Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 34 วิเคราะห์แหวน
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปหลังจากที่เงาดำนั้นหายลับไป เศษเสี้ยวสีดำก็ค่อยๆ ล่องลอยมาก่อตัวขึ้นตรงอีกฝั่งทางเดินภายในท่อระบายน้ำ แสงสีดำอ่อนๆ สั่นสะเทือนราวกับคลื่นน้ำ และแผ่กลิ่นไอชั่วร้ายโหดเหี้ยมระคนสงบนิ่งลึกล้ำ
ร่างนั้นไปหยุดอยู่หน้าตาข่ายลวดหนามและมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เขาเป็นชายในวัยสามสิบที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงสีดำ เสื้อคลุมสีดำ รองเท้าและโบว์ไทสีดำ หนวดเคราของเขาตัดเล็มอย่างประณีตและเส้นผมสีดำก็เสยขึ้นไปทั้งหมด นี่คือกระแสการแต่งตัวรูปแบบใหม่ที่เหล่าขุนนางชั้นสูงแห่งนครอัลโต้เพิ่งจะเรียนรู้มาจากอาณาจักรอื่นๆ
หากมองผ่านๆ ชายผู้นี้ก็ดูเหมือนคนที่ให้ความสนใจกับการแต่งตัวและสถานะ
แต่น่าเสียดายที่เขาหาใช่ขุนนางอันใด
เขาคือโรซาน อารอน
ภายในแก๊งอารอน หัวหน้ากลุ่มของแก๊งที่ได้พบกับโรซาน อารอน บ่อยๆ จะรู้ดีว่าภายใต้ภาพลักษณ์สง่างามที่พยายามจะไล่ตามกระแสของชนชั้นสูงของหัวหน้าใหญ่นั้น แท้จริงแล้วซุกซ่อนโทสะยากจะอธิบายที่คุกรุ่นอยู่ในใจมิเคยดับมอด ซึ่งแผ่ทั้งความโหดเหี้ยม ความกราดเกรี้ยว และโทสะน่าหวั่นเกรงออกมาอยู่ตลอด
ความจริงแล้วโรซาน อารอน คืออัศวินที่ปลุกพรในสายเลือดได้แล้ว ทั้งยังทลายข้อจำกัดของร่างกายมนุษย์จนกลายเป็นอัศวินที่แข็งแกร่ง แต่น่าเศร้าที่พรในสายเลือดของเขามีพื้นฐานจากด้านมืด ดังนั้น ไม่เพียงเขาจะไม่อาจเป็นชนชั้นสูงที่แท้จริง ได้รับคฤหาสน์ เพลิดเพลินไปกับชีวิตชั้นสูงอันงดงาม และทิ้งฐานันดรไว้ให้ลูกหลาน แต่เขายังต้องหลีกหนีคนจากศาสนจักร เหมือนกับหนูที่ต้องซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำมิกล้าออกไปหาแสงตะวัน
ในสมัยที่จักรวรรดิเวทมนตร์โบราณยังปกครองทั่วทั้งฟ้า แผ่นดิน และมหาสมุทร ทั้งยังมีชัยเหนือพื้นที่ที่ยังมิมีผู้ใดเข้าถึง เหล่าอัศวิน บาทหลวง และอาชีพอื่นๆ ต่างใช้พลังได้อย่างคล่องแคล่วเลิศล้ำ และมีความคิดว่านักเวทก็คือคำนิยามของความแข็งแกร่ง
‘เวทลอยตัว’ มนตร์ระดับสามกับ ‘มนตร์ปลุกอาคม’ มนตร์ระดับหก และมนตร์อันทรงพลังอีกนับไม่ถ้วนทำให้พลังในตัวนักเวทพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากนักเวทใช้เวทมนตร์ในระดับขั้นนี้ได้อย่างชำนาญ ดวงจิตและพลังจิตของนักเวทก็จะมีวิวัฒนาการ ทำให้ช่วงชีวิตยืนยาวขึ้น ดังนั้น ในสมัยจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ นักเวทที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งและสองจะถูกเรียกว่านักเวทระดับพื้นฐาน ขั้นที่สามถึงห้าคือนักเวทระดับกลาง และขั้นที่หกถึงแปดคือนักเวทระดับสูง ส่วนผู้ที่อยู่ขั้นที่เก้าขึ้นไปเรียกว่าจอมเวท
อ้างอิงจากมาตรฐานการแบ่งระดับทั้งสี่ขั้นในตำนาน เหล่าอัศวินเชื่อมโยงลำดับขั้นพลังของพรในสายเลือดให้เหมือนกับการเลื่อนขั้นของนักเวทระดับสาม หก เก้า จากนั้นจึงเปรียบเทียบและแบ่งระดับการเลื่อนขั้นพลังในแบบที่ไม่เข้มงวดมาก ดังนั้น หลังจากที่ปลุกพรในสายเลือดได้และเป็นอัศวินฝึกหัดแล้ว ขั้นที่หนึ่งและสองจะเรียกว่าอัศวิน ขั้นที่สามถึงห้าเรียกว่าอัศวินหลวง ขั้นที่หกถึงแปดเรียกว่าอัศวินนภา ขั้นที่เก้าเรียกว่าอัศวินทองคำ และขั้นที่สูงกว่านั้นเรียกว่าวีระอัศวิน
การแบ่งระดับขั้นของบาทหลวงเองก็เป็นแบบเดียวกัน เว้นแต่ว่าหลังจากที่เลื่อนขึ้นเป็นบาทหลวงระดับกลางแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นบิชอป ดังนั้นในขั้นที่สามถึงห้าสามารถเรียกว่าระดับบิชอป ส่วนบาทหลวงระดับสูงมักจะได้รับตำแหน่งพระคาร์ดินัล แต่สำหรับบาทหลวงระดับเก้าแล้ว ไม่ได้มีชื่อเรียกจำเพาะอันใด หากสามารถเข้าร่วมที่ประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาได้ ก็จะเรียกเหล่า ‘พระคาร์ดินัลหลวง’ นั้นว่าพระคาร์ดินัล แต่หากเข้าร่วมไม่ได้ ก็ยังเรียกว่าพระคาร์ดินัลอยู่ดี
แคว้นออร์วาริตทั้งหมดหาได้ปิดบังหรือเก็บซ่อนขุมกำลังไว้ อัศวินทั้งหมดนั้นมีราวๆ สี่ร้อยนาย แต่มีเพียงห้าสิบนายเท่านั้นที่เป็นอัศวินหลวง และอัศวินนภายิ่งมีน้อยกว่าสิบนาย
อัศวินเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกของกองอัศวินไวโอเล็ต และต้องไปรักษาการณ์ตามป้อมปราการสำคัญ
เมื่อก่อนโรซาน อารอน เป็นถึงอัศวินขั้นสองผู้แข็งแกร่งที่กำลังจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นอัศวินหลวง ดังนั้นจะไม่ให้เขาโกรธเกลียดสถานการณ์ของตนเองได้อย่างไร เขาจึงเต็มใจยอมกลายเป็นมือมืดให้กับคนใหญ่คนโต รับจัดการกับเรื่องชั้นต่ำทั้งหลายให้พวกเขา
‘มีกลิ่นกำมะถันจางๆ กลิ่นเลือด แล้วก็กลิ่นอื่น’ อารอนขยับจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นที่หลงเหลืออยู่ กลิ่นของกำมะถันนั้นโดดเด่นจากกลิ่นเหม็นสาปที่ผสมคละเคล้าจากน้ำเสียและโลหิต
หลังจากที่เขาปลุกพลังในสายเลือดได้ ไม่เพียงเขาจะได้รับ ‘พร’ แต่ยังทำให้ความสามารถของร่างกายหลายๆ ส่วนพัฒนาขึ้นอย่างใหญ่หลวงโดยที่ไม่ขัดแย้งกับพลังของสายเลือดเลยสักนิด
น่าเสียดายที่อารอนรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติช้าไปหลังจากที่เห็นว่าแจ็กสันกับคนอื่นๆ หายไปนานเกิน กว่าเขาจะลงมาตรวจสอบในท่อระบายน้ำนี้ เวลาก็ผ่านไปพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซากศพ แผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากเวทลำแสงแช่แข็ง หรือกลิ่นส่วนใหญ่ก็ถูกสายน้ำดำมืดกับกลิ่นขยะกลบไปเกือบหมดแล้ว เขาจึงพบเพียงเบาะแสไร้ประโยชน์อย่างกลิ่นกำมะถัน กลิ่นเลือด และร่องรอยของหยาดโลหิต เยื่อสมอง และรอยดำเหมือนหินถูกกัดกร่อนที่เขาเห็นว่ามีคนจงใจทำความสะอาดออกไป
อารอนขมวดคิ้วมุ่น ‘สมอง หรือว่าจะเป็นผีดิบใต้น้ำกัน เหอะ ผีดิบใต้น้ำจะรู้จักจัดการกับร่องรอยเช่นนั้นหรือ พิษ กำมะถัน พวกนี้ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกใช้เวทใจร้อนสักคน น่าเสียดายที่ข้ามาช้าเกินไป เกรงว่ากลิ่นส่วนใหญ่คงจะหายไปนานแล้ว และหากว่าคนผู้นั้นระมัดระวังตัว ข้าก็คงมิมีทางพบร่องรอยแน่ และคนผู้นั้นก็อาจจะหาทางไปเตือนคนของโบสถ์หรือพวกขุนนางแล้วก็เป็นได้’
หากเป็นนักเวทจริงๆ อารอนเชื่อว่าเขาคงจะจัดการกับแจ็กสัน คนอื่นๆ ในกลุ่ม รวมถึงคนของ ‘เขาเงิน’ โดยไม่หลงเหลือร่องรอยทิ้งไว้เป็นแน่
เมื่อพิจารณาว่าช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงนี้มากพอจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำอะไรได้หลายอย่าง และฝ่ายนั้นก็เป็นผู้ฝึกใช้มนตร์ จึงไม่มีทางสนใจในลัทธิ ‘เขาเงิน’ อารอนจึงคิดง่ายๆ ว่า ‘แม้ว่านักบวชของเขาเงินจะหาคนมาร่ายคาถาติดตามร่องรอยได้ มันก็ยังใช้เวลานานเกินไป ความสำเร็จอาจต่ำ และที่สำคัญที่สุดคือ หากคนผู้นั้นไปเตือนคนของศาสนจักรแล้ว ในตอนนี้ข้าจึงควรคิดว่าต้องหนีไป หรือจะยอมเสียเวลาติดตามหาคนผู้นี้ดี’
โรซาน อารอน ตัดสินใจเลือกได้ไม่ยาก คนเช่นเขาไม่มีทางเอาชีวิตตนเองมาเสี่ยง และนี่ก็เป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
เขาหันหลังกลับและกระทืบเท้าที่สวมรองเท้าหนังสีดำ ฉับพลันนั้นทั้งร่างเขาก็พุ่งตรงออกไปจากท่อระบายน้ำอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงภาพติดตาสีดำเท่านั้น
…
ลูเซียนนอนอยู่บนเตียง แสร้งทำเป็นหลับ แต่กลับตื่นตัวคอยฟังเสียงภายนอกท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืนเผื่อว่าจะได้ยินเสียงที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่หลังจากนั้นสองสามชั่วโมง เมื่อรู้สึกว่าพวกคนนอกรีตกับอันธพาลคงไม่ไล่ล่าตามหาตัวเขาแล้ว เขาจึงผล็อยหลับไป
แต่ก่อนที่ลูเซียนจะหลับ เขาได้พยายามจะวิเคราะห์แหวนเวทมนตร์ เพื่อที่เวลาศัตรูมาเจอตัว เขาก็ยังมีพลังมากพอจะต่อต้าน
โครงสร้างภายในแหวนเวทมนตร์นั้นเป็นแบบแบบจำลองสามมิติรูปเรขาคณิต แต่มันไม่ได้มีเส้นโค้งหรือพื้นผิวที่ซับซ้อนเลย อีกทั้งลูเซียนยังเข้าใจทฤษฎีโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในนั้น ดังนั้นความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์สมัยมัธยมปลายที่เขาทบทวนก่อนหน้านี้จึงบังเกิดผล ทำให้ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงวิเคราะห์โครงสร้างได้ทั้งหมด หากนับรวมเวลาที่เขาคิดคำนวณอยู่ในห้องสมุดห้วงจิตด้วยแล้ว จากนั้นเขาก็พยายามจะประทับตราดวงจิตบนใจกลางวงเวท
ทว่าดวงจิตเขายังบาดเจ็บและเขาเพิ่งจะพื้นคืนพลังจิตมาได้เพียงเล็กน้อย เขาจึงปวดหัวรุนแรงจนตั้งสมาธิเพ่งจิตได้อย่างยากเย็น และเกือบจะประทับตราดวงจิตล้มเหลว โชคยังดีที่การทิ้งสัญลักษณ์มนตร์ของดวงจิตไว้นั้นเป็นเรื่องง่ายกว่าการร่ายคาถา แม้ว่าเขาเกือบจะทำไม่สำเร็จ แต่ลูเซียนก็คิดว่า ‘ภายในสองวันนี้คงร่ายคาถาได้ยากสักหน่อย ดวงจิตเสียหายแบบนี้น่ารำคาญจริงๆ’
หลังจากประทับตราดวงจิตสำเร็จ ข้อมูลที่ผู้สร้างผนึกไว้ในแหนเวทมนตร์วงนี้ก็ผุดขึ้นในหัวลูเซียน
‘แหวน “อาฆาตเหมันต์” เจ้าของเดิมคือผู้ฝึกใช้มนตร์ที่ถูกสหายทรยศหักหลัง จึงได้ใช้เงินทั้งหมดที่ตนหามาได้เชื้อเชิญนักแปรธาตุผู้ทรงพลังมาสร้างแหวนวงนี้ สัมผัสเย็นเยียบจากตัวแหวนจะทำให้ผู้สวมตื่นรู้และเยือกเย็นอยู่เสมอเหมือนกับอัศวินผู้หนึ่ง เวทมนตร์ที่อยู่ในแหวนคือ “เวทดาบน้ำแข็งพาล์เมรา” เวทมนตร์ระดับสอง ใช้ได้วันละครั้ง มันจะทำให้ผู้คิดคดทรยศได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดยามต้องหลั่งเลือดและทรมานไปกับความเยียบเย็นจากน้ำแข็งและหิมะ’
นักแปรธาตุไม่ได้ทิ้งชื่อของเขาไว้ เพียงบอกเหตุผลเหตุผลที่แหวนวงนี้ถูกสร้างขึ้นและอธิบายความสามารถของแหวน ‘อาฆาตเหมันต์’
‘ผลพวงจากแหวนเวทมนตร์น่าจะช่วยยกระดับพลังคนที่สวมมันขึ้นจนเทียบเท่าอัศวินขั้นที่หนึ่ง นอกจากนี้คนที่สวมยังใช้ “เวทดาบน้ำแข็งพาล์เมรา” เวทมนตร์ระดับสองได้ถึงวันละครั้ง ถ้าวัดกันตามการแบ่งระดับอุปกรณ์เวทมนตร์แล้ว แหวนวงนี้น่าจะอยู่ที่ระดับกลางขั้นสอง ที่ผีดิบใต้น้ำตัวนั้นกลายพันธุ์ก็คงเป็นเพราะผลพวงจากแหวนวงนี้สินะ’ ลูเซียนเก็บแหวน ‘อาฆาตเหมันต์’ ลงในกระเป๋าเพื่อให้มั่นใจว่าตนจะแตะมันได้เมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ
นั่นเป็นเพราะด้วยสถานะอย่างลูเซียน เขาไม่มีทางใช้ของแพงๆ เช่นนี้ได้ มันอาจทำให้ผู้อื่นสงสัยในตัวเขา อีกทั้งลูเซียนยังอยู่ในสภาพที่ดวงจิตบาดเจ็บและใช้พลังจิตได้ยาก แต่ผลของแหวนเวทมนตร์จะออกฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อแตะกับผิวโดยตรงเท่านั้น
…
เช้าตรู่วันถัดมา ลูเซียนบังคับตัวเองให้ตื่นแม้ศีรษะจะปวดร้าวรุนแรง เขายังคงรู้สึกวิงเวียน และหน้าผากก็ร้อนผ่าวเหมือนจะมีไข้
‘เวลาดวงจิตบาดเจ็บจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนและมีไข้ด้วยสินะ’ ลูเซียนถอนหายใจ พยายามทำตัวให้สดชื่นแล้วเปลี่ยนไปสวมเสื้อคลุมผ้าลินินตัวใหม่ ก่อนจะออกนอกเมืองไปโดยไม่กินมื้อเช้า
ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นเหนือขอบฟ้า ทว่าท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ อากาศเย็นสดชื่นทำให้ลูเซียนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากเดินมาประมาณสี่สิบนาที เขาก็มาถึงอาณาเขตคฤหาสน์ของลอร์ดเวนน์ในที่สุด
ลอร์ดเวนน์เคยเป็นอัศวินขั้นที่สองอยู่ในกองอัศวินไวโอเล็ต แต่เขาลาออกจากตำแหน่งนั้นเมื่อแก่ตัวลงและไม่จำเป็นต้องเฝ้าป้อมปราการใกล้กับเทือกเขาแห่งความมืดอีกต่อไป แต่ทว่า สมัยที่แกรนด์ดยุกแห่งออร์วาริตยังเป็นเพียงเอิร์ลแห่งไวโอเล็ตและผู้บัญชาการกองอัศวินไวโอเล็ต ลอร์ดเวนน์ถือเป็นสหายสนิทคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมักถูกเรียกตัวให้เข้าไปในพระราชวังในฐานะที่ปรึกษาของแกรนด์ดยุก เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์กองทัพใกล้กับเทือกเขาแห่งความมืด
รอบคฤหาสน์ล้อมไว้ด้วยกำแพงสูง และมีหอคอยยิงธนูกับอาวุธอื่นๆ เพื่อสำแดงแสงยานุภาพทางการทหารตามแบบฉบับของลอร์ดเวนน์
ชาวนาหลายคนเริ่มออกมาทำงานในไร่สาลีด้านนอก และประตูก็เปิดออกแล้ว ชายหนุ่มสองคนในชุดอัศวินฝึกหัดสีเทากำลังเดินตรวจตราพร้อมกับทหารรักษาการณ์อีกเจ็ดแปดนาย หนึ่งในนั้นมีผมและดวงตาสีเหลืองเข้ม ส่วนอีกคนมีผมสีน้ำตาลเข้มตามที่มักพบเห็นได้ทั่วไปในนครอัลโต้
“ใครน่ะ เจ้ามาทำอะไรที่คฤหาสน์ท่านลอร์ดเวนน์กัน?!” ชายหนุ่มผมสีเหลืองเข้มเห็นลูเซียนเดินตรงมาหาจึงถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
……………………………………….