Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 365 การก่อกวนครั้งใหญ
บทที่ 365 การก่อกวนครั้งใหญ่
ดวงอาทิตย์เจิดจ้าและน้ำในทะเลสาบก็เกิดระลอกคลื่นตามกระแสลม
ก่อนที่เบลลัค ซึ่งถูกแช่แข็ง จะเริ่มแตกกระจายร่วงหล่น น้ำแข็งและหิมะรอบกายเขาก็เริ่มละลายและระเหยหายไป จากนั้นร่างกายกับเสื้อคลุมเวทมนตร์ที่เขาสวมอยู่ก็กลายเป็นผงสีขาวๆ ที่ค่อยๆ ลอยไปกับสายลม
แม้แต่ลูเซียนเองก็ยังคาดไม่ถึงว่า ‘เวทลำแสงแช่แข็งของอีวานส์’ จะทรงพลังถึงเพียงนี้ เวทบทนี้เพิ่งจะเปลี่ยนนักเวทระดับหก ที่ใช้เวทป้องกันแล้ว ให้กลายเป็นเศษน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อยและผงเท่าหนึ่งกำมือ แม้แต่เวทมนตร์ที่เขาเพิ่งใช้ก็ยังถูกแช่แข็งจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย!
ถึงจะเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะเบลลัคประเมินพลังของลำแสงต่ำเกินไป แต่ก็คงมิมีผู้ใดสามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าเวทมนตร์ระดับเจ็ดนี้กล้าแกร่งกว่าเวทมนตร์หิมะและน้ำแข็งที่เหลือทั้งหมด และที่น่าคร้ามเกรงยิ่งกว่าก็คือ หากมีสื่อกลางในการร่ายคาถาที่เหมาะสม แม้แต่นักเวทที่กำลังจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับสูงที่โลกแห่งการรู้คิดยังแทบไม่มั่นคงก็สามารถใช้ได้
อีกนัยหนึ่ง เพราะความก้าวหน้าของอาร์คานาศาสตร์ ลูเซียนจึงสามารถลดข้อจำกัดในการร่ายคาถาเวทมนตร์ระดับเจ็ดนี้ลงในขณะที่พลังทำลายล้างยังอยู่ในระดับเดิม ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามที่สภาเวทมนตร์ทำมาตลอด
ผงของอุปกรณ์เวทมนตร์ที่เบลลัคสวมร่วงลงมาบนพื้นดินขนาดเล็กกลางทะเลสาบ ลูเซียนหันกายมาและเห็นสีหน้าตะลึงงันของอัลเฟอร์ริส ดวงตาสีอำพันของมันเบิกกว้าง
แน่นอนว่าลูเซียนอยากให้อัลเฟอร์ริสเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อตัวเขา
เขาแย้มรอยยิ้มใจดีแล้วถามอัลเฟอร์ริสที่ดูท่าทางตกตะลึง “เป็นอันใดหรือไม่”
“แหวนของข้า… เครื่องรางพวกนั้น…” เสียงเหมือนเด็กของอัลเฟอร์ริสสั่นเทาราวกับกำลังเจ็บปวดอย่างล้ำลึก มันกระตือรือร้นที่จะได้เก็บอุปกรณ์เวทมนตร์ของเบลลัคมานานแล้ว ซึ่งนั่นคือเรื่องที่มันสนใจที่สุด ส่วนเรื่องความทรงพลังของเวทมนตร์ที่ลูเซียนใช้นั้น ต้องขอโทษด้วย ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์จะนึกถึงเลยสักนิด
นั่นก็สมกับเป็นอัลเฟอร์ริส ลูเซียนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจ “เจ้ารู้อะไรไหม ผงกับเศษพวกนี้ก็มีค่านะ”
ความจริงแล้ว หลังจากที่โลกแห่งการรู้คิดของลูเซียนมั่นคง การใช้ ‘เวทพายุหมุนพลังธาตุ’ ก็ไม่มีทางทำให้เขาเหนื่อยอ่อนอีกแล้ว และยังใช้ได้ถึงสองครั้งติดต่อกันอีกด้วย ลูเซียนมีหลากหลายวิธีที่จะใช้ในการสังหารเบลลัค แต่เพื่อความรอบคอบ เขาจึงเลือกใช้อาวุธลับที่ร้ายแรงที่สุดโดยตรง
“จริงหรือ” อัลเฟอร์ริสร่าเริงขึ้นมาทันใด
“แน่นอน” ลูเซียนตอบอย่างสงบนิ่ง
แม้ว่าลูเซียนจะไม่ได้โกหก เพราะเศษชิ้นส่วนและผงนั้นมีค่าจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับแหวนและเครื่องรางของเดิม มูลค่าของมันนับว่าไม่ใกล้เคียงกันเลย ทว่าลูเซียนก็ไม่คิดจะบอกความจริงกับอัลเฟอร์ริส เพราะเจ้ามังกรตัวน้อยเพียงเก็บสะสมพวกเขา และไม่มีทางนำไปขายแน่นอน
อัลเฟอร์ริสพุ่งตัวลงไปเก็บรวบรวมเศษผงอย่างรวดเร็ว
“พอใจหรือยังเล่า” รอยยิ้มบนใบหน้าลูเซียนยังคงเปี่ยมไปด้วยเมตตาและความใจดี
“ขอรับ!” อัลเฟอร์ริสนับวัตถุที่มันได้มาแล้วกล่าวตอบอย่างร่าเริง
“เช่นนั้น… ถึงเวลาคืนแหวนมาให้ข้าได้แล้ว” ลูเซียนยังคงยิ้มแย้มต่อไป
ร่างกายของอัลเฟอร์ริสพลันแข็งทื่อราวกับเพิ่งถูกสายฟ้าล่องหนฟาดใส่ จากนั้นมันจึงเอ่ยขึ้นอย่างแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “ให้ข้าสวมบทบาทเป็นลูเซียน อีวานส์ ต่อเถิด”
“ช่วงนี้ข้าไม่จำเป็นต้องออกจากอัลลิน” ลูเซียนตอบ เขาขยับแว่นตาข้างเดียวที่สวมอยู่แล้วรายงานสถานการณ์ให้เฟอร์นันโด อาจารย์ของเขาทราบ ตามด้วยทอมป์สัน มอร์ริส และราเวนติ
เมื่อเห็นว่าลูเซียนยืนกรานหนักแน่น อัลเฟอร์ริสก็เศร้าสลดลง มันถอดแหวนออกอย่างเชื่องช้าระมัดระวัง ก่อนจะยื่นส่งคืนให้กับลูเซียน
…
นครเรนทาโต อาณาจักรโฮล์ม
หลังจากเทศนาให้กับกลุ่มผู้นำชนชั้นสูงหัวอนุรักษ์นิยมเสร็จสิ้น เอเดรียน พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงก็ก้าวออกมาจากคฤหาสน์ที่มีการอารักขาอย่างเข้มงวด
สารถีมากประสบการณ์ค่อยๆ รั้งสายบังเหียน แล้วรถม้าก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเอเดรียนอย่างเหมาะเจาะลื่นไหล
บาทหลวงและอัศวินที่คอยคุ้มกันพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและแบ่งออกเป็นสองแถวเพื่อคุ้มครองขบวนรถม้า รอให้เอเดรียนขึ้นไปนั่งหนึ่งในนั้น
เอเดรียนทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนบนอกแล้วสวดภาวนาเบาๆ จากนั้นเขาจึงเยื้องย่างไปทางรถม้าด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ฉับพลันนั้น ราวกับได้รับความอบอุ่นจากพระผู้เป็นเจ้า เขาสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายใหญ่หลวงจึงเรียกใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด ‘เทเลพอร์ตวายป่วง’
ประตูอันศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมด้วยแสงสว่างสีขาวค่อยๆ เปิดออกเบื้องหน้า
ทว่า ในตอนที่เอเดรียนกำลังจะก้าวเข้าไป ประตูตรงหน้าที่เชื่อมต่อกับหุบเขาวิมานก็พลันสั่นสะเทือนรุนแรงก่อนจะแตกสลายสิ้นต่อหน้าต่อตา
เวทมนตร์สนามแรงระดับเก้า ‘ปิดตาย!’
จากนั้น อุณหภูมิโดยรอบก็พลันพุ่งสูงและอากาศก็กลายเป็นร้อนแทบถึงจุดเดือด ผืนดินกลับกลายเป็นลาวาสีส้มอมแดง กลืนกินเหล่าบาทหลวง บิชอป และอัศวินก่อนที่พวกเขาจะทันได้กรีดร้องหวยโหย
พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงเริ่มแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ เกราะและโล่ป้องกันศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกใช้ก็ละลายลงราวกับเทียนไขยามต้องเปลวเพลิงอันโชติช่วง
เวทมนตร์แห่งธาตุระดับเก่า ‘เพลิงนรกราเวนติ!’
เอเดรียนมิอาจขยับเขยื่อนได้เพราะ ‘เวทปิดตาย’ เขากรีดร้องโหยไห้ขณะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน!
ไม่กี่นาทีให้หลัง เปลวเพลิงแห่งนรกก็ค่อยๆ มอดดับไป สารถีที่หวาดกลัวจนเหนือคำบรรยายก็มองเห็นหลุมขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า พื้นที่ของหลุมนั้นครอบคลุเพียงจุดที่คนของทางศาสนจักรยืนอยู่เท่านั้น ในขณะที่ขบวนรถม้าและเหล่าคนขับที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่นิ้วกลับไม่เป็นอะไรเลย ม้าของพวกเขายังกระทั่งส่งเสียงฟึดฟัดด้วยท่าทางผ่อนคลายด้วยซ้ำ
ไฟที่หลงเหลืออยู่ก่อรูปร่างบนพื้นดินเป็นวลีหนึ่ง
‘การแก้แค้นที่เท่าเทียม’
…
เที่ยงวัน ภายในโบสถ์อันเงียบสงบแห่งนครเรนทาโต
ไม่มีผู้ศรัทธาคนใดเดินเข้าออกอีกเลยนับแต่ที่ที่นี่ถูกเปลี่ยนให้เป็นอารามสำหรับเหล่านักพรต เครื่องประดับตกแต่งหรูหราทั้งหลายถูกนำออกไป และแทนที่ด้วยดอกทิสเทิลกับหนามแหลมซึ่งเป็นตัวแทนความทุกข์ทรมาน
ภายในห้องที่แต่เดิมเป็นของบิชอปท่านหนึ่ง ชายหนุ่มในวัยต้นยี่สิบกำลังสงบจิตใจโดยใช้ความเจ็บปวด เส้นผมของเขาค่อนข้างสั้น และรูปร่างของเขาก็ดูกำยำแข็งแรง
อับราฮัมคือนักพรตที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในหมู่สหายนักพรต และเขาก็มีส่วนช่วยอย่างมากกับการปรับปรุงศาสนศาสตร์ แม้ว่าวารันไทน์จะไม่ชอบบางมุมมองของเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าอับราฮัมคงจะได้ขึ้นเป็นพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงในอีกห้าปีเป็นแน่ พระคาร์ดินัลหลวงหลายคนยังคิดว่าเขาคือนักบุญในอนาคตด้วยซ้ำ!
นับแต่ที่ความสนใจหลักของศาสนจักรเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเผชิญหน้ากับการปลุกปั่นยั่วยุจากทางสภาเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง อับราฮัมคือหนึ่งในสมาชิกองค์กรศาสนากลุ่มแรกที่อาสาเดินทางมายังอาณาจักรโฮล์ม อับราฮัมเคยกล่าวไว้ว่า
“มีเพียงความเสี่ยงและอุปสรรคเท่านั้นที่จะทำให้ความศรัทธาแก่กล้ายิ่งขึ้น หากไร้ซึ่งความตายและความทุกข์แล้ว เกียรติแห่งการยึดมั่นก็มิอาจพิสูจน์ได้”
ท่ามกลางความมืดมิด อับราฮัมเดินไปบนดงดอกทิสเทิลและต้นหนามอื่นๆ ด้วยเท้าเปล่า แต่เขากลับไม่เปล่งเสียงร้องออกมาสักนิด ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ในขณะที่ห้องมืดๆ เริ่มมีแสงสว่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ภายนอกห้อง อุกกาบาตสี่ลูกที่มีไฟลุกโชนตกลงมาจากฟากฟ้าและกระแทกกับอาคารอย่างจัง
เวทมนตร์ระดับเก้า ‘ฝนดาวตก!’
มันคือเวทมนตร์ที่จัดอยู่ในสำนักธาตุและโหราศาสตร์
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
อารามพลันราบเป็นหน้ากลองหลังจากเกิดเสียงระเบิดกึกก้องนั้น
ร่างของอับราฮัมกลายเป็นเพียงท่อนเนื้อ ส่วนของศีรษะเขายังลืมตาโพลง ในวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
บนอากาศ มอร์ริสเปิดประตูของ ‘เวทเคลื่อนย้ายดังใจ’ กลางท้องฟ้า และจากไปก่อนที่วงแหวนเวทป้องกันของนครเรนทาโตจะทำงาน
…
ไม่ไกลจากคริสตจักรอาภา ในฐานที่มั่นของเหล่าอัศวินแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์
ซิกมา อัศวินอาภาขั้นที่หกกำลังนำกองกำลังของตนออกลาดตระเวนตรวจตราตามปกติ เสียงจากชิ้นส่วนเกราะสีขาวบริสุทธิ์บนตัวดังเคร้งคร้างสั้นกระชับ
ในทันใดนั้น เขาก็กระโดดไปข้างหน้าอย่างว่องไว แต่สายฟ้ากลับรวดเร็วกว่า
สายฟ้าฟาดใส่แผ่นหลังของซิกมาพร้อมกับปีกศักดิ์สิทธิ์บนนั้น สายฟ้าชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ซิกมาชาหนึบเหมือนสายฟ้าทั่วไป แต่มันกลับสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูง เหมือนกับมีดที่ใช้ตัดชีส สายฟ้าพลันตัดผ่านเกราะและลำตัวของซิกมาไปอย่างง่ายดาย รอยแผลจากการเฉือนตัดนั้นดำเป็นตอตะโก
นั่นก็คือ ‘เตาหลอมสายฟ้าแห่งเฟอร์นันโด!’
พลังของเวทมนตร์ระดับห้านี้ เมื่อร่ายโดยนักเวทระดับแปด ย่อมไม่ต่างอะไรกับเวทมนตร์ระดับแปด!
หลังจากทิ้งวลี ‘การแก้แค้นที่เท่าเทียม’ เอาไว้ ทอมป์สันก็จากไปอย่างรวดเร็ว
…
บนชั้นสามสิบสามของสำนักงานใหญ่สภาเวทมนตร์ในเมืองอัลลิน
“พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดง นักพรต และอัศวินอาภา รวมทั้งหมดสิบคนถูกกำจัดไป เราต้องแสดงให้ทางศาสนจักรเห็นถึงปณิธานในการแก้แค้นของเรา ในภายภาคหน้า หากพวกมันกล้าทำเช่นนี้อีก เราจะทำให้พวกมันชดใช้เป็นสิบเท่าขอรับ” ทอมป์สันรายงานให้เจ้าแห่งพายุทราบ
เฟอร์นันโดพยักหน้านิดๆ “สรุปแล้วคนพวกนั้นคือผู้สนับสนุนพระสันตะปาปาใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงและนักพรตสนับสนุนการปรับปรุงศาสนศาสตร์ ส่วนพวกอัศวินนั่นก็ซื่อสัตย์ยิ่งกว่า” ทอมป์สันตอบอย่างมั่นใจ จากนั้นจึงกล่าวเสริมด้วยความกังวล “ตอนนี้เราควรจะเตรียมตัวรับมือกับสงครามนะขอรับ อาจารย์ เมื่อได้เห็นการกระทำของเรา ทางศาสนจักรย่อมตอบโต้เป็นแน่แท้”
“เรียกรวมพลนักเวท แล้วก็แจ้งเรื่องนี้ให้พวกขุนนางทราบด้วย พวกนั้นคือคนที่ต้องการสมดุลระหว่างสภากับศาสนจักร ดังนั้นพวกเขาจึงควรเตรียมพร้อมรับผลสรุปนี้ไว้แล้ว” เฟอร์นันโดเอ่ยอย่างเสียดสี “เราจะได้เห็นกันว่าพวกเขาอยากจะสนับสนุนฝ่ายใด จะเลือกรักษาสมดุลอันบอบบางเอาไว้… หรือ… จะรอจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายอ่อนแอจากสงครามเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ แต่หากว่าสงครามจะอุบัติขึ้น ย่อมต้องสู้รบกันในโฮล์ม ไม่มีทางที่พวกขุนนางจะเฝ้าดูโดยไม่ทำอะไรหรอก ทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกขุนนางก็คือการข่มขู่ให้ศาสนจักรอยู่นิ่ง สมดุลอันละเอียดอ่อนจึงจะรักษาต่อไปได้”
หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของเฟอร์นันโด ทอมป์สันก็ออกไปจากห้องทำงานเพื่อรายงานความประสงค์ของสภาสูงสุดให้กับคณะกรรมการกิจการ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฟอร์นันโดก็เห็นว่าลูเซียนเดินเข้ามา ตามด้วยอัลเฟอร์ริส
“ครานี้เจ้าระวังตัวมากทีเดียว…” เฟอร์นันโดยังคงตระหนี่ถี่เหนียวเมื่อเป็นเรื่องของการเอ่ยชื่นชม “แล้ว… เจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ”
“อาจารย์ ข้าเขียนงานอีกชิ้นเสร็จแล้วขอรับ” ลูเซียนแย้มยิ้ม
เฟอร์นันโดไม่ได้รับไปอ่านในทันที กลับจ้องมองลูเซียนจากศีรษะจรดปลายเท้าด้วยดวงตาสีแดงของเขา