่วงแสงที่แทบมองไม่เห็นความสว่างที่ลูเซียนสร้างขึ้น ปรากฏขึ้นเหนือโต๊ะไม้ที่ซ่อมแซมแล้ว และครอบรอบเทียนไข
ด้วยการควบคุมของลูเซียน เปลวไฟจากเทียนไขพลันถูกกดทับ ก่อนที่มันจะแผ่พุ่งขึ้นในทันที ส่งผลให้ภายในกระท่อมเกิดแสงวูบวาบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ให้ความรู้สึกมืดหม่นน่าขนลุก กระทั่งผ่านไปสองนาที เปลวไฟจึงกลับมาเป็นปกติ
ลูเซียนประสานนิ้วมือแล้วครุ่นคิดหนัก ‘ความแตกต่างของระดับแรงโน้มถ่วงมันน้อยเกินไป มันแค่ทำให้คนที่เข้ามาโจมตีควบคุมอาวุธไม่ได้และรู้สึกไม่มั่นคง แต่ไม่ทำให้อาวุธตกลงพื้นหรือปลิวไปในอากาศทันที ก็สมกับที่มันเป็นเวทมนตร์ระดับฝึกหัดล่ะนะ’
‘และเวลาที่ใช้ร่ายก็นานเกินไป ต้องใช้ตั้งห้าวินาที แต่ถ้าคล่องแล้ว น่าจะลดเหลือสามวินาทีได้’
‘แต่เอาเถอะ นี่คือเวทมนตร์บทแรกที่ฉันร่ายได้’ ลูเซียนไม่คาดคิดว่าตนจะเรียน ‘บ่วงปลดอาวุธ’ ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ตอนที่แม่มดเรียนเวทมนตร์บทนี้ นางต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม และนั่นก็ทำให้นางค่อนข้างสุขใจ ‘ตามที่แม่มดบันทึกไว้ เธอไม่เข้าใจว่าทำไม ‘พลังดวงดาว’ ถึงทำให้ธาตุดินปั่นป่วนได้ ก็เลยวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนตร์ไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ และหันไปพึ่งการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่เข้าใจเหตุและผลเลยสักนิด ส่วนฉันทำตรงกันข้ามกับเธอหมดเลย ดูเหมือนว่าในโลกนี้ บางครั้งความรู้ก็คือพลังสินะ’
ขณะที่หัวใจเบิกบาน ลูเซียนจึงครุ่นคิดถึงกระบวนการร่ายคาถาเมื่อสักครู่อย่างรอบคอบ เพื่อมองหาทางที่จะลดเวลาในการร่ายลง ‘ผลจากคาถานี้ดูเหมือนจะเป็นการสร้างความถี่ขึ้นในระดับหนึ่ง และปล่อยให้พลังจิตติดตามไป แล้วถ้าฉันควบคุมการสั่นสะเทือนของพลังจิตตั้งแต่แรกล่ะ จะเป็นอย่างไร ถ้าทำสำเร็จ ฉันก็ไม่ต้องเสียเวลาร่ายคาถาและควบคุมเวลาในการร่ายให้เหลือแค่สองวินาที แต่วิธีนี้เหมือนจะต้องใช้การควบคุมพลังจิตมากขึ้นแฮะ’
ด้วยความคิดนั้น ลูเซียนจึงลองฝึกใช้ ‘บ่วงปลดอาวุธ’ อีกครั้ง จากนั้นก็พักสลับกับฝึกซ้อมต่อไปเรื่อยๆ เขาฝึกจนไม่ทราบว่าตนฝึกไปกี่ครั้ง และเมื่อลูเซียนรู้สึกว่าการพักครู่สั้นๆ ไม่อาจช่วยฟื้นฟูพลังจิตได้แล้ว ระยะเวลาในการร่ายคาถาของ ‘บ่วงปลดอาวุธ’ ก็ลดลงเหลือเพียงสามวินาทีเศษๆ และความถี่ของเวทบทนี้ก็คงถูกทำลายสถิติไปแล้วเรียบร้อย
‘พรุ่งนี้เช้าค่อยลองใช้เวทมนตร์โดยไม่ร่ายคาถาดู แล้วออกไปซื้อส่วนประกอบทั่วไปที่ไม่น่าสงสัยสำหรับร่ายคาถาและทำน้ำยาเวทมนตร์’ ลูเซียนนั้นเหนื่อยล้า ก่อนที่เขาจะผล็อยหลับไปก็คิดขึ้นว่า สำหรับนักเวทแล้ว การทดลองทางเวทมนตร์สามารถช่วยพวกเขาวิเคราะห์โครงสร้างของมนตรา ความคล่องแคล่วในการใช้เวทมนตร์ และอื่นๆ อีกมาก ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าพวกเขาจะไม่คิดเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุก็ตาม
————————————————