Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 347 ระเบียบข้อบังคับ
บทที่ 347 ระเบียบข้อบังคับ
มีอะไร?” ลูเซียนถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เขาบอกตัวเองว่าแสดงได้แนบเนียนขึ้นกว่าเดิม
ผลการศึกษาดังกล่าวถูกค้นพบเร็วกว่าที่ลูเซียนคาดไว้มาก ซึ่งเขาเองก็ประหลาดใจ
ร็อคบอกกับลูเซียนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เราน่าจะค้นพบอะไรใหม่! โคตรจะเหลือเชื่อ มาเร็ว ลูเซียน! มาดูเร็วๆ!”
เมื่อร็อคตื่นเต้นมากขนาดนั้น เขาก็ไม่ระวังคำพูดแล้วเขาแล้ว
ถือว่าหาได้ยากมากที่นักเวทหนุ่มคนหนึ่งจะสามารถเติบโตจากศูนย์ขึ้นเป็นจอมเวทระดับห้าภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเหมือนลูเซียน แม้ว่าผลการค้นพบดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับลูเซียน แต่ทุกบทความของเขาก็ได้รับคำชื่นชมมากมายและก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างดุเดือด แต่สำหรับนักเวทที่ต่ำกว่าชั้นกลางและนักเวทฝึกหัด การค้นพบใหม่นี้หมายถึงค่าชื่อเสียงอย่างน้อยสิบคะแนนและคะแนนจากการถูกอ้างอิงทางวิชาการ ซึ่งมีความหมายต่อพวกเขามาก การค้นพบใหม่นี้จะช่วยให้พวกเขาเลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับสองภายในไม่กี่เดือน และเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความก้าวหน้าในอนาคต
“ร็อค ใจเย็นๆ” ลูเซียนวางงานตรงหน้าลง และเดินตามร็อคเข้าไปยังห้องทดลองที่อยู่ติดกัน
“ข้ารู้สึกว่าข้าก็โคตรฉลาด ไม่เพราะข้ามีพรสรรค์ในอาร์คานาหรืออะไร แต่เพราะข้าเลือกทำงานกับเจ้า นี่แหละคนฉลาดของจริง!” ตอนนี้ ร็อคพูดเป็นต่อยหอยเพราะความตื่นเต้น “ไม่มีเจ้า เราไม่มีวันคิดถึงการศึกษาการคายประจุจากสภาพนำไฟฟ้าของสารละลาย อีกหลายเดือนจากนี้ ตอนที่ข้าติดเหรียญตราอาร์คานาระดับสองกลับไปที่สำนัก พวกปัญญาอ่อนที่สำนักอุณหพลศาสตร์จะต้องหน้าหงายแน่นอน!”
นักเวทจากสำนักอุณหพลศาสตร์ไม่เคยมีใครพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน เพราะพวกเขาต่างคุ้นชินกับความจริงที่ว่าสายฟ้าสร้างขึ้นในอากาศ
ลูเซียนแสยะยิ้ม แม้ว่าเขายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ร็อคค้นพบคือ ‘รังสีแคโทด’ (กระแสอิเล็กตรอน) หรือ ‘พลาสมา’ กันแน่ แต่ในสายตาลูเซียน ร็อคกำลังตื่นเต้นเกินเหตุ หากร็อครู้ว่ามีอะไรกับรอเขาอยู่ข้างหน้า ลูเซียนเริ่มกลัวว่าร็อคจะตื่นเต้นเกินไปจนไม่อาจควบคุมสติของตัวเองไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน จอมเวทระดับต่ำว่าชั้นกลาง เช่น ร็อค และลาซาร์ ก็จะเป็นผู้สนับสนุนที่มีศักยภาพที่ดีของลูเซียน เนื่องจากโลกฌานสมาธิของพวกเขายังไม่ได้สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เป็นเรื่องง่ายกว่าที่พวกเขาจะยอมรับทฤษฎีใหม่
มักซ์ พลังค์ นักวิทยาศาสตร์จากโลกเดิมของลูเซียน ผู้คิดค้นสมมติฐานทฤษฎีควอนตัม เคยกล่าวไว้ว่า “ความจริงทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้นไม่มีทางได้ เพราะวิทยาศาสตร์หัวโบราณยอมรับและเห็นแสงสว่าง แต่เป็นเพราะพวกวิทยาศาสตร์หัวโบราณตายกันหมด และวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ๆ เติบโตอย่างคุ้นเคยกับเรื่องนี้”
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าสำหรับสภาเวทมนตร์ นักเวทชั้นอาวุโสทุกคนล้วนมีค่ามาก การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสมองระเบิดกับนักเวทชั้นอาวุโสแม้แต่คนเดียวก็อาจเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสภา
หลังจากตกแต่งใหม่จนเสร็จ ห้องทดลองใหม่ก็มีแสงสะท้อนวูบวาบไปด้วยโลหะมันวาว เส้นพลังเย็นๆ จำนวนมากก่อตัวเป็นรูปสัญลักษณ์และวงเวทที่ซับซ้อนมากมาย การวางตัวของเส้นพลังและท่อทดลองเกือบดูเหมือนภาพเขียนแนวนามธรรม กรงเล็บที่ทำมาจากโลหะหรือตัดมาจากสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ตัวเป็นๆ แขวนอยู่บนเพดานช่วยป้องกันนักเวทฝึกหัดในการทดลองที่อันตรายจากคำสาป
ลูเซียนคิดว่าพื้นที่การทดลองและวงเวทการเล่นแร่แปรธาตุทั้งหมดควรเวทมนตร์ต้านคำสาป เพราะมีนักเวทจำนวนมากตายจากการทดลองที่ไม่มีระบบป้องกัน ขณะเดียวกัน ลูเซียนก็รู้ความจริงดีว่าวงเวทมนตร์ต้านคำสาปจำนวนมากที่เขาตั้งใจเลือกล้วนประกอบไปด้วยตะกั่ว หรือรังสีที่อาจฆ่าเขาได้ในที่สุดซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุกแน่นอน
“เปิดให้ลูเซียนดูสิ ทดลองดูอีกครั้ง” ร็อคพาลูเซียนไปยังวงเวทคายประจุและบอกให้สปรินต์และไฮดี้ นักเวทฝึกหัดทั้งสอง ทำซ้ำกระบวนการทดลองอีกครั้ง ลาซาร์ก็อยู่ในห้องทดลองเช่นกัน
เนื่องจากทั้งสองคนไม่นิ่งและใจเย็นมากพอ สปรินต์และไฮดี้จึงไม่ได้ถูกเจอโรมเลือกเข้าร่วมกลุ่มการทดลองศึกษาอุณหภูมิเยือกแข็ง แต่ตอนนี้ทั้งสองได้ค้นพบผลการศึกษาใหม่ร่วมกับร็อค ทั้งคู่จึงรู้สึกฮึกเหิมมาก ราวกับว่ามองเห็นภาพตัวเองติดเหรียญตราอาร์คานาแล้ว
สปรินต์เริ่มเปิดพลังวงเวทวงหนึ่งและดูดก๊าซส่วนใหญ่ออกมาจากวงเวทคายประจุ แล้วไฮดี้ก็เปิดพลังวงเวทคายประจุเพื่อสร้างไฟฟ้าแรงดันสูง
ก๊าซเริ่มคายประจุและปล่อยแสงออกมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกก็คือ บนกระจกที่อยู่ตรงข้ามกับวงเวทแคดโทด มีแสงสีเขียวปรากฏ เมื่อไฮดี้ปิดวงเวท แสงสีเขียวก็หายไป
“ไม่มีอะไรฉายแสงไปที่วงเวทแคดโทดโดยตรง ไม่เคยมีบทความชิ้นไหนพูดถึงเรื่องนี้ บางที… บางทีเราอาจค้นพบรังสีชนิดใหม่ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า” ร็อคมองลูเซียนอย่างคาดหวังและรู้สึกกังวลขณะรอคำตอบ
ในสายตาของจอมเวทชั้นกลางและชั้นต้นส่วนใหญ่ ลูเซียนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในอาร์คานาศาสตร์ไปแล้ว ฉะนั้น เขาน่าจะบอกได้ว่าปรากฏการณ์นี้หมายถึงอะไร
ลาซาร์ ไฮดี้ และสปรินต์ต่างกลั้นกหายใจ รอคำตอบจากปากลูเซียน
บรรยากาศเย็นยะเยือก ไม่ต่างกับความรู้สึกของลูเซียนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าแห่งวายุ เมื่อมั่นใจแล้ว ลูเซียนก็รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาค้นพบคือ ‘รังสีแคโทด’ ลูเซียนก็โล่งใจขึ้นมา
รังสีแคโทด เป็นกระแสอิเล็กตรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถพบอิเล็กตรอน ดังนั้น อาจนำไปสู่การเปิดเผยความจริงว่าอะตอมสามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก และโครงสร้างภายในของอะตอม การค้นพบนี้สามารถล้มล้างทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับอะตอมในปัจจุบัน!
อย่างไรก็ตาม ตรงหน้าพวกเขายังมีระยะทางอีกยาวไกลกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ารังสีแคโทดประกอบไปด้วยอิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาคภายในของอะตอม พวกเขายังต้องทำการทดลองอีกมากมายเพื่อให้ได้ผลสรุปสุดท้าย
ลูเซียนส่ายศีรษะพร้อมกับรอยยิ้ม “นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานของเรา จนกว่าจะมีการพิสูจน์ในการทดลอง เรื่องเดียวที่เรามั่นใจได้ก็คือไม่เคยมีใครสังเกตพบปรากฏการณ์นี้มาก่อนในการทดลองคายประจุ แต่ว่า เราไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ที่รังสีอาจเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือกระแสอนุภาคชนิดหนึ่งที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว เราต้องออกแบบการทดลองให้แตกต่างเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ พวกเจ้าทุกคนควรทำวิจัย ออกแบบการวิจัยของเจ้าเองแล้วก็ตีพิมพ์บทความของเจ้าเอง”
ขณะที่ลูเซียนพูด เขาหันไปทางวงเวทคายประจุ เมื่อแสงสีเขียวปรากฏบนกระจกอีกฝั่งอีกครั้ง ลูเซียนวางวัตถุไว้ระหว่างกลาง เงาที่เกิดขึ้นของรูปร่างวัตถุก็ปรากฏบนกระจกทันที ซึ่งแสดงว่าแสงสีเขียวนี้มาจากวงเวทคายประจุ
“รับทราบ!” จอมเวทและนักเวทฝึกหัดทุกคนตอบอย่างกระตือรือร้น ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวัง และทุกคนต่างซาบซึ้งในความใจกว้างของลูเซียน สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ลูเซียนอนุญาตให้สมาชิกสถาบันเผยแพร่บทความในชื่อของตัวเอง ไม่เหมือนกับโครงการอื่นๆ ไม่ว่าผู้นำโครงการจะมีส่วนร่วมในการออกแบบการทดลองด้วยตัวเองหรือไม่ ผู้นำโครงการก็จะมีชื่อเป็นผู้เขียนบทความคนแรกเสมอ
หากพวกเขาค้นพบปรากฏการณ์ใหม่จริงๆ บทความการออกแบบการทดลองจะถูกอ้างอิงจำนวนมากอย่างแน่นอน แม้ว่าค่าชื่อเสียงที่พวกเขาจะได้รับอาจไม่สูงมากเท่ากับบทความหลักที่ประกาศการค้นพบรังสีแคโทด แต่คะแนนที่จะได้รับก็ยังถือว่าดีมาก
จอมเวทและนักเวทฝึกหัดต่างตกลงกันว่าลูเซียนควรจะเป็นผู้เขียนคนแรกของบทความหลัก ไม่เพียงเพราะเขาเป็นผู้นำสถาบัน แต่เพราะเขาออกแบบและมอบหมายการทดลองทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าสมาชิกของสถาบันค่อนข้างตื่นเต้นกันทีเดียว ลูเซียนก็ยิ้มออกมา “ข้าจะร่วมกับเจ้าด้วย กลุ่มของเจอโรมก็สามารถลองออกแบบการทดลองเวลาว่างได้เหมือนกัน แต่ว่า ตอนนี้ข้าขอประกาศระเบียบข้อบังคับของสถาบันอะตอมเสียก่อน ข้อแรก ข้าจะไม่ขโมยความคิดของพวกเจ้า ถ้าเจ้าคิดการออกแบบวิจัยใหม่ๆ ขึ้นมาได้เอง ในฐานะผู้เขียนที่มีกรรมสิทธิ์ผู้เดียว พวกเจ้าจะมีชื่อตัวเองในบทความ ข้อสอง สำหรับการค้นพบผลวิจัยที่เหลือ ห้ามใครเผยแพร่เป็นการส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต ในฐานะผู้นำของสถาบัน ข้าได้ลงนามบนบทความและรับรองผลการวิจัยก่อน และนี่เป็นข้อบังคับของสภาเวทมนตร์ และข้อสาม ทุกวันจันทร์ของแต่ละสัปดาห์ ควรมีการประชุมประจำสัปดาห์เพื่ออภิปรายความก้าวหน้าและขั้นตอนปัจจุบันของแต่ละการทดลอง”
ลูเซียนเปลี่ยนจากการประชุมประจำเดือนเป็นประจำสัปดาห์ เพราะพวกเขากำลังทำโครงการเฉพาะ หลังจากประกาศ ลูเซียนรู้สึกขำตัวเองเพราะรู้สึกว่าเขาทำตัวเหมือนเป็นที่ปรึกษาหรือเจ้านาย
จอมเวทและนักเวทฝึกหัดต่างเห็นชอบกับระเบียบข้อบังคับที่ลูเซียนเสนอ ในความเป็นจริง พวกเขาต่างตื้นตันใจกับพื้นที่ที่ลูเซียนเปิดช่องว่างไว้ให้พวกเขา
…
ด้วยความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เกิดจากวารสารอาร์คานาฉบับเดือนที่แล้ว แม้ว่าบทความใหม่ของลูเซียนยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ จอมเวทชั้นอาวุโสและชั้นกลางหลายต่อหลายคนก็หาหนทางหยิบยืมบทความนี้ที่อธิบายความหมายเชิงอาร์คานาของสูตร
ณ เมืองไฮด์เลอร์ ราชอาณาจักรโฮล์ม ภายในสำนักงานใหญ่ขององค์กรหัตถ์ไร้ชีวา
หลังจากเลื่อนขั้นเป็นนักเวทชั้นอาวุโส เฟลิเปก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างโครงสร้างเวทมนตร์ในวิญญาณ ตอนนี้ เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก มือล้วงกระเป๋าเสื้อนอกสีดำทรงยาว
เฟลิเปไม่คิดว่าจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในกลุ่มหัตถ์ไร้ชีวา พวกเขาค้นพบ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ในอีกมิติ ทั้งที่สภาเวทมนตร์ไม่มีแม้แต่เบาะแส
ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพเต็มเปี่ยม ไม่นาน เฟลิเปก็กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของหัตถ์ไร้ชีวา และก็ได้ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโลกวิญญาณ เฟลิเปรู้ว่าที่นั่นเป็นมิติที่น่าขนลุกซึ่งเป็นเหมือนภาพสะท้อนของโลกนี้ นอกจากนี้ วิญญาณและภูตผีมากมายที่นั่นชาญฉลาด และมีภาษาของตัวเอง ชื่อ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ก็แปลมาจากภาษาของพวกภูตผีวิญญาณ
เนื่องจากการเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณอาจช่วยให้นักเวทศาสตร์มืดอัญเชิญปีศาจที่ทรงพลังและทำให้กลุ่มเข้มแข็งขึ้น หัตถ์ไร้ชีวาจึงปกปิดความลับนี้และใช้เวลาเข้าไปสำรวจโลกต่างมิตินั้น
ตอนนั้นเอง เมื่อทุกอย่างดูเป็นภาพเลือนรางสีเทาๆ นกแก้วหลากสีตัวหนึ่งก็บินลงมาเกาะที่มือขวาของเฟลิเปพร้อมกับม้วนกระดาษหนังบนคอของมัน
“ท่านเฟลิเป นี่คือบทความที่ท่านถามหา” นกแก้วเอ่ย
เฟลิเปพยักหน้าเบาๆ และหยิบเมล็ดข้าวชั้นดีมาให้อาหารเจ้านก เขาสงสัยว่าคู่แข่งคนสำคัญของเขาค้นหาความหมายของสูตรพบแล้วจริงๆ หรือ
หลังจากนกแก้วบินจากไป เฟลิเปก็คลี่ม้วนกระดาษหนังออก สีหน้าของเขาก็ซีดลงเมื่อเห็นคำนำหน้าชื่อลูเซียนเป็นจอมเวทระดับห้า แม้ว่าในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา การทดลองเรื่องการสังเคราะห์สสารชีวิตของเขาจะทำให้เขาได้รับค่าชื่อเสียงดีพอสมควร แต่เขาก็ยังต้องการค่าชื่อเสียงอีกหนึ่งพันคะแนนกว่าจะเลื่อนสู่ระดับหก ตอนนี้ ทั้งสองคนอยู่ในระดับห้าเหมือนกัน เหลือความแตกต่างเพียงไม่มากระหว่างทั้งคู่
ขณะกำลังอ่านบทความ เฟลิเปถึงกับขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าลูเซียนเคยคิดเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์และการโจมตีจากนักเวทที่สนับสนุนทฤษฎี ‘สารัตถนิยมแห่งพลังงาน’ บ้างไหม ตอนเสนอสมมติฐานเช่นนี้
ในฐานะนักเวทศาสตร์มืดที่ศึกษาเรื่องเวทธาตุ การเล่นแร่แปรธาตุ และภาพมายาเช่นกัน ไม่ว่ารูปแบบของพลังงานจะต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่อง ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อเฟลิเปมากนัก ทั้งนี้ ก็เพราะโลกแห่งพุทธิปัญญาของเขาไม่ได้ต้องการความเข้าใจเรื่องรูปแบบพลังงานเพื่อรักษาเสถียรภาพ
ในความเป็นจริง สำหรับเฟลิเป เป็นเรื่องยากมากที่เขาจะยอมอ่านบทความเกี่ยวกับการกระจายความร้อน เขาเพียงไม่อยากพลาดข้อมูลจากคู่แข่งคนสำคัญ ‘ศาสตราจารย์’ ไม่อย่างนั้น เขาจะไม่มีวันแตะบทความลักษณะนี้
…
ณ ราชอาณาจักรบริแอนน์ นักเวทผู้มีเครายาวผู้หนึ่งมีท่าทีหัวเสีย
“บทความแบบนี้ผ่านการตรวจสอบได้อย่างไร? สมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบกลัวเฟอร์นันโดมากงั้นหรือ? ประหลาด! สมมติฐานนี้ไร้สาระสิ้นดี!” ผู้วิเศษลอเร็นพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
ลอเร็นเอามือทั้งสองไขว้หลัง เดินกลับไปกลับมา แล้วเขาก็นั่งลงด้านหลังโต๊ะและคว้าปากกาขนนกขึ้นมา เขาต้องเขียนบทความที่จะชี้ให้เห็นว่าสมมติฐานนี้ไร้สาระ
อย่างไรก็ตาม จุดของปากกาขนนกหยุดอยู่เพียงบนกระดาษ ทั้งนี้ทั้งนั้น ลูเซียนก็บอกไว้ว่านี่เป็นเพียงสมมติฐานซึ่งยังไม่ได้รับการพิสูจน์ นอกจากนี้ ลอเร็นก็ยังไม่รู้ว่ามีคำอธิบายอื่นที่เป็นไปได้หรือไม่
ลอเร็นวางปากกาขนนกลง เขาตัดสินใจปล่อยบทความของลูเซียนผ่านไป เหมือนที่จอมเวทคนอื่นก็ค่อยๆ เลิกสนใจบทความชิ้นนี้