Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 27 งานใหม่
หลังออกมาจากบ้านอะลิซ่า ลูเซียนไม่ได้ตรงไปยังเขตตลาดในทันที แต่กลับบ้านไปหยิบไม้พลอง เขาออกกำลังกายและฝึกทักษะการใช้ดาบเบื้องต้นในลานกว้าง ในเมื่อพลังจิตของเขามีไม่มากพอจะร่ายเวทมนตร์ได้ติดต่อกันเกินสิบครั้ง ทักษะการต่อสู้แบบคลุกวงในและการหลบหลีกจึงสำคัญมาก
นอกจากนี้ ยิ่งคนเรามีร่างกายแข็งแรงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระตุ้นพลังในตัวได้ง่ายขึ้นถ้าเกิดมีโอกาสใช้ ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ ในอนาคต
หลังจากออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง ลูเซียนก็กลับบ้านไปเช็ดเหงื่อไคล ก่อนจะเดินไปที่ตลาด
แม้ไม่ได้มาตลาดกว่าห้าวัน ลูเซียนรู้สึกว่าที่นี่ก็ยังมีคนพลุกพล่านเหมือนเดิม สำเนียงและรูปลักษณ์ที่แตกต่างมีมากมาย ทั้งมนุษย์และอมุษย์ต่างเดินปะปนกัน บนถนนจึงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและวุ่นวาย
ด้วยเกรงว่าจะถูกคนของแก๊งอารอนตามมาแก้แค้น ลูเซียนจึงระมัดระวังตัวทุกย่างก้าว บวกกับการแผ่พลังจิตไว้เบาบาง เขาจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกสะกดรอยตามได้ง่ายๆ และถ้าพวกอันธพาลมาอยู่ในระยะห้าเมตร เขาก็จะรู้ตัวทันที
ทว่า จนกระทั่งลูเซียนซื้อส่วนประกอบในการร่ายเวทมนตร์เสร็จและออกมาจากตลาด ก็ไม่มีคนของแก๊งอารอนเข้ามาหาเรื่องเลย ความจริงแล้ว ลูเซียนสังเกตเห็นว่าคนของแก๊งอารอนที่มาเก็บค่าคุ้มครองนั้นน้อยลง ปกติแล้วกลุ่มหนึ่งจะมีสองสามคน แต่วันนี้พวกเขากลับทำงานคนเดียว ซึ่งทำให้ลูเซียนมึนงงเล็กน้อย ‘หรือว่าเหตุการณ์นั้นจะทำให้แก๊งอารอนตัดสินใจทำตัวไม่โดดเด่นกันนะ’
แม้แต่ตัวลูเซียนเองยังไม่เชื่อความคิดนั้น แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมผิดปกติของแก๊งอารอนทำให้ลูเซียนตัดสินใจว่าจะระมัดระวังตัวและเรียนเวทมนตร์ระดับฝึกหัดส่วนใหญ่ให้เร็วที่สุด ถึงแม้ว่าพลังในการโจมตีและป้องกันจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก พวกมันก็นำมาพลิกแพลงใช้ได้ ตราบใดที่ใช้มันอย่างเหมาะสม ลูเซียนคิดว่าแม้จะต้องเผชิญหน้ากับอันธพาลนับสิบ เขาก็ยังรับมือได้อย่างสงบเยือกเย็น แต่เป็นในกรณีที่พวกมันไม่มีอาวุธระยะไกลอย่างธนู
ลูเซียนต้องใช้เวลากว่าสามชั่วโมงเพื่อเดินซื้อหาสามส่วนประกอบในการร่ายมนตรา นั่นก็เพราะว่าคราวก่อนเขามีประสบการณ์ถูกคนของแก๊งอารอนค้นพบเจตนาแท้จริง คราวนี้เขาจึงระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าบางส่วนประกอบจะเป็นของธรรมดาทั่วไปก็ตาม และเขาก็ไม่ซื้ออะไรที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนประกอบหลายอย่างสามารถไปเก็บได้ในป่า เช่น ผลจากต้นไซเปรส และผงหินแดงลาย ดังนั้นลูเซียนจึงตัดสินใจจะหาเวลาไปเก็บจากนอกเมือง
ส่วนประกอบในการร่ายมนตราที่ลูเซียนซื้อมานั้นมีสามอย่างคือ ผงซัลเฟอร์ที่ไล่ยุงและแมลงได้ มักใช้ในช่วงเดือนแห่งไฟ หญ้าดาวราตรีที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลายและหลับดีขึ้น ซึ่งหลังจากกลายเป็นศิษย์ของนักดนตรีก็ซื้อได้ง่ายและกลายเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับหินเยือกแข็งที่เอาไว้ใช้เก็บของให้สดใหม่เสมอ
ส่วนประกอบทั้งสามอย่างนี้ ลูเซียนซื้อมาในปริมาณที่พอจะใช้ร่ายคาถาแต่ละบทได้ร้อยครั้ง สิ่งที่แพงที่สุดจากทั้งหมดก็คือหญ้าดาวราตรี ตามด้วยหินเยือกแข็ง และผงซัลเฟอร์คือสิ่งที่ถูกที่สุด ลูเซียนต้องจ่ายมากถึงหนึ่งนาร์ยี่สิบเฟลล์ แทบจะเป็นเงินครึ่งหนึ่งที่ลูเซียนมี
มันยิ่งตอกย้ำให้ลูเซียนรู้สึกว่า ‘เรียนเวทมนตร์ต้องจ่ายแพงมาก!’
…
‘เวทสาดน้ำกรด’ และ ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ ไม่ใช่เวทมนตร์ที่จะใช้ได้โดยไม่เป็นจุดเด่นเหมือนอย่าง ‘เวทบ่วงปลดอาวุธ’ พวกมันจะทิ้งร่องรอยที่ยากจะจัดการไว้ และตอนกลางวัน เขตอาเดรอนก็มีคนพลุกพล่าน ทั้งบรรยากาศก็วุ่นวาย ลูเซียนจึงไม่กล้าใช้เวทมนตร์ในกระท่อมตนเอง และเขาก็ตัดสินใจว่าตอนกลางคืน เขาจะลงไปฝึกซ้อมในท่อน้ำเสีย เหมือนกับแม่มดนางนั้น
บ่ายสองโมง ลูเซียนมาถึงบ้านวิกเตอร์ตรงเวลาเพื่อเรียนต่อบทเรียนที่ค้างไว้เมื่อวานนี้
“ลูเซียน ตอนนี้เจ้ามีงานทำหรือไม่” วิกเตอร์ถามด้วยเสียงแผ่วเบานุ่มนวลหลังจากเรเน่ คอลิน แอนนี่ และนักเรียนคนอื่นๆ กลับไปเมื่อชั้นเรียนหนึ่งชั่วโมงจบลง
ณ ตอนนี้ ในห้องโถงมีนักเรียนเหลืออยู่เพียงสี่คน นั่นคือ ล็อตต์ เฟลิเซีย เฮโรโดตัส และลูเซียน
ลูเซียนส่ายศีรษะ “ท่านวิกเตอร์ ตั้งแต่ข้าเสียงานเก่าไป ก็ยังหางานใหม่ไม่ได้เลยขอรับ”
ตั้งแต่ที่พบว่าการเรียนเวทมนตร์ทำให้เขาต้องใช้จ่ายจนแทบหมดตัวอย่างรวดเร็ว ลูเซียนจึงตัดสินใจว่าจะไปที่ร้านมงกุฎทองแดงก่อนค่ำเพื่อของาน หรือไม่เช่นนั้น เขาก็จะไปที่เขตบริหารปกครองเพื่อหางานในวันพรุ่งนี้ พอตอนนี้วิกเตอร์มาถามเขาโดยไม่ได้เกริ่นอะไรไว้ก่อน ลูเซียนจึงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
“ดูจากสภาพครอบครัวของเจ้าแล้ว ต่อให้ข้าไม่คิดค่าเรียน การมาเรียนตั้งแต่สองโมงถึงหกโมงทุกวันก็ยังอาจส่งผลกับชีวิตเจ้าอย่างมาก” วิกเตอร์พยายามระมัดระวังน้ำเสียงของตน ก่อนหน้านี้เขาได้ถามคอลินและเรเน่ จึงได้รู้ว่าลูเซียนเป็นเด็กยากจน หากเขาอยากมีชีวิตรอดต่อไป เขาก็จะต้องทำงานอย่างน้อยสิบชั่วโมงต่อวัน แม้ว่าเขาจะไม่อาจทราบได้ว่าลูเซียนไปหาค่าเล่าเรียนมาจากที่ใดก่อนหน้านี้ แต่ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของลูเซียนไม่ได้ดีขึ้นนัก “ข้าเพียงแต่รู้มาว่ามีตำแหน่งงานง่ายๆ ว่างอยู่ เจ้าต้องทำงานเพียงสี่ชั่วโมงต่อวันในช่วงเช้า และเจ้าจะได้รับสิบนาร์ทุกเดือน เจ้าอยากทำงานนี้หรือไม่ ลูเซียน”
เขาหางานง่ายๆ มาให้ทำหรอกหรือนี่ วิกเตอร์ไม่เพียงจะรับเขาเป็นลูกศิษย์และไม่คิดค่าเล่าเรียน แต่ยังห่วงใยความเป็นอยู่ของเขาอีกด้วย ลูเซียนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเมื่อได้รับความเมตตานี้ ตั้งแต่ทะลุมิติมาที่นี่ แม้ว่าเขาจะต้องพบเจอกับคนเลวร้ายอย่างแจ็คสัน แต่ก็ยังได้พบเจอกับคนดีๆ อย่างโจเอล อะลิซ่า จอห์น และวิกเตอร์อีกด้วย “ข้าอยากทำขอรับ ท่านวิกเตอร์”
“เจ้าจะไม่ฟังก่อนหรือว่าเป็นงานอะไรก่อนที่จะตกลงน่ะ” วิกเตอร์เอ่ยอย่างขบขัน “ห้องสมุดของสมาคมนักดนตรีปกติแล้วจะมีคนคอยดูแลหนึ่งคนทั้งเช้าบ่าย แต่ข้าคิดว่าคนคนเดียวสามารถทำงานพลาดได้ง่าย ดังนั้นข้าจึงเสนอให้ทางสมาคมเพิ่มเจ้าหน้าที่อีกสองคน ข้าไม่คิดว่าทางสมาคมจะเห็นด้วย แต่ก็นะ เวลาที่เจ้าดูแลจัดการภายในห้องสมุด เจ้าจะได้ลองอ่านตำราความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดนตรีมากมาย เจ้าจะได้เข้าใจเร็วขึ้นเวลาที่ข้าสอน แล้วหลังจากสัปดาห์ที่เจ้าเรียนทฤษฎีพื้นฐานจบแล้ว เจ้าก็จะได้ลองเล่นเครื่องดนตรีดู”
วิกเตอร์คิดว่าเพราะเขายังไม่รู้ว่าลูเซียนจะมีพรสวรรค์ในด้านไหน เขาจึงวางแผนที่จะปล่อยให้ลูเซียนเรียนเครื่องดนตรีหลายๆ ชิ้นเท่าที่จะเรียนไหว และกลายเป็นนักดนตรีให้เร็วที่สุด เขาจะได้มีรายได้มั่นคง และในขณะเดียวกัน หากพบว่าเขามีพรสวรรค์ด้านใดด้านหนึ่ง มันก็ไม่สายที่จะเรียนลงลึก
ลูเซียนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะมีชะตาต้องกันกับห้องสมุดถึงเพียงนี้ เขาทะลุมิติมาตอนอยู่ในห้องสมุด ในห้วงจิตเขาก็มีห้องสมุด แล้วยังจะได้เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดอีกด้วย
ตำแหน่งงานนี้ แท้จริงแล้วทางสมาคมนักดนตรีเพิ่มเข้ามาก็เพราะเห็นแก่วิกเตอร์เท่านั้น เพียงทำงานวันละสี่ชั่วโมง ก็จะได้รับเงินสิบนาร์ทุกเดือน ถือว่าเป็นงานที่ดีมากๆ ลูเซียนคนเก่าต้องทำงานอาบเหงื่อเหนื่อยล้าตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่ได้รับเพียงสามนาร์ต่อเดือน ตอนนี้รายได้เขากลับกระโดดพรวดจากคนยากไร้ขึ้นมาเป็นรายได้ของสามัญชนทั่วไป ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเส้นสายความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญเพียงใด
วิกเตอร์ปรบมือ “ข้ากำลังจะพาล็อตต์ เฟลิเซีย และเฮโรโดตัสไปที่ห้องจัดแสดงของสมาคมในเย็นวันนี้ เพื่อฝึกกับวงออร์เคสตร้า ลูเซียน เจ้าก็ตามข้าไปทำสัญญาด้วยสิ จะได้เริ่มงานพรุ่งนี้เช้าเลย”
ขณะที่วิกเตอร์ตรงไปเก็บแผ่นกระดาษทำนองเพลงที่เขาได้รับแรงบันดาลใจที่กองระเกะระกะ ล็อตต์ก็ส่งยิ้มให้ลูเซียนและเอ่ยว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อล็อตต์ ล็อตต์ กริฟฟิธ ท่านวิกเตอร์เป็นอาจารย์ที่ดีและเป็นคนใจบุญอย่างยิ่ง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังนะ”
ความจริงแล้วล็อตต์ค่อนข้างโกรธและไม่พอใจที่จู่ๆ วิกเตอร์ก็รับลูเซียนมาเป็นลูกศิษย์ เขาคือผู้ที่มาจากตระกูลกริฟฟิธ แต่กลับต้องมาเรียนดนตรีกับคนยากจนไร้การศึกษาที่คิดอยากจะเดินไปบนเส้นทางนักดนตรีอันศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม มันช่างเป็นการหยามเกียรติชนชั้นขุนนางอย่างเขายิ่งนัก
แต่จากคำพูดของวิกเตอร์ ล็อตต์พบว่าวิกเตอร์เพียงคาดหวังจะให้ลูเซียนเป็นนักดนตรีทั่วไป ความโกรธและไม่พอใจจึงเบาบางลง และวางท่าเป็นชนชั้นสูงผู้มั่นใจในตนเอง และแสดงความมีไมตรีกับลูเซียนด้วยท่าทางยโสโอหัง
‘ท่านวิกเตอร์จะต้องดีใจที่ได้เห็นว่าลูกศิษย์ของท่านเข้ากันได้ดี’ ล็อตต์คิดในใจ เขาคิดอยากจะเป็นศิษย์สายตรงของวิกเตอร์มาตลอด
ลูเซียนไม่ได้สนใจว่าล็อตต์จะคิดเห็นอย่างไร เขาได้เลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางนักเวทแล้ว จึงรู้ดีว่าอนาคตของพวกเขาแทบไม่มีทางมาบรรจบกันได้ เขาตอบกลับไปอย่างสุภาพ “แน่นอน ขอบคุณที่เตือนข้านะ ล็อตต์ อ้อ ข้าชื่อลูเซียน อีวานส์”
“ข้าชื่อเฟลิเซีย เฮย์น” เฟลิเซีย เด็กสาวผมสีแดงเพลิงพยักหน้าให้ลูเซียนด้วยท่าทางเย็นชาถือตัว นางไม่คิดว่าลูเซียนจะก้าวหน้าทางดนตรีถึงเพียงนั้น อย่างไรเสีย เขาก็เริ่มต้นช้าไป ดังนั้น เรื่องที่ลูเซียนได้เป็นศิษย์ของวิกเตอร์นั้นนางจะถือเป็นเพียงการทำความดีของวิกเตอร์ และไม่สนใจอะไรอีก
อีกอย่าง การแสดงไมตรีเกินควรเป็นสิ่งที่ล็อตต์ทำได้ แต่เฟลิเซียทำไม่ได้ หากข่าวลือแพร่ออกไปว่านางเป็นมิตรกับเด็กชายยากไร้ มันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของนาง และอาจถึงขั้นส่งผลต่อตัวเลือกในการแต่งงานของนาง
ส่วนเฮโรโดตัส ชายหนุ่มผู้เฝ้ามองลูเซียนด้วยความไม่ชอบใจอยู่ตลอด ก็ทำตามเฟลิเซียด้วยการทักทายเขาตามมารยาท
…
ห้องโถงสมาคมนักดนตรี
ลูเซียนก้าวเท้าไปบนพรมหนานุ่ม เดินตามวิกเตอร์ไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับ ส่วนล็อตต์ เฟลิเซีย และเฮโรโดตัสนั้นวิกเตอร์ให้ขึ้นไปยังห้องจัดแสดงชั้นห้าเพื่อฝึกซ้อม
เอเลน่า หญิงสาวผมสีน้ำตาลหน้าตางดงาม โค้งตัวทักทายอย่างน่ารัก “สายัณสวัสดิ์ค่ะ ท่านวิกเตอร์”
“สายัณสวัสดิ์ เอเลน่า นี่คือลูเซียน ลูกศิษย์ที่จะเริ่มเรียนดนตรีกับข้า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะมาดูแลจัดการห้องสมุดในช่วงเช้า เจ้าช่วยจัดการเรื่องสัญญาว่าจ้างแล้วส่งให้ท่านแฮงค์ได้หรือไม่” วิกเตอร์แนะนำให้นางรู้จักกับลูเซียน
เอเลน่าพยักหน้า ดึงกระดาษสัญญาว่าจ้างที่มีเนื้อหาไม่มากและเตรียมไว้แล้ว พร้อมกับนำปากกาขนนกออกมาวาง แล้วยื่นส่งให้ลูเซียน “สวัสดีค่ะ ท่านลูเซียน ลูเซียน?! เป็นเจ้าหรอกหรือ?!”
นางเพียงรู้สึกว่าชื่อลูเซียนนั้นคุ้นหู และเพิ่งจะนึกออกในตอนนี้เอง ความทรงจำวูบผ่านเข้ามาในขณะที่ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกโพลง นางไม่อยากจะเชื่อว่าลูเซียน ชายยากจนที่มาเก็บขยะให้กับสมาคมนักดนตรีเมื่อสัปดาห์ก่อน จะกลายเป็นศิษย์ของนักดนตรีมีชื่ออย่างท่านวิกเตอร์เสียแล้วในตอนนี้ ‘โลกต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่!’
“สวัสดี เอเลเน่ ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกนะ” ลูเซียนรับสัญญาว่าจ้างมาและเริ่มอ่าน แต่เพราะว่าเขายังอ่านได้ไม่คล่อง จึงต้องใช้เวลาสะกดคำเล็กน้อย และต้องหาความหมายจากพจนานุกรม ทำให้เขาต้องใช้เวลาสองสามนาทีในการอ่านประโยคง่ายๆ ในระหว่างนั้นเอเลน่าก็ใจเย็นลงในที่สุด ก่อนจะจ้องมองลูเซียนด้วยความกระตือรือร้นและสงสัยใคร่รู้ “หากเจ้าไม่ติดขัดอันใด ก็ลงชื่อหรือประทับลายนิ้วมือตรงนี้แล้วส่งให้ข้า ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าข้าจะได้เจอเจ้าอีก เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
วิกเตอร์ถามด้วยใบหน้าอมยิ้ม “เอเลน่า เจ้ารู้จักลูเซียนด้วยรึ”
“ท่านก็อยู่ที่นี่ในตอนนั้นด้วยนะเจ้าคะ ท่านวิกเตอร์…” เอเลน่ารีบเล่าเหตุการณ์ในวันนั้น ส่วนลูเซียนอ่านสัญญาและคิดว่ามันใช้ได้ จึงหยิบปากกาขนนกขึ้นมาและเขียนชื่อลงไปช้าๆ เพราะยังเขียนไม่คล่อง
หลังจากได้ยินเรื่องราว เขาก็มองไปทางลูเซียน “มิน่าเล่า ข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าดูคุ้นๆ มาตลอด อืม เจ้านี่มีความตั้งใจและขยันมากจริงๆ พระเจ้าจะต้องอำนวยพรให้เจ้าประสบความสำเร็จเป็นแน่”
“เอ้อ ประสบความสำเร็จอันใดรึ วิกเตอร์ เจ้าพร้อมสำหรับการแสดงแล้วรึ” ทันใดนั้น เสียงห้วนๆ ก็ดังขึ้น
ลูเซียนหันหลังกลับไปมอง เป็นวูล์ฟ ชายผมสีน้ำตาลคางยื่นคนเดิมกับที่เขาเคยพบครั้งก่อน
————————————————