Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 349 การค้นพบอนุภาคใหม
บทที่ 349 การค้นพบอนุภาคใหม่
ณ ชั้นบนสุดของหอคอยเวทมนตร์ในสำนักเวทมนตร์ดักลาส
ขณะนั่งอยู่ในห้องเรียนของนักเวทฝึกหัดชั้นสูงและฟังคำบรรยายเรื่องภาคพื้นฐานของวิลเนีย เชลีย์ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ธาตุพื้นฐานเป็นส่วนหนึ่งของวิชาที่จะนำพานักเวทฝึกหัดเข้าสู่โลกแห่งธาตุ
เชลีย์ได้ยินหรือว่าทั้งไฮดี้และเลย์เรียได้เลื่อนขั้นเป็นนักเวทแล้วจากค่าชื่อเสียงอาร์คานาที่มากกว่าสิบคะแนน
“…นี่เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับวันนี้ของทฤษฎีธาตุโบราณ ต่อไป มาดูกันที่ระบบธาตุร่วมสมัยที่พัฒนาขึ้นตามทฤษฎีอะตอมของท่านหญิงแฮททาเวย์ อะตอมคืออะไร? อะตอมคือหน่วยที่เล็กที่สุดในโลก ซึ่งไม่สามารถแยกย่อยลงไปอีก อะตอมแต่ละชนิดก็คือธาตุ และคุณสมบัติของอะตอมชนิดต่างๆ ก็หลากหลาย อะตอมสามารถมีปฏิกิริยาต่อกัน และเกิดสสารทุกอย่างบนโลก ทฤษฎีอะตอมมีความสำคัญต่อวิชานี้มากรวมถึงวิชาเวทมนตร์และการเล่นแร่แปรธาตุ”
‘ถ้ามาถึงอัลลินและเรียนจบก่อนสักปี คงไม่ต้องเสียเวลานั่งฟังเรื่องที่ข้าได้เรียนมานานแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ ข้าคงได้ทำงานกับสถาบันอะตอมของท่านอีวานส์ และได้ทดลองอาร์คานาที่น่ามหัศจรรย์จะเลื่อนขั้นเป็นจอมเวท’ เชลีย์รู้สึกเสียดายและคิดว่ากำลังเสียเวลาในชีวิต จนกระทั่งตอนนี้ นางยังคงต้องผ่านการสอบอาร์คานาพื้นฐานให้ได้เสียก่อน
วิชาการสอนของวิลเนียยังคงดำเนินต่อไป และนางก็รู้สึกยินดีกับทัศนคติเชิงบวกที่นักเวทฝึกหัดอาวุโสแสงออก พวกเขาต่างตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาอาร์คานาแล้วเวทมนตร์ เนื่องจากผลการศึกษาเกี่ยวข้องโดยตรงกับพลังและสถานะ
ในความเป็นจริง แทบจะไม่มีนักเวทฝึกหัดอาวุโสถูกไล่ออกจากสำนักเวทมนตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“ข้าเอาธาตุบริสุทธิ์มาให้พวกเจ้าดู ลองพิจารณาดูก่อนแล้วศึกษาคุณสมบัติของธาตุเหล่านี้ รวมถึงปฏิกิริยาแร่แปรธาตุผ่านการทดลอง” วิลเนียหยิบขวดออกมาจำนวนหนึ่งและเปิดวงเวท ทำให้แท่นทดลองกลายเป็นโต๊ะทดลองแร่แปรธาตุ
บรรดาอาจารย์ในชั้นเรียนนักเวทฝึกหัดชั้นต้นไม่ค่อยได้อธิบายลึกซึ้งถึงลักษณะของธาตุ แต่จะให้นักเวทฝึกหัดได้ทำความคุ้นเคยกับธาตุ รู้จักคุณสมบัติพื้นฐาน จดจำสมการ โดยอาจารย์จะเน้นการพัฒนาทักษะของลูกศิษย์จากการปฏิบัติ
ความคิดของเชลีย์ถูกดึงกลับมาด้วยแสงประหลาดที่พวยพุ่งออกจากวงเวท และนางก็เห็นว่าวิลเนียกำลังถือขวดบรรจุธาตุสองขวดอยู่ในมือ “นี่เป็นธาตุคาร์บอนสองชนิดที่มีโครงสร้างต่างกัน อะตอมก่อให้เกิดธาตุ และคาร์บอนเป็นธาตุองค์ประกอบหลักของร่างกายมนุษย์…”
เมื่อมองไปที่ขวดทดลองทั้งสองขวด ขวดหนึ่งบรรจุผลึกเพชรขนาดเล็ก ส่วนอีกขวดบรรจุวัตถุทึบแสงชิ้นเล็กๆ ที่แวววาวเหมือนโลหะสีเทาดำ เชลีย์สะดุ้งด้วยความตกใจ แม้แต่เรื่องนี้ ลูเซียนก็เคยบอกนางมาก่อนแล้ว
ในมุมมองของเชลีย์ ความแตกต่างระหว่างทั้งสองขวดก็เหมือนความแตกต่างระหว่างเทวทูตกับปีศาจ
นักเวทฝึกหัดสาวน้อยเหลือบมองที่มืออันสวยงามของนาง และยากที่นางจะจินตนาการว่าองค์ประกอบเล็กๆ ภายในขวดทดลองนั้นเป็นธาตุองค์ประกอบหลักบนร่างกายของนาง
เมื่อหันกลับไปมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เชลีย์ก็มองเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสรรพสิ่งมากมาย ต้นไม้สูงเขียวชะอุ่ม หมู่นก ท้องฟ้า… นางยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าโลกนี้สร้างขึ้นมาจากอะตอมขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
…
ณ สถาบันอะตอม
ลูเซียนได้พัฒนาวงเวทสำหรับสร้างสภาพแวดล้อมสุญญากาศ เขาจึงเริ่มการทดลองใหม่อีกครั้ง
หลังจากยืนยันว่ารังสีแคโทดจะหักเหในสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเสมอ ลูเซียนก็สูดหายใจลึกๆ และเริ่มปรับวงเวทเพื่อสร้างสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็บันทึกข้อมูลเสร็จ แล้วสมองของเขาก็เริ่มคำนวณอัตราส่วนมวลประจุของอนุภาคในรังสีแคโทด
ต่างจากความตึงเครียดที่ลูเซียนรู้สึกตอนที่คำนวณค่าคงที่พลังค์ ครั้งนี้ลูเซียนสงบนิ่งราวกับเป็นเครื่องจักร เสียงที่ดังมาจากมุมต่างๆ ของห้องทดลองไม่มีผลต่อสมาธิ ลูเซียนคำนวณคำตอบอย่างรวดเร็ว
“อัตราส่วนมวลประจุเท่ากับ… 1.76 ×1011”
ปัง!
โลกฌานสมาธิของลูเซียนก็เปลี่ยนแปลงกะทันหันอีกครั้ง! จุดแสงสว่างที่เป็นตัวแทนของธาตุจำนวนมากขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มโคจรในลักษณะที่แปลกประหลาด
นี่คืออิเล็กตรอน!
การค้นพบอิเล็กตรอนสามารถทำลายความเชื่อผิดๆ ที่ว่าอะตอมคือหน่วยที่เล็กที่สุดในโลก! โลกแห่งจุลภาคมีความซับซ้อน มหัศจรรย์ และแปลกประหลาดเกินกว่าที่จอมเวทจะสามารถจินตนาการถึง!
…
ณ อารามหลังเดิมในนครเรนทาโต
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของพระคาร์ดินัลอาบีดาล บาทหลวงฝึกหัดรูปหนึ่งก็ถามขึ้นด้วยความสับสน “ท่านขอรับ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงต้องสร้างอะตอมขอรับ?”
“แดเนียล นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรถาม พระผู้เป็นเจ้าต้องมีเหตุผล!” อาบีดาลตำหนิอย่างเกรี้ยวกราด
หากอยู่ในช่วงปลาย ‘สงครามแห่งรุ่งอรุณ’ แดเนียลคงถูกส่งตัวให้กับคณะไต่สวนเรียบร้อยแล้ว!
เมื่อเห็นว่าบาทหลวงฝึกหัดคนอื่นๆ ก็มีท่าทีกระวนกระวายและหวาดกลัว อาบีดาลก็ผ่อนน้ำเสียงลง “คุณสมบัติการแบ่งแยกไม่ได้ของอะตอมแสดงให้เห็นถึงความเป็นเทพของพระเจ้า นั่นเป็นพลังอำนาจสูงสุดของพระเจ้าต่อโลก และพวกที่เรียกตัวเองว่าจอมเวทจะไม่มีวันเข้าใจ”
บาทหลวงฝึกหัดทั้งหมดนิ่งฟังเขาด้วยความเคารพ
อาบีดาลพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ บาทหลวงธรรมดาๆ พวกนั้นไม่จำเป็นต้องรู้มากไปกว่านี้ เนื่องจากหากพวกเขาขุดลึกลงไป พวกเขาอาจเลือกเดินบนเส้นทางนักเวทเอาเสียง่ายๆ ด้วยความไม่รู้เช่นนี้ พวกเขาจึงถูกครอบงำโดยแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างง่ายดาย
นั่นเป็นสาเหตุที่ศาสนจักรไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดจากทฤษฎีล่าสุดของสภาเวทมนตร์ที่ระบุว่า จริงๆ แล้วพลังงานถูกส่งผ่านเป็นส่วนๆ คณะบาทหลวงไม่ได้สนใจว่าพลังงานจะอยู่ในรูปแบบต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่อง ตราบใดที่รู้ว่าพลังงานมาจากพระผู้เป็นเจ้าก็พอ!
…
ดูจากวิถีโคจร ลูเซียนได้ค้นพบสัญลักษณ์เวทมนตร์ที่น่ามหัศจรรย์ซึ่งช่วยเขาจัดลำดับธาตุ แต่ระบบสัญลักษณ์ยังไม่สมบูรณ์
แม้จะรู้คร่าวคร่าวๆ ว่าสัญลักษณ์นี้คืออะไร ลูเซียนยังไม่ผลีผลามเปลี่ยนวิถีโลกแห่งพุทธิปัญญาของเขา เนื่องจากเขาจำเป็นต้องดำเนินขั้นตอนการตั้งสมมติฐาน การค้นหาเหตุผล และการพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เรียบร้อยก่อน
แม้ว่าค่าคงที่สองตัวจะเหมือนกัน แต่จากพื้นความรู้เดิมที่เคยเล่าเรียนมาจากโลกใบเก่า ลูเซียนก็ไม่อาจมองข้ามได้ มิฉะนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่หัวของเขาจะระเบิด หากเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้น
การปฏิบัติเป็นหนทางเดียวในการทดสอบความจริง!
หลังจากจดจำสัญลักษณ์เวทมนตร์ได้แล้ว ลูเซียนก็เริ่มทดลองซ้ำอีกครั้งโดยการเปลี่ยนองค์ประกอบของโลหะและก๊าซความดันต่ำที่ใช้เป็นองค์ประกอบหลักของวงเวทรังสีแคโทด
…
ณ คริสตจักรแห่งอาภาแห่งราชอาณาจักรโฮล์ม
พระคาร์ดินัลฟีลิเบลกำลังถือสารจากนครศักดิ์สิทธิ์ แลนซ์ และอ่านประกาศ “มีคำยืนยันแล้วว่า ลูเซียน อีวานส์ เอ็กซ์ ลูกศิษย์คนใหม่ของเฟอร์นันโด ก็คือนักดนตรีลูเซียน อีวานส์ ซึ่ง ‘เสียชีวิต’ ในนครอัลโต้ ซาร์ดได้ส่งผู้พิทักษ์ราตรีจำนวนหนึ่ง กำลังเดินทางมาจัดการเรื่องนี้”
เจ้าแห่งวายุ ในฐานะมหาจอมเวท ถือเป็นเป้าหมายหลักของศาสนจักรมาตลอด และในฐานะลูกศิษย์ของเขา ศาสนจักรก็จับตามองลูเซียนมากขึ้น ดังนั้น ในไม่นานข้อมูลภูมิหลังของเขาก็ถูกขุดคุ้ยออกมาชัดเจน
“เขาคือลูเซียน อีวานส์ ผู้เขียนเพลงสรรเสริญความปิติอย่างนั้นหรือ?” วาฮารัลล์ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากเชื่อ “เขาเป็นบ้าหรืออะไรกันแน่? หรือเขามีวิญญาณสองดวง ดวงหนึ่งเป็นเทวทูต อีกดวงเป็นปีศาจ?”
วารันไทน์มีท่าทีเยือกเย็น “ท่านหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่ามันเป็นเทวทูตที่ติดอยู่ในนรกหรือไง?”
“ก็มีความเป็นไปได้ สมมติฐานของเขาเรื่องรูปแบบพลังงานทำให้นักเวทชั้นกลางมากมายตกตะลึงจนเกือบทำลายพวกมันทั้งหมด ซึ่งน่าประทับใจยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับผลงานของผู้พิทักษ์ราตรีและคาร์ดินัลเสียอีก” ฟีลิเบลพูดทีเล่นทีจริง “แต่ว่านักดนตรีมันตายไปแล้วนี่ นักดนตรีไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว”
“แล้วเราจะไม่วางแผนสังหารเขาหรือไงกัน?” วารันไทน์เกิดความเดือดดาลสุดขีด
ฟีลิเบลส่ายศีรษะ “เขายังไม่สำคัญขนาดนั้น เราจะคุยเรื่องนี้กันเมื่อผู้พิทักษ์ราตรีมาถึง”
…
ลูเซียนทำการทดลองทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ดึกมากแล้ว เขาตัดสินใจค้างที่ห้องทำงานในคืนนี้ เพื่อที่จะได้เขียนบทความเรื่องการทดลองให้เสร็จ
“การทดลองพิสูจน์แล้วว่าอนุภาคประจุลบทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้สภาพวัสดุที่แตกต่างกัน ต่างก็มีอัตราส่วน ประจุต่อมวลเท่ากัน ไม่ว่าอนุภาคนั้นจะมาจากรังสีแคโทด หรือสร้างขึ้นในหลอดทดลอง ข้อเท็จจริงนี้บอกเราว่าสสารนานาชนิดอันที่จริงแล้วมีอนุภาคเดียวกันทั้งหมด…”
“…อัตราส่วนประจุต่อมวลอยู่ที่ประมาณสองพันเท่าของไฮโดรเจนไอออนในอิเล็กโทรไลต์”
“…ด้วยการคำนวณคร่าวๆ เราจะพบว่ามวลของอนุภาคก็จะเท่ากับประมาณสองพันเท่าของอะตอมไฮโดรเจน…”
“…ตามที่พวกเราทราบกันดี อะตอมซึ่งประกอบด้วยไฮโดรเจนเป็นหน่วยที่เบาและเล็กที่สุด ซึ่งทำให้ไฮโดรเจนอยู่ในอันดับแรกของตารางธาตุ แล้วเราเข้าใจอนุภาคนี้ว่าอย่างไร?”
“…นี่คือ ‘อะตอม’ ชนิดใหม่หรือ? หรือเป็นอย่างอื่น?”
…
เวลาประมาณแปดนาฬิกา เฟอร์นันโดกำลังใช้ปัญญาทบทวนปัญหาข้อหนึ่งอยู่ในห้องทำงาน
ตอนนั้นเอง เขาเห็นลูเซียนเดินเข้ามาเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง
“อาจารย์ขอรับ ข้าได้ทำการทดลองชุดหนึ่งและเขียนบทความใหม่อีกหนึ่งชิ้น ช่วยดูให้หน่อยขอรับ” ลูเซียนพูดด้วยรอยยิ้มสบายใจบนใบหน้า
เฟอร์นันโดรู้ดีว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของลูเซียน เขารับเอกสารกองนั้นมาแล้วก็เห็นชื่อบทความ
“การค้นพบอนุภาคใหม่”
สีหน้าของเฟอร์นันโดเคร่งเครียดขึ้นในทันที เขาเริ่มอ่านบทความอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปนาน เฟอร์นันโดก็เงยขึ้นมองหน้าลูเซียนโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“… อาจารย์ขอรับ?” ลูเซียนรู้สึกหวั่นวิตกอย่างยิ่ง เมื่อถูกดวงตาสีแดงของเฟอร์นันโดจ้องเอาๆ
เฟอร์นันโดนวดคลึงที่หางตา และอ้าปากส่งเสียงเหมือนกำลังจะพูดอะไร
“ข้าคิดว่าสักวันเจ้าคงทำลายโลกทั้งใบ”