Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 372 พรแห่งผีแบนช
บทที่ 372 พรแห่งผีแบนชี
หลังจากรับม้วนคาถาไป ในใจลูเซียนก็สงบลงเล็กน้อย เขาจึงอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ “อาจารย์ขอรับ ท่านพูดว่าท่านเคยทำอะไรไร้สาระหลายอย่างตอนยังหนุ่ม เรื่องพวกนั้นคืออะไรหรือขอรับ”
เฟอร์นันโดตวัดสายตากรุ่นโกรธไปทางลูเซียนแล้วคำรามลั่น “นั่นหาใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้! กลับไปศึกษา ‘ชนวนเวท’ เสีย! เจ้าอย่าคิดว่าจะได้เป็นนักเวทระดับสูงง่ายๆ เพราะพิธีกรรมนะ!”
ลูเซียนตกใจเพราะเสียงคำรามลั่นของเฟอร์นันโด เขารีบร้อนกระโจนออกมาจากห้องทำงานของอาจารย์ หลังจากปิดประตูลง ลูเซียนก็พึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกขบขันระคนสงสัย
“ท่านเฟอร์นันโดคงจะเคยทำเรื่องน่าขันมากเป็นแน่…”
…
ห้าวันต่อมา ภายในห้องโถงโล่งๆ บนชั้นสามสิบสามของสำนักงานใหญ่สภาเวทมนตร์
บนพื้น ปรากฏลวดลายวงแหวนเวทตามโครงร่างมนุษย์ที่วาดโดยใช้เลือดของผีแบนชี หรือวิญญาณแค้นของหญิงสาว และยังมีวัตถุดิบล้ำค่าอีกหลายอย่าง ส่วนของศีรษะ อกซ้าย มือและเท้าทั้งสองข้างของโครงร่างมนุษย์นั้นมีลวดลายทางเวทมนตร์มากมายที่ลากเข้าไปหาหัวใจสีแดงเข้มหลายดวงที่กำลังเต้นอยู่
“จงนอนลงในวงแหวนเวท” ฟิลิปบอก
หลังจากจัดเตรียมวงแหวนเวทพื้นฐานเสร็จ ฟิลิปก็ให้ลูเซียนกับเจ้าแห่งพายุเข้ามาในห้องโถงในที่สุด เขาไม่ให้ทั้งสองคนเข้ามาจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เพื่อไม่ให้พวกเขาเรียนรู้พิธีกรรมพิเศษสำหรับดวงจิตที่เรียกว่า ‘พรแห่งผีแบนชี’
เมื่อเขาถอดอุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งหมดที่สวมอยู่ออก ทั้งแหวนมงกุฎแห่งโฮล์ม แหวนอาฆาตเหมันต์ ถุงมือยักษ์กินคน เครื่องรางมงกุฎสุริยัน กำไลเชือกอัคคี กับเหรียญตราเวทมนตร์และอาร์คานา ลูเซียนก็ถอดเสื้อคลุมอันเป็นรางวัลบัลลังก์นิรันดรออก ตามด้วยรองเท้าหลบฉาก จากนั้นเขาก็ยื่นของทั้งหมดให้อัลเฟอร์ริสที่อยากได้มาเนิ่นนานเป็นผู้คอยดูแล
พิธีกรรมดวงจิตเช่นนี้ไม่ควรถูกอุปกรณ์เวทมนตร์ใดๆ รบกวน
อัลเฟอร์ริสไม่ได้สนใจพิธีกรรมเลยสักนิด เอาแต่จดจ้องอุปกรณ์ต่างๆ ดวงตาสีอำพันกลมโตของมันเป็นประกายวิบวับ และบางครั้งบางครา มันก็จะแลบลิ้นเลียเครื่องรางกับแหวนด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด
ลูเซียนล้มตัวลงนอนตามที่ฟิลิปบอกโดยสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงเนื้อบาง นักเวทศาสตร์มืดนำเอาตะปูกระดูกอันใหญ่ยักษ์ที่ทำมาจากเขี้ยวผีแบนชีระดับสูงออกมา
“ห้ามโวยวาย” ฟิลิปเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทันทีที่พูดจบ ฟิลิปก็หยิบตะปูหนึ่งตัวที่สลักลวดลายซับซ้อนแล้วตอกลงไปยังมือขวาของลูเซียนโดยตรง
ตะปูนั้นแหลมคมกว่าที่ลูเซียนคาดไว้ ลูเซียนคืออัศวินระดับสอง แต่มันก็ยังตอกทะลุร่างของลูเซียนและตรึงเขาไว้กับพื้น ลูเซียนเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดแม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม ทว่า เขาเคยประสบพบเจอกับอะไรที่เลวร้ายกว่านี้มาแล้ว เขาจึงไม่กรีดร้องโวยวายออกมา
หยดเลือดของลูเซียนที่เปล่งประกายราวกับแสงจันทร์สลัวรางไหลย้อมกระดูกของผีแบนชีจนกลายเป็นสีแดงฉาน แต่ไม่นานสีสันนั้นก็จางลงอย่างรวดเร็วและหายไปในที่สุด โลหิตของลูเซียนถูกตะปูกระดูกดูดซับและค่อยๆ แผ่พุ่งไปตามวงแหวนเวทบนพื้น
หลังจากตอกตะปูตรึงที่มือซ้าย ข้อเท้าขวา และข้อเท้าซ้ายกับพื้นเสร็จแล้ว ฟิลิปก็ค่อยๆ แทงตะปูสองตัวที่เหลือลงบนผิวหนังบริเวณหน้าผากและอกซ้ายของลูเซียนตามลำดับ แม้ว่าตะปูทั้งสองตัวนี้จะไม่ได้ฝังเข้าไปลึก แต่พวกมันก็เชื่อมต่อกับวงแหวนเวทที่ลูเซียนนอนทับอยู่ทันที ดังนั้นพวกมันจึงแน่วนิ่งอยู่บนผิวหนังของลูเซียน แม้ว่าตะปูกระดูกทั้งสองตัวจะไม่ได้แทงทะลุศีรษะกับหัวใจของลูเซียนก็ตาม
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ ฟิลิปก็ก้าวถอยหลังออกมาสองสามก้าวแล้วเริ่มร่ายคาถา ลวดลายเส้นสายของวงแหวนเวทมนตร์ค่อยๆ ส่องแสงสว่างขึ้นทีละส่วนๆ
คาถาที่ฟิลิปร่ายนั้นฟังราวกับเขากำลังร้องเพลง และพลังในการสะกดจิตก็โถมซัดเข้าใส่ลูเซียนผ่านทางตะปูกระดูกและวงแหวนเวท ลูเซียนเริ่มรู้สึกหนังตาหนักจนแทบฝืนลืมตาไม่ไหวพร้อมกับที่สมองครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ลูเซียนนึกไปถึงการวิเคราะห์ ‘ชนวนเวท’ ที่เสร็จสิ้นไปแล้วกว่าครึ่ง… แล้วในเสี้ยววินาทีต่อมา ลูเซียนก็เริ่มนึกสงสัยว่าอาเธอร์กับฟลอเรนเซียคิดเห็นอย่างไรกับความพยายามในการพัฒนาโครงสร้างและของที่ใช้สำหรับคริสตัลแสงเวทมนตร์
“สายลมจาก ‘ดินแดนแห่งความตาย’ โปรดจงอ้าแขนรับดวงวิญญาณไร้ที่พึ่งพิงนี้ และโปรดโอบกอดไว้เสมอ” ฟิลิปยกคฑาเวทสีดำที่ประดับด้วยอันญมณีหลากสีขึ้น ภาษาที่เขาใช้เป็นภาษาพิเศษในหมู่นักเวทศาสตร์มืดที่สร้างขึ้นโดยจักรวรรดิเมชเคตโบราณ เขาเดินวนเป็นระยะหนึ่งส่วนสามของวงแหวนเวท
อันญมณีเม็ดใหญ่สีขาวพลันทอประกาย และเสื้อโค้ตตัวยาวของฟิลิปก็โบกสะบัดไปในอากาศดูราวกับปีกค้างคาว ในสายลมนั้นคล้ายจะมีกลิ่นเหม็นเน่าเล็กน้อย
ลูเซียนยิ่งตกอยู่ในภวังค์ลึกล้ำกว่าเดิม
“อัคคีจาก ‘ดินแดนโครงกระดูก’ โปรดจงให้ความอบอุ่นแก่ดวงวิญญาณไร้ที่พึ่งพิงนี้ โปรดจงอำนวยพรตลอดกาล” หลังจากเดินวนวงแหวนเวทเป็นระยะทางอีกหนึ่งส่วนสาม ฟิลิปก็ร่ายคาถาอีกครั้ง
เปลวเพลิงสีขาวซีดจางเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนโผล่ออกมาจากวงแหวรเวท แทนที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกายลูเซียน พวกมันกลับยิ่งทำให้วิญญาณของเขาบริสุทธิ์กว่าเดิม
เฟอร์นันโดยืนอยู่ข้างผนัง เฝ้าสังเกตการณ์ในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยดวงตาหรี่ปรือลงครึ่งหนึ่ง ภายในดวงไฟสีขาว เฟอร์นันโดเห็นโครงร่างเลือนรางของสัตว์ประหลาดที่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำและถือเคียวอยู่เบื้องหลังดินแดนรกร้างว่างเปล่า ที่ที่ภูติผีจำนวนนับไม่ถ้วนเตร็ดเตร่ไปมา
“ความเย็นเยียบจาก ‘นรกอันเงียบงัน’ โปรดจงโอบล้อมดวงวิญญาณไร้ที่พึ่งพิงนี้ มอบความสงบสุขนิจนิรันดร์ให้แก่เขา” ฟิลิปเดินวนมาบรรจบที่เดิมพร้อมกับที่อันญมณีเม็ดสีเงินส่องสว่างขึ้น
ความเงียบไร้ที่สิ้นสุดและความเย็นยะเยือกเข้าโอบล้อมดวงจิตของลูเซียนและทำให้มันมั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากทั้งหมดนั้น ฟิลิปก็ยกมือซ้ายขึ้นแล้วกรีดร้องโดยไร้เสียง
ตะปูกระดูกทั้งหกชิ้นชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิตของลูเซียน และตอนนี้พวกมันก็กำลังบิดเบี้ยวจนดูราวกับงูหกตัว และฉับพลันนั้นเงาทั้งหกสายก็แผ่พุ่งขึ้นไปในอากาศ
เงาเหล่านั้นกลายเป็นวิญญาณของหญิงงาม ผิวขาวลออของพวกนางนั้นกึ่งเปลือยเปล่า แต่ใบหน้าของพวกนางกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทว่า ในขณะที่ฟิลิปยังกรีดเสียงร้องอย่างเงียบงันต่อไป พวกนางก็เริ่มอ้าปากและเริ่มร้องเพลง
เสียงเพลงไพเราะเสนาะหู แต่มีเพียงดวงจิตเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน ท่ามกลางความเลือนราง ลูเซียนเห็นดวงจิตของตนสะท้อนเป็นระลอกตามเสียงเพลงและค่อยๆ ดูดซับของเหลวที่ลอยละล่องอยู่ในวงแหวนเวทเข้าไปทั้งหมด
สองนาทีต่อมา หน้าผากของฟิลิปเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เขาทิ้งมือซ้ายลงข้างตัว ก่อนจะหยิบกระจกสีดำรูปร่างประหลาดที่ประดับด้วยอันญมณีเม็ดเล็กเป็นรูปใบไม้และดวงตาไร้ชีวิต ด้านหลังกระจกนั้นปกคลุมด้วยผิวหนังบนใบหน้าของผีแบนชีที่น่าคร้ามเกรง
ฟิลิปโยนกระจกไปทางลูเซียน กระจกสีดำลอยอยู่เหนือตัวลูเซียนอย่างเหมาะเจาะ
ฟิลิปเริ่มร่ายคาถาของศาสตร์มืดที่ฟังชวนหลอนอีกครั้ง และเป็นอีกคราที่อันญมณีทั้งหมดบนคฑาเวทมนตร์ของเขาเปล่งแสงออกมาพร้อมกัน ซึ่งดึงดูดความสนใจได้แม้แต่อัลเฟอร์ริส
กระจกสั่นสะท้านเล็กน้อย เสียงเพลงจากผีแบนชีทั้งหกกลายเป็นเสียงกรีดร้องขื่นขม กระจกสีดำพลันแตกร้าว และดวงตาสีขาวก็ปรากฏขึ้น! ในรูม่านตา โครงร่างบิดเบี่ยวชวนขนหัวลุกกำลังเต้นระบำด้วยท่าทางแปลกประหลาด
ดวงตานั้นมองไปที่ลูเซียน แล้วดวงจิตของเขาก็พลันพุ่งตัวลอยสูง สูงเหนือหมู่เมฆ สูงเหนือท้องนภา… ดวงจิตของเขาพุ่งตรงขึ้นไปและในที่สุดก็พบกับ ‘ดาวแห่งโชคชะตาประจำตัว’ ของเขา ลูเซียนสัมผัสได้ว่าที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง จุดที่เขาไม่อาจเอื้อมถึงนั้นมีบางอย่างเชื่อมต่อกับดวงจิตของเขาแล้ว
มันเมินเฉยต่อลูเซียน ด้วยท่าทีที่ดูราวกับเขาต่ำต้อยกว่า!
ลวดลายเส้นสายของวงแหวนเวทเริ่มสั่นสะท้านราวกับมีชีวิต จากนั้น ร่างกายลูเซียนก็ถูกลวดลายเหล่านั้นเข้าพัวพัน ก่อนจะซึมเข้าสู่ภายในและกระชากดวงจิตของเขากลับมา หลังจากที่ร่างกายสั่นเทาอยู่หลายครา ลูเซียนก็ได้สติขึ้นมาในที่สุด
“ข้าได้ทำตามสัญญาแล้ว” ฟิลิปใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดเหงื่อบนหน้าผาก “ตอนนี้ข้าไม่ติดค้างอะไรเจ้าอีกต่อไป”
ฟิลิปหมุนกายแล้วเดินจากไป ในขณะที่ลูเซียนยังวิงเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อย เพราะเขายังไม่คุ้นชินกับพลังจากดวงจิต หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็ดึงพลังจิตออกมาอย่างสบายๆ แล้วเปลี่ยนตะปูกระดูกให้กลายเป็นผุยผง
“พลังจิตกับดวงจิตของข้าสามารถแทรกแซงโลกแห่งความจริงได้แล้ว…” ลูเซียนพึมพำกับตนเองด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย เขาคงจะเป็นคนคนเดียวในสภาเวทมนตร์ที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วที่สุดแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความก้าวหน้าในอนาคต
ลูเซียนยืนขึ้น ร่างกายเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ส่วนวงแหวนเวทบนพื้นได้หายไปหมดสิ้นแล้ว
“ดวงตานั้นมันคืออะไรกัน” เฟอร์นันโดพึมพำ รู้สึกสับสนเล็กน้อย
มหาจอมเวทเช่นเขามักจะมองเห็นธรรมชาติแท้จริงของสิ่งต่างๆ ผ่านรูปแบบพิธีกรรมอันใหญ่โต เขาเข้าใจพิธีกรรมส่วนใหญ่ แต่เฟอร์นันโดไม่อาจเข้าใจขั้นตอนสุดท้ายได้
เมื่อนึกถึงขั้นตอนสุดท้าย ลูเซียนจึงถามด้วยความกังวลเล็กน้อย “อาจารย์ขอรับ… ข้ารู้สึกว่าดวงจิตของข้าเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของพิธีกรรมห่างไกลจากเรามาก นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่ขอรับ”
ก่อนจะทำพิธีกรรมนี้ ลูเซียนไม่กล้าถามเฟอร์นันโดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เพราะเขากลัวว่าจะเปิดเผยความลับแห่งห้องสมุดห้วงจิต ทว่า เมื่อตอนนี้เฟอร์นันโดเองก็ไม่เข้าใจพิธีกรรมทั้งหมด ลูเซียนจึงใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับเขาทั้งหมด
“นี่คือสิ่งที่ข้ากล่าวไว้…” เฟอร์นันโดทอดถอนใจ “พื้นฐานของเจ้ายังไม่แข็งแรง ยังมีองค์ความรู้อีกมากมายเกี่ยวกับการกลายเป็นนักเวทระดับสูงที่เจ้ายังไม่รู้ นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าปกติเสียอีก เชื่อกันว่ามันเป็นเพราะปฏิกิริยาระหว่างโลกแห่งปัญญากับโลกแห่งความจริงและภาพมายาที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติของโลกแห่งความจริง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนก็โล่งใจเป็นล้นพ้น
เฟอร์นันโดเหลือบมองไปทางอัลเฟอร์ริสแล้วบอกให้มันคืนสิ่งของให้กับลูเซียน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “จงพักผ่อนสักหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้คุ้นเคยกับพลังเสียก่อน อย่าเร่งรีบทำพิธีกรรมเพื่อเลื่อนขึ้นเป็นระดับสูง”
“ขอรับ อาจารย์” ลูเซียนพยักหน้าอย่างจริงจัง
…
ภายในส่วนของคลังเก็บของระดับสูงบนชั้นยี่สิบแปดของสภาเวทมนตร์
“เกล็ดมังกรแดง…”
“ยางต้นสกาเล็ต…”
“ดอกไม้กลืนวิญญาณสีเขียว…”
“หินสุริยาหกก้อน…”
“สมองปีศาจ…”
“น้ำตาภูตผี…”
…
“ท่านอีวานส์ นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการขอรับ” สมิธ คนเฝ้าคลัง นักเวทระดับห้า ยื่นวัตถุดิบทั้งหลายให้กับลูเซียน เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ท่านอีวานส์… กำลังจะเลื่อนขึ้นระดับสูงเช่นนั้นหรือขอรับ”
วัตถุดิบอุปกรณ์หลายอย่างสำหรับพิธีกรรมเวทมนตร์นี้ทั้งล้ำค่าและมีราคาสูง ดังนั้นนักเวทระดับห้าที่จำเป็นต้องใช้สามารถไปรายงานเรื่องนี้กับแผนกบริหารจัดการนักเวทเพื่อที่จะได้ซื้อของเหล่านี้จากทางสภาด้วยราคาถูกลงกึ่งหนึ่ง และลูเซียนก็ถือเอกสารนั้นมายังคลังเก็บของ ทว่า เขากลับรวบรวมได้เพียงของหนึ่งในสามที่จำเป็นต้องใช้ทั้งๆ ที่ใช้คะแนนอาร์คานาและเงินธาเลไปเกือบหมด
ดูเหมือนว่าลูเซียนคงจะต้องมอบเงินรายได้ประจำปีในอีกสามปีถัดไปให้กับเฟอร์นันโดเพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่ต้องใช้มา เมื่อคิดว่าเขายังต้องจ่ายค่าจ้างให้กับอัลเฟอร์ริสเป็นการล่วงหน้าด้วยเงินสนับสนุนจากสภาเวทมนตร์และเจตจำนงแห่งธาตุเพื่อให้อัลเฟอร์ริสแปลงกายเป็นเขาในช่วงที่เขาไม่อยู่ หัวใจลูเซียนก็พลันวูบโหวง
เขาส่งยิ้มให้ “ข้าเพียงแต่เตรียมการล่วงหน้าเท่านั้น”
สมิธไม่เชื่อในสิ่งที่ลูเซียนบอก เขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีผู้ใดคิดซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า คลังเก็บของไม่เคยย้ายไปไหน!
สมิธตกตะลึงอย่างยิ่งกับความรวดเร็วในการเลื่อนระดับของลูเซียน
…
เจ็ดวันต่อมา ลูเซียนมาที่ห้องโถงเดิมที่เคยใช้ทำพิธีกรรมครั้งก่อนอีกครั้ง เขาประหม่าเล็กน้อยเพราะพิธีกรรมที่จะผลักดันให้เขากลายเป็นนักเวทระดับสูงนั้นมีความเสี่ยงว่าจะล้มเหลวสูงมาก สามหรือสี่จากสิบคนในหมู่นักเวทระดับห้าจะไม่ได้รับผลที่ตนต้องการ และสำหรับลูเซียนแล้ว มันยิ่งยากลำบากกว่าปกติเพราะพลังของเขาเพิ่งจะเพิ่มพูนขึ้นจากพิธีกรรมพรแห่งผีแบนชี