Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 295 ความคิดเห็นและความคาดหวัง
ลูเซียนโค้งคำนับให้กับผู้ฟังท่ามกลางเสียงปรบมืออันอบอุ่นถึงเก้าครั้ง แล้วเขาก็กลับเข้าไปหลังเวทีเพื่อเตรียมตัวสำหรับซิมโฟนีเพลงสุดท้าย ซิมโฟนีเพลงที่สำคัญที่สุดของการแสดงคืนนี้
ณ จัตุรัสเทศบาล ผู้คนยังคงตกอยู่ในภวังค์แห่งความอาลัยอาวรณ์อย่างสุดซึ้ง ชายชราคนหนึ่งในวัยปลายหกสิบ พูดกับคนแปลกหน้าที่อยู่ข้างๆ เขาไปปลดปล่อยอารมณ์ออกมา “เจ้าอาจไม่รู้ แต่ข้ามาจากอาณาจักรชาค ประเทศทางตอนใต้ของทวีป ใกล้กับสหพันธรัฐดินแดนเสรี เรามีกองทัพเรือที่เข้มแข็ง และข้าก็เคยเข้าร่วมกองทัพต่อสู้กับพวกโจรสลัด… สิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดในอัลโต้ก็คือเหล้าของที่นี่แรงไม่ถึงใจ ไม่ใกล้เคียงกับเหล้า ‘เปเล็ด’ ที่บ้านเกิดของข้า เวลาเจ้าจิบมัน คอและท้องของเจ้าจะรู้สึกเหมือนถูกเผาราวกับ… ข้าเองก็บรรยายไม่ถูก พวกเรายังมีไวน์ขาวพิเศษที่ทำจากองุ่นที่ปลูกบนเทือกเขาสูง ใครที่เคยได้ลิ้มลองจะไม่มีวันลืมรสชาติหวานและสดชื่นของมัน แต่มีเพียงเคานต์ลูซิโอและกษัตริย์เท่านั้นที่จะได้ลิ้มลองไวน์… เจ้ารู้ไหมว่าข้ามีโอกาสได้ชิมไวน์นั้นอย่างไร? ตอนนั้นมีงานแต่งของเคานต์ลูซิโอ แล้วข้าก็เป็นองครักษ์ ข้าโชคดีที่เจอไวน์เหลืออยู่ในแก้ว… ไม่เอาหน่า… อย่าเพิ่งไป ให้ข้าเล่าให้จบก่อน เจ้ารู้จักหมูแผ่นที่ทำในเมืองลูซิโอไหม? เรายังมีชีสนมแพะ น้ำผึ้งที่ดีที่สุด และลูกแกะย่าง… สาวๆ ในเมืองลูซิโองดงามราวดอกไม้บานและร้อนแรงราวกับไฟ! พวกนางชอบผู้กล้าที่สามารถล้มวัวกระทิง…”
ชายวัยกลางคนผู้รับฟังไม่ได้สนใจ เขาส่ายหัวและรู้สึกรำคาญ เนื่องจากเขาเองก็คิดถึงบ้านเกิดของตนเช่นกัน
ชายชราไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อชายวัยกลางคนคนนั้นถอยห่างจากเขา แล้วเขาก็เริ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง “ข้ายังไม่ได้เล่าถึงบ้านหลังเล็กๆ ของข้าในชนบทเมืองลูซิโอเลย เถาวัลย์เขียวขึ้นปกคลุมกำแพงตลอด ดอกไม้สีเหลืองอ่อนสวยงามกว่าดอกไม้ชนิดไหนๆ พื้นตรงมุมห้องคงโป่งหมดแล้วป่านนี้ แต่ข้าก็กลับไปซ่อมไม่ได้…”
ชายชราจากบ้านเกิดเมืองนอนมามากกว่าสามสิบปี เขาเกรงว่าเขาอาจจะตายระหว่างทางกลับบ้าน
เสียงของเขาทุ่มลงๆ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เขายังคงเฝ้าถามตัวเอง “กลับบ้าน? ข้าต้องกลับบ้านไหม?”
แล้วทันใดนั้น เขาก็ตัดสินใจ ชูกำปั้นโบกไปมาอยากมีเรี่ยวแรงและตะโกนออกมาว่า “ข้าจะกลับบ้าน!”
กลินตันสะดุ้งเบาๆ แล้วถามเขา “ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ชายชรายิ้มกว้าง “ใช่! ข้าจะกลับบ้าน!”
สีหน้าของเขาเป็นประกายด้วยความเป็นสุข
แล้วเขาก็พูดต่อ “ก่อนที่ข้าจะตาย นี่ช่างเป็นพรอันประเสริฐที่ข้าได้มีโอกาสฟังซิมโฟนีเพลงนี้จากท่านอีวานส์ นี่เป็นผลงานเพลงชิ้นเอก เป็นการรวมกันระหว่างดนตรีพื้นเมืองและซิมโฟนี! หลังจากข้ากลับบ้าน ข้าคงคิดถึงท่านลูเซียน อีวานส์ และบทเพลงอันยอดเยี่ยมของเขา!”
กลินตันรีบพยักหน้าและเห็นด้วย “ท่านพูดถูกแล้ว! ตอนที่กระบวนแรกบรรเลง ข้ายังไม่มั่นใจ ข้าไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร แต่หลังจากฟังกระบวนที่สอง ข้าบอกได้เลยว่า ‘ซิมโฟนีแห่งดินแดนใหม่’ ยิ่งกว่าคำว่าวิเศษ เพลงนี้จะเป็นเพลงเอกสุดคลาสสิค! อาจจะเป็นรอง ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ อยู่เล็กน้อยเท่านั้น…”
กลินตันใช้สองนิ้วทำท่าทางให้เห็นว่า ‘ซิมโฟนีแห่งดินแดนใหม่’ ใกล้เคียงกับ ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ เพียงใด ในความคิดของเขา กลินตันยังคงชื่นชอบเพลงชะตาชีวิตมากกว่า บางทีอาจเป็นเพราะเขายังคงได้กลับบ้านอยู่บ้าง
แล้วกลินตันก็ถอนหายใจ “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าซิมโฟนีแบบไหนที่จะใช้ปิดการแสดง ถึงขนาดซิมโฟนีแห่งดินแดนใหม่ยังไม่คู่ควร”
ผู้คนคาดหวังว่าเพลงซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิตจะถูกใช้เป็นเพลงเปิดการแสดง เพราะเป็นตัวแทนความสำเร็จที่ผ่านมาของลูเซียน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาก็รู้สึกว่าผลงานชิ้นเอกเพลงซิมโฟนีแห่งดินแดนใหม่ก็คุณค่าอย่างยิ่งที่จะเป็นเพลงปิดการแสดง แต่กลับไม่ใช่
ชายชรายิ้ม “บางทีอาจเป็นเพลงที่เหนือกว่าซิมโฟนีแห่งดินแดนใหม่ ข้าเชื่อในตัวท่านอีวานส์”
“ข้าก็เช่นกัน” กลินตันหันกลับไปมองที่กำแพงคริสตัลอีกครั้ง
ไม่ใช่เพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น ผู้คนต่างกำลังเฝ้ารอเพลงปิดการแสดงด้วยความคาดหวังอันแรงกล้า และเชื่อในตัวนักดนตรีหนุ่มคนนี้
…
ภายในโรงละครซาล์มฮอล
เอเลน่าปาดน้ำตาและพูดกับเฟลิเซียด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ข้ารู้สึกได้เลยว่าลูเซียนคงคิดถึงบ้านเกิด ญาติ และสหายมากๆ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ความรู้สึกในเพลงนั้นจริงมากและเป็นความรู้สึกที่จับใจข้าเหลือเกิน”
ดวงตาของเฟลิเซียก็แดงระเรื่อด้วยน้ำตา “เพลงนี้ทำให้ข้านึกถึงตอนออกเดินทางกับอาจารย์วิกเตอร์ ตอนแรก ข้าไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่พอผ่านไปสักเดือน ข้าก็เริ่มคิดถึงพ่อแม่และห้องนอนอย่างกับคนบ้า ข้าพยายามเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นดนตรี ข้าเลยเขียนเพลงเปียโนที่เจ้าได้ฟัง แต่คงเทียบไม่ได้กับผลงานของลูเซียน เพลงของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าอีกครั้ง… บางที บางทีข้าคงเริ่มนับถือลูเซียนเข้าแล้ว…”
ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักที่ศึกษาดนตรีกับลูเซียนภายใต้การสั่งสอนของวิกเตอร์ แม้ว่าเฟลิเซียจะประหลาดใจและตกตะลึงกับความสามารถ และดนตรีที่ลูเซียนประพันธ์ขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และนางก็ยังเคารพลูเซียนในฐานะนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ แต่นางไม่เคยมีความรู้สึกนับถือศรัทธาเกิดขึ้นในหัวใจเหมือนในตอนนี้
“ข้าก็ด้วย” เอเลน่ายิ้ม
เฟลิเซียวางมือขวาทาบอกแล้วกล่าวด้วยความหวัง “รอฟังซิมโฟนีเพลงสุดท้ายกันเถอะ ให้เราได้ศรัทธาในตัว ลูเซียนมากยิ่งขึ้น!”
“เกรซบอกข้าว่าทั้งท่านฟรานซ์และท่านแฟบบรินีต่างชื่นชม ‘เพลงสรรเสริญแห่งปิติ’ เป็นอันมาก มากกว่าซิมโฟนีดินแดนใหม่เสียด้วยซ้ำ” เอเลน่ากล่าว “ลูเซียนไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ถ้าแก่ตัวไป ข้าจะเล่าให้หลานๆ ฟังรอบๆ เตาผิงว่าข้าได้เป็นสหายของนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน…”
…
ณ เฉลียงผู้ชมของขุนนาง หลังจากได้ฟังสิ่งที่คริสโตเฟอร์พูด นาตาชาก็ถามออกมา “ท่านประธาน ท่านจะกลับบ้านเกิดก่อนประพันธ์เพลงศาสนาเพลงนั้นจบหรือ?”
“บางทีบ้านเกิดของหม่อมฉันช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้มากขึ้นเพคะ” คริสโตเฟอร์ยิ้มอย่างสงบสุข “องค์หญิง ลูเซียนเคยเล่าถึงซิมโฟนีแห่งดินแดนใหม่เพลงนี้ในจดหมายบ้างไหมเพคะ พระองค์ดูประทับใจไม่ต่างจากพวกเรา เหมือนเป็นครั้งแรกที่พระองค์เคยฟัง”
นาตาชาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและตอบ “นี่เป็นครั้งแรกของข้า เขาเก็บความลับเก่ง แต่ข้าก็ไม่แปลกใจกับรูปแบบดนตรี เพราะจากจดหมาย ข้าบอกได้เลยว่าเขาคิดถึงอัลโต้มาก แน่นอน ข้ามีความรู้สึกต่อซิมโฟนีแห่งดินแดนใหม่ต่างออกไป อัลโต้เป็นบ้านเกิดของข้า ความทรงจำของข้าอยู่ที่นี่ ดนตรีของลูเซียนทำให้ข้าคิดถึงวัยเด็กตอนข้าเดินทางไปที่โฮล์มเสียมากกว่า”
แกรนด์ดยุกคิดเห็นไปในทำนองเดียวกัน แม้ว่าซิมโฟนีจะทำให้เขาคิดถึงความทรงจำมากมาย แต่ในฐานะบุรุษผู้เกิดและเติบโตในนครอัลโต้ เขาไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์เท่าใดนัก
“หม่อมฉันก็รู้สึกเหมือนกัน แต่หม่อมฉันรู้สึกอาลัยอาวรณ์ตอนที่ออกเดินทางแสดงดนตรี” วิกเตอร์พยักหน้าและกล่าวชื่นชมลูกศิษย์ของตน “ตอนนั้น หม่อมฉันคิดถึงอัลโต้สุดขั้วหัวใจ คิดถึงสถานที่ที่วินนี่และหม่อมฉันสร้างด้วยกัน แต่เพลง ‘ซิมโฟนีแห่งความรัก’ ของหม่อมฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นเลย หม่อมฉันไม่คิดว่าจะสามารถประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ได้…”
โอเทลโล่ส่ายศีรษะเบาก่อนจะแสดงความเห็น “ส่วนหม่อมฉันก็มีความรู้สึกหลากหลายต่อเพลงนี้ หม่อมฉันชอบ กระบวนที่สองมากเพคะ แต่ก็ไม่ชอบโครงสร้างของท่านอื่นๆ หวังว่าเพลงสรรเสริญแห่งปิติจะคงเส้นคงวากว่านี้”
“คงเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมพอจะสามารถเทียบได้กับซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต” นาตาชามีความศรัทธาในสหายของนางอย่างแรงกล้า
แม้ว่าไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะขอฟังการซ้อมของลูเซียนก่อนใคร แต่นางก็หักห้ามใจไว้จนรู้สึกตื่นเต้นมากในวันนี้
วิกเตอร์ก็พยักหน้า “หม่อมฉันเชื่อว่าลูเซียนจะไม่ทำให้เราผิดหวัง”
“อย่ากดดันพ่อหนุ่มน้อยมากเกินไป” คริสโตเฟอร์ยิ้มกว้าง “แต่หม่อมฉันต้องบอกว่ารู้สึกตื่นเต้นมากๆ เลยเพคะ”
แกรนด์ดยุกกล่าวด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ “รอชมกันเถอะ”
เคานต์เฮย์น เคานต์ราฟาติ และพระคาร์ดินัลกอสเซ็ตต์ และคนอื่นๆ อีกมากมาย ต่างกำลังเฝ้ารอเพลงปิดการแสดงครั้งนี้
…
ณ ด้านหลังเวที
อาการไอของลูเซียนเริ่มกำเริบหนัก
“ท่านอีวานส์ เป็นอะไรไหมขอรับ? เราน่าจะให้ท่านฟรานซ์ทำหน้าที่…” แฟบบรินีเสนอแนะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ลูเซียนใช้มือปิดปากและส่ายศีรษะ “ข้า… ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย ข้าก็สบายดีมาเกือบสามชั่วโมง และยังจะสบายดีในชั่วโมงสุดท้าย อย่าลืมว่าข้าเป็นถึงอัศวิน!”
เนื่องจากแม้ว่าลูเซียนจากไอถี่ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรสาหัสเกิดขึ้น ผู้คนด้านหลังเวทีต่างรับฟังลูเซียนและไม่ได้เป็นกังวลมากนะ
ลูเซียนมองหน้าแฟบบรินีและพูดอย่างจริงใจ “ไม่มีนักร้องแบริโทนเก่งๆ ในอัลโต้ เพราะฉะนั้น… ได้โปรดเถิด แฟบบรินี ข้ารู้ว่ามันยาก”
โอเปร่าไม่ได้รับความนิยมเหมือนซิมโฟนีในนครอัลโต้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากในการหานักร้องโอเปร่าเก่งๆ ในเมืองนี้
หน้าของแฟบบรินีแดงระเรื่อเมื่อถูกลูเซียนจ้องมอง “ข้ารับปาก ท่านอีวานส์ ข้าฝึกซ้อมอย่างหนัก ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ด้วยการใช้กลวิธีลับจากศาสนจักร แฟบบรินีสามารถใช้ลำคอในการขับร้องท่อนต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งจริงๆ แล้วจำเป็นต้องอาศัยเวลาฝึกฝนยาวนาน
ลูเซียนพยักหน้าและลุกขึ้น เขามองไปรอบๆ ที่นักร้องและสมาชิกคณะประสานเสียง แล้วก็ชูมือขึ้น “สหาย เรามาลืมคำพูดซ้ำซากเก่าๆ ทิ้งไป และขับร้องเพื่อปิติกันเถิด!”
“ร้องเพื่อปิติ!” ทุกคนด้านหลังเวทีทวนคำพูดพร้อมกันด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
เมื่อแฟบบรินีและคณะประสานเสียงเตรียมพร้อมแล้ว ลูเซียนก็จัดชุดสูทของเขาให้เข้าที่และเดินออกมาจากหลังเวทีด้วยความมั่นใจ
…………………