Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 28 ท่อน้ำเสียอันเงียบสงบ
วิกเตอร์หาใช่คนโง่ที่สนใจแต่เพียงดนตรี เขารู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรจากวูล์ฟอย่างชัดเจน ในใจเขาเต็มไปด้วยโทสะและความขบขัน เขาไม่ใช่ผู้ที่แย่งโอกาสในการขึ้นแสดงในหอประชุมบทสวดไปเสียหน่อย ตอนที่คณะกรรมการไล่ดูและเปรียบเทียบนักดนตรีทั้งหลายเมื่อก่อนหน้านี้ บังเอิญว่าเขาและวูล์ฟได้เข้ารอบสุดท้ายเพื่อตัดสินว่าใครจะได้ขึ้นแสดง แต่หากจะโทษใครนั้น เขาเกรงว่าวูล์ฟจะเสียโอกาสไปเพราะดีแต่วิพากษ์วิจารณ์ดนตรีของผู้อื่นและลืมเลือนความฝันสูงสุดทางด้านดนตรีของตนเองไป
“แน่นอน วูล์ฟ ข้าประพันธ์เปียโนคอนแชร์โตชิ้นใหม่ขึ้นมา และข้าก็พอใจกับมันอย่างยิ่ง เจ้าอยากฟังก่อนไหมเล่า” วิกเตอร์ยังคงแย้มยิ้ม เขาไม่กังวลเรื่องที่ว่าวูล์ฟอาจลอกผลงานหลังจากฟัง เพราะเปียโนคอนแชร์โตชิ้นนี้ได้จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว
วูล์ฟไม่คาดคิดว่าวิกเตอร์จะหลุดพ้นจากความเครียดและความเหนื่อยล้าสะสมตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ ทั้งยังดูมั่นใจเช่นนี้ ใบหน้าเขาพลันเขียวคล้ำ เขาส่งเสียงฮึ่มฮั่มสองครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง “วิกเตอร์ ปล่อยให้ข้าอยากรู้ต่อไปจะดีกว่า หวังว่าในอีกสามเดือนที่หอประชุมบทสวด เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ” ท่าทางวิกเตอร์ดูมั่นใจเสียจนวูล์ฟอดหวั่นใจไม่ได้ว่าถ้าเขาฟังผลงานเปียโนคอนแชร์โตชิ้นนั้นแล้ว ไม่เพียงเขาจะคิดคำทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เขาอาจทำให้ตัวเองเสียหน้าและนอนไม่หลับไปสามเดือนเลยก็เป็นได้
วิกเตอร์เผยมือออกแล้วตอบยิ้มๆ “น่าเสียดายจริงๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยแนะนำข้าได้แท้ๆ”
วูล์ฟไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ต่อ เขาจึงเบนสายตาหลบ และได้เห็นลูเซียนที่ยืนอยู่ข้างๆ วิกเตอร์ในชุดลินินเก่าซอมซ่อ ก่อนจะเชิดคางขึ้นอย่างดูถูก “วิกเตอร์ เจ้าไปรู้จักกับคนไร้การศึกษาชั้นต่ำพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
แม้ว่าญาติห่างๆ ของวูล์ฟจะมียศเป็นถึงไวเคาน์และเป็นท่านลอร์ดอีกหลายคน แต่ตระกูลสายตรงของเขาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์มาหลายรุ่นนับแต่ปู่ทวดของวูล์ฟ ทว่านั่นก็ไม่ได้หยุดเขาจากการทำตัวเหมือนเป็นชนชั้นขุนนาง คอยดูถูกดูแคลนวิกเตอร์และนักดนตรีที่มีปูมหลังเป็นเพียงสามัญชน ทั้งยังแสดงท่าทางยโสโอหังอยู่ตลอดเวลา จึงหาใช่เรื่องแปลกที่เขาจะรังเกียจคนจนอย่างลูเซียน และเมื่อบวกกับความเกลียดชังที่มีต่อวิกเตอร์ที่ลูเซียนยืนอยู่เคียงข้าง วูล์ฟจึงมีท่าทีราวกับเห็นหนูสกปรกวิ่งลอดใต้โต๊ะอาหารของเขา
ลูเซียนแทบไม่รู้สึกอะไรต่อคำดูถูกของวูล์ฟ เพียงกรุ่นโกรธเล็กน้อย นอกจากนั้นแล้วก็มีแต่ความขบขัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตราบใดที่มีความแตกต่างทางชนชั้นและมีคนจนกับคนรวย ย่อมมีคนแบ่งแยก ‘สูงต่ำ’ จอมปลอมเช่นนี้ขึ้น สังคมปัจจุบันในโลกก่อนนั้นดีกว่ามาก โลกอันแปลกประหลาดแห่งนี้เป็นส่วนผสมจากยุคเรอเนซองซ์และยุคกลางแสนมืดมน จึงไม่แปลกที่ผู้คนที่นี่จะให้ค่ากับปูมหลังและฐานันดรศักดิ์ หากอยากลบล้างการสบประมาทเช่นนี้ ก็มีเพียงต้องพึ่งพาความสามารถของตน
วิกเตอร์เป็นสามัญชน เขาเองก็มีความรังเกียจที่อธิบายไม่ได้ต่อท่าทางของวูล์ฟ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงจริงจัง “ระวังคำพูดของเจ้าด้วย วูล์ฟ นี่คือศิษย์คนใหม่ที่เพิ่งเริ่มเรียนดนตรีกับข้า เขาชื่อลูเซียน เอ่อ เป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์”
แม้ว่าตัววิกเตอร์จะไม่ได้คิดดูถูกคนจน แต่สภาพแวดล้อมและการศึกษาของโลกนี้ก็ส่งผลต่อเขาไม่น้อย ดังนั้น ตอนที่เขาแนะนำลูเซียน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองโดนดูถูกไปด้วย บวกกับความรังเกียจที่มีต่อวูล์ฟ วิกเตอร์จึงอดไม่ได้ที่จะอวดโอ่ แม้ว่าจนถึงตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ว่าลูเซียนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรีหรือไม่ก็ตาม
“ฮ่าๆๆ เขา ฮ่าๆๆๆ เขาเนี่ยน่ะหรือผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี คนจนชั้นต่ำที่ไม่เคยได้รับการศึกษาหรือผ่านการเรียนดนตรีมาเนี่ยน่ะหรือจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี วิกเตอร์ ข้าว่าสมองเจ้าคงรวนไปหมดแล้วจากการเตรียมขึ้นแสดง” ท่าทางของวูล์ฟคล้ายคนที่เพิ่งได้ฟังเรื่องตลกขบขันมา เขาหัวเราะเสียงดังใส่วิกเตอร์และลูเซียนจนไม่เหลือมาด ทั้งยังโซเซไปมา ความรู้สึกอัปยศอดสูเมื่อครู่หายวับไปโดยพลัน
วิกเตอร์ไม่คาดคิดว่าความใจดีช่วยตอบโต้ด้วยการอวดโอ่ของเขาจะทำให้ได้รับปฏิกิริยาเช่นนี้จากวูล์ฟ ในขณะที่ยังคร่ำครวญอยู่ในใจว่าเข้าไม่เข้าใจวูล์ฟเลยจริงๆ เขาก็ทำได้เพียงตอบโต้ไปว่า “อัลโต้คือเมืองแห่งบทสวดและเสียงเพลง ทุกคนที่นี่ได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าและได้รับอิทธิพลจากเสียงดนตรี แม้แต่กวีขับลำนำที่เก่งกาจโดดเด่นหลายคนก็มีปูมหลังเป็นคนยากไร้ ความสามารถทางดนตรีของหลายคนๆ คือพรจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเกิดมาพร้อมกับมัน เพียงแต่ต้องผ่านการเรียนรู้เพื่อขัดเกลาฝุ่นผงที่บดบังแสงเพชรออกไป และดึงตัวตนอันสุกใสออกมามิใช่หรือ”
วูล์ฟส่ายศีรษะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะชี้ไปทางลูเซียน “ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีเช่นนั้นย่อมมีอยู่จริง แต่ในเมื่อมันคือพรจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่มีสายเลือดของพระเจ้าจึงกระตุ้นพรได้ง่ายดาย ดังนั้นเจ้าฟ้าหญิงนาตาชาและลอร์ดเวอร์ดีนั้นใช่แน่นอน แล้ว ‘ศิษย์’ เจ้าชื่ออะไรนะ เอิ่ม ลูเซียนน่ะไม่มีทางใช่ หากเขาเป็นนักดนตรียอดเยี่ยมได้ ข้าจะขอโทษเจ้ากับเขาอย่างเปิดเผยใน ‘วิพากษ์ดนตรี’ และจะไม่ขอขึ้นแสดงดนตรีของตนเองอีกต่อไป”
ด้วยความมั่นใจ วูล์ฟจึงวางเดิมพันโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่เขายังรอบคอบพอจะจงใจเพิ่มคำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ เข้าไปหลังคำว่านักดนตรี เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เขาไม่ยอมรับว่าลูเซียนเป็นนักดนตรียอดเยี่ยม แม้ว่าวิกเตอร์จะนำคำท้านี้มาทักท้วงเขาในภายหลัง เขาก็ยังเพิกเฉยต่อไปได้
จากที่ลูเซียนรู้มาในช่วงนี้ เจ้าฟ้าหญิงนาตาชา หรืออีกพระนามหนึ่งคือเคาน์เตสไวโอเล็ต คือบุตรีคนเดียวของแกรนด์ดยุกแห่งออร์วาริต และยศปัจจุบันของพระองค์คือยศของผู้สืบทอดราชบัลลังค์ลำดับที่หนึ่ง เพราะตระกูลที่ครองบัลลังค์แห่งออร์วาลิตก็คือตระกูลไวโอเล็ต พรสวรรค์ทางด้านดนตรีของเจ้าฟ้าหญิงนั้นโดดเด่นอย่างยิ่ง พระองค์เล่นได้ทั้งไวโอลิน ฟลุ๊ต และฮาร์ปซิคอร์ด หากไม่ใช่เพราะฐานันดร พระองค์คงกลายเป็นนักดนตรีที่เก่งกาจมีชื่อเสียงมากเป็นแน่ นอกจากนี้แล้ว เจ้าฟ้าหญิงนาตาชาในวัยเพียงยี่สิบห้าปี ยังเป็นถึงมหาอัศวินขั้นที่ห้า ไม่ห่างจากยศอัศวินนภาเท่าใดนัก
เอิร์ลเวอร์ดีคือหลานชายของแกรนด์ดยุกและเป็นคนของตระกูลไวโอเล็ต เขาเคยประพันธ์บทเพลงแสนไพเราะยอดเยี่ยมมาแล้วหลายชิ้น ขณะนี้ไม่ได้อยู่ในเขตการปกครองของเขา แต่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของทหารยามรักษาเมืองอัลโต้ และเพิ่งจะเลื่อนขึ้นเป็นมหาอัศวินขั้นที่ห้า
หลังจากกล่าวจบ วูล์ฟก็ไม่มองวิกเตอร์อีก แล้วเดินตรงไปขึ้นบันไดด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
วิกเตอร์ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกขยะแขยง ก่อนจะหันมาพูดกับลูเซียน “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องชายหยาบช้าจิตใจคับแคบผู้นั้นหรอกนะ ห่วงแต่การเรียนของเจ้าก็พอ เย็นวันนี้เจ้ามีธุระอะไรก็ไปทำเถิด เริ่มงานพรุ่งนี้เช้าก็มาหาเอเลน่า ขอให้นางพาเจ้าไปที่ห้องสมุด อ้อ ทุกสัปดาห์จะหยุดหนึ่งวัน อาจจะเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าและบรรณารักษ์อีกคนจะตกลงกันอย่างไร เอาล่ะ ข้าขอตัวไปที่ห้องจัดแสดงก่อนนะ”
หลังจากวิกเตอร์เดินจากไปแล้ว ลูเซียนก็หันกลับมาส่งเอกสารสัญญาว่าจ้างให้เอเลน่า “ข้าคงต้องรบกวนเจ้าในพรุ่งนี้ เอเลน่า”
เอเลน่ายิ้มกว้าง เผยลักยิ้มบนแก้มซ้าย “มันเป็นหน้าที่ข้า ลูเซียน อ้อ ใช่ ไม่ต้องไปสนใจท่านวูล์ฟล่ะ คนส่วนใหญ่ในสมาคมไม่ชอบเขาหรอก เว้นก็แต่คณะกรรมการสมาคมที่ เอ่อ มีฐานันดรน่ะนะ”
“ฮ่าๆ ท่านวูล์ฟที่มองพวกเราด้วยคางอย่างเย่อหยิ่งจองหอง จะมองคางของท่านคณะกรรมการสมาคมคนใดอย่างถ่อมตัวและยำเกรงหรือ?” ลูเซียนใช้คำพูดของเอเลน่าเพื่อเอ่ยเสียงเยาะเย้ยชวนขัน ทำให้เอเลน่าหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากเล่นมุกกับเอเลน่าอีกสองเรื่อง ลูเซียนก็ตั้งใจจะรีบกลับไปเพื่อสำรวจทางเข้าท่อน้ำเสีย เขาจึงขอตัวลา
“ลูเซียน!” หลังจากก้าวเท้ามาได้ไม่กี่ก้าว เอเลน่าก็เรียกรั้งเขาไว้ จึงหันกลับไปมองนางด้วยความสงสัย
เอเลน่ากำมือขวาโบกไปมา “ลูเซียน ข้าเชื่อในตัวเจ้า เจ้าจะไม่ได้เป็นแค่นักดนตรีธรรมดา แต่เจ้าจะเป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ แล้วตอนนั้นเรามาดูสีหน้าของท่านวูล์ฟกัน!”
ก่อนที่จะมาทำงานให้กับสมาคมนักดนตรี ชีวิตของเอเลน่านั้นอยู่ก้ำกึ่งระหว่างสามัญชนและคนยากไร้ ดังนั้นนางจึงไม่ชอบใจในคำพูดของวูล์ฟ
ลูเซียนเลียนแบบท่าทางกำหมัดของนาง “แน่นอน!”
…
เวลาสามทุ่ม เขตอาเดรอนมืดสนิทและไม่มีผู้ใดออกมาเพ่นพ่าน เว้นก็แต่ขี้เมาเพียงไม่กี่คน เสียงสุนัขเห่าดังขึ้นทำลายความเงียบงันยามราตรีเป็นครั้งคราว สำหรับคนจนบนโลกนี้แล้ว พวกเขามักเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้าตรู่ จึงไม่มีสถานบันเทิงที่เต็มไปด้วยแสงสีในเขตนี้
ตอนมื้อค่ำ ลูเซียนบอกโจเอลและอะลิซ่าถึงเรื่องงานที่วิกเตอร์ช่วยหามาให้ จากนั้นเขาก็หาข้ออ้างปลีกตัวกลับกระท่อม นั่งสมาธิเข้าฌานและเตรียมพร้อมรอเวลาทำการทดลองทางเวทมนตร์
หลังจากรีบออกจากกระท่อมอย่างเงียบงัน และปิดประตูอย่างแผ่วเบา ลูเซียนก็ย่องไปยังทางเข้าท่อน้ำเสียตั้งอยู่ไกลออกไปที่เขาไปสำรวจมาตอนเย็น เมื่อไหร่ที่เขาวิเคราะห์มนตราอีกสี่บทได้ เขาจะสามารถจัดหาและใช้ส่วนประกอบเวทมนตร์ทำให้มนตราบางอย่างแสดงผลไม่รุนแรงมากและเอาไว้ใช้สำรอง เช่น ‘เวทละลายหินอย่างอ่อน’ คือเวทมนตร์ที่ใช้เปิดเส้นทางลับจากกระท่อมไปยังท่อน้ำเสีย เขาจะได้ไม่ต้องเดินทางไปมาให้เป็นที่สงสัย
หลังจากสังเกตการณ์พื้นที่โดยรอบอย่างใจเย็นจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ลูเซียนก็ค่อยๆ เดินผ่านทางเข้าท่อน้ำเสียด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม้ว่าครานี้กลิ่นเหม็นอับกับสภาพแวดล้อมที่มีเมือกลื่นๆ แสนสกปรกจะยังทำให้ลูเซียนรู้สึกไม่สบายใจและปรับตัวไม่ได้ แต่มันก็ไม่ทำให้เขาหมดความกระตือรือร้นในการเรียนเวทมนตร์ เขาย่างเท้าก้าวเดินต่อไปในท่อน้ำเสีย มองหามุมไกลๆ ลับตา พลางทำแผนที่คร่าวๆ ไว้ในห้องสมุดห้วงจิต
ในระหว่างนั้น ลูเซียนก็ขูดเอาตะไคร่ที่เรืองแสงอ่อนๆ มาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย เพราะว่านี่คือ ‘ตะไคร่น้ำเรืองแสง’ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในเวทมนตร์ระดับฝึกหัดที่ชื่อ ‘เวทดับแสง’
ขณะสำรวจไปเรื่อยๆ ลูเซียนก็รู้สึกแปลกๆ แต่เขาก็ยังไม่พบเจอขอทานที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำเสียอย่างที่โคเรลลาเคยบอกไว้ รอบตัวเขาเงียบสนิท มีเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของตัวเขาเองเท่านั้นที่ดังจนเขาเริ่มรู้สึกละอายใจ
ไม่นานหลังจากนั้นลูเซียนก็เจอสถานที่เหมาะแก่การทำการทดลองทางเวทมนตร์ ตรงนี้เป็นทางสามแพร่ง ห่างออกไปประมาณสิบก้าวมีหินก้อนใหญ่กั้นอยู่ ทางที่เลี้ยวไปด้านซ้ายนั้นนำไปสู่เส้นทางอันมืดมิด จุดนี้ทำให้เขามองเห็นว่าใครกำลังเข้ามาใกล้ทั้งจากทางซ้ายมือและด้านหลัง
ลูเซียนหยิบผงซัลเฟอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านขวาหยิบมือเล็กๆ พลางคิดคร่ำครวญในใจว่า ถ้าเขาเป็นนักเวทไม่ได้เสียที การจะพกส่วนประกอบในการร่ายคาถาไปไหนมาไหนก็เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่งนัก ตอนนี้เขามีของสี่ชนิด เลยยังใส่ไว้ในกระเป๋าทั้งสี่บนตัวได้ แต่ถ้าเกิดว่าต้องใช้ส่วนประกอบเป็นสิบๆ หรือเป็นร้อยๆ เขาก็จำเป็นต้องใช้ชุดคลุมเวทมนตร์ชนิดพิเศษที่มีช่องใส่ของในเข็มขัดเยอะๆ
เมื่อนึกถึงโครงสร้างมนตราที่ตีความได้แล้วและกระบวนการร่ายเวทมนตร์ที่เข้าใจแล้ว ลูเซียนก็ยื่นมือขวาออกไป ปล่อยผงซัลเฟอร์ร่วงหล่นลงมาช้าๆ พร้อมกับที่เสียงแหลมๆ แปลกหูดังจากปากเขา สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและดูถมึงทึงลึกลับภายใต้แสงจากตะไคร่น้ำ
————————————————