Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 381 เมืองแห่งความฝัน
บทที่ 381 เมืองแห่งความฝัน
ในที่สุด ลูเซียนก็เข้าใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คนแคระคิดว่าเขาเป็น ‘พระเจ้าแห่งไอน้ำ’ เจ้าแห่งชีวิตและความตายของพวกเขา และพวกคนแคระกำลังบูชาเขา
ที่นี่คือเขตภูเขารัตติกาล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของคนแคระ เสร็จแล้วต่อมาก็ถูกยึดครองโดยแวมไพร์
คนแคระพวกนี้น่าจะเป็นคนแคระกลุ่มสุดท้ายที่หลงเหลือจาก ‘อารยธรรมไอน้ำ’ และได้รับการเลี้ยงดูจากแวมไพร์ไว้ใช้เป็นแรงงาน
คนแคระกลุ่มนี้สามารถหนีรอดมาจากเงื้อมมือของแวมไพร์จนมาพบกับซากอารยธรรมที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ พวกเขาคิดว่าวงเวทเทเลพอร์ตคือแท่นบูชา และพวกเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ เมื่อพวกเขาพยายามศึกษาเวทมนตร์ตามคำสอนเพื่อเข้าถึงพระเจ้า และในกรณีนี้เอง ลูเซียนถูกส่งมาที่นี่ในจังหวะที่คนแคระกำลังประกอบพิธีกรรมพอดี
ดูเหมือนว่าแวมไพร์ที่เขาเพิ่งฆ่าไปมาที่นี่เพื่อสังหารหมู่คนแคระ เพราะฉะนั้นเมื่อได้เห็นพลังของเขา พวกคนแคระจึงเชื่อว่าเขาคือพระเจ้าแห่งไอน้ำโดยไม่สงสัย
สมองของลูเซียนทำงานอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาไม่นานในการสรุปเรื่องราวตรงหน้า
หลังจากนั้น ความคิดแรกของลูเซียนก็คือเขาควรจะใช้เวทมนตร์เพื่อลบความทรงจำส่วนนี้ของคนแคระ อย่างไรก็ตาม เมื่อลูเซียนเห็นเตาหลอมเหล็กภายในห้องต่างๆ ที่ตั้งอยู่รอบๆ และเครื่องจักรค้อนไอน้ำ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา คนแคระมีความรู้ความสามารถพื้นฐานของอารยธรรมไอน้ำอยู่แล้ว และน่าจะสามารถดำเนินการหลอมเครื่องมือที่ซับซ้อนได้
เพื่อให้การสร้างอุปกรณ์และวัสดุแร่แปรธาตุง่ายขึ้น ลูเซียนต้องมีคนงานทักษะสูงที่สามารถผลิตอุปกรณ์พวกนี้ได้เป็นอย่างแรก
เนื่องจากทักษะการผลิตอุปกรณ์และวัสดุแร่แปรธาตุส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยนักเวท และสภาเวทมนตร์จะไม่ยอมให้นักเวทฝึกหัดเสียเวลากับการใช้แรงงานหนัก จึงมีคนธรรมดาจำนวนน้อยมากที่ได้เข้าร่วมงานแร่แปรธาตุ ปัญหาข้อนี้ค้างคาใจลูเซียนมาเป็นเวลานาน ทำให้เขาไม่อาจเผยแพร่การใช้อุปกรณ์และวัสดุแร่แปรธาตุออกไปได้ ซึ่งนั่นไม่เพียงทำให้เขาร่ำรวยมหาศาล แต่ยังสั่นคลอนความเชื่อของคนทั่วไปที่มีต่อศาสนาอาณาจักร
ลูเซียนคิดว่าปัญหานี้อาจต้องใช้เวลานานแสนนาน อย่างน้อยสองสามชั่วอายุคน อย่างไรก็ตาม เขาพบความหวังใหม่ในกลุ่มคนแคระจากอารยธรรมไอน้ำ
“พระเจ้าแห่งไอน้ำผู้ยิ่งใหญ่ ขอให้พระนามของพระองค์ขจรขจายไปทั่วสากลโลก!”
บทสวดภาวนาของคนแคระทำให้ลูเซียนเกิดความคิด เขารีบวางแผนอย่างรวดเร็ว เขาอาจเสนอให้คนแคระทำงานให้กับสภาเวทมนตร์ในนามของพระเจ้า เพื่อให้คนแคระจงรักภักดีต่อพวกเขา และจะยิ่งทำให้พวกเขายอมลงนามในสัญญาเวทมนตร์ง่ายขึ้นมาก
ด้วยความจริงที่ว่าลูเซียนช่วยชีวิตพวกเขาและสามารถช่วยให้พวกคนแคระมีอนาคตการงานที่สดใสในฐานะคนงานใหม่ของสภาเวทมนตร์ คนแคระจะต้องยอมรับข้อเสนออย่างแน่นอน แทนที่จะยอมเป็นทาสของแวมไพร์ต่อไป อย่างไรก็ตาม ลูเซียนอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าคนแคระจะยอมทำงานให้พวกเขาอย่างจริงใจ
ลูเซียนยังมีภารกิจที่ต้องทำ นอกจากนี้ วงเวทเทเลพอร์ตติดตั้งอยู่ใกล้กับจุดเชื่อมอวกาศก็ไม่สามารถส่งคนแคระออกไปได้มาก แต่การใช้วงเวทเทเลพอร์ตบ่อยเกินไปในระยะสั้นๆ ก็อาจทำให้พวกแวมไพร์รู้ตัว ลูเซียนตัดสินใจให้พวกคนแคระซ่อนตัวอยู่ในภูเขารัตติกาลต่อไปอีกสักหน่อย ขณะเดียวกัน พวกเขาจะได้มีเวลาขยายกำลังโดยการเกณฑ์สมัครพรรคพวกคนแคระเข้ามาเพิ่ม เมื่อภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งครั้งใหญ่ ลูเซียนจะขอให้สภาเวทมนตร์สร้างประตูอีกครั้งหนึ่งเพื่อช่วยให้คนแคระทั้งหมดออกไปจากที่นี่
หากเกิดสงครามขึ้นระหว่างสภาเวทมนตร์กับแวมไพร์ ศาสนจักรจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ
แม้ลูเซียนจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่คนแคระถูกทรมานทรกรรม แต่ตอนนี้เขาก็คิดหาทางแก้ที่ดีกว่านี้ไม่ออก
‘เวทล่องหน (ขั้นสูง)’ เวทมนตร์ระดับสี่ สามารถคงสภาพอยู่ได้เพียงไม่นาน ลูเซียนหยิบหลอดน้ำยาหลอดหนึ่งออกมาและค่อยๆ เปิดจุกออก ของเหลวภายในหลอดกลายสภาพเป็นก๊าซที่ไร้สีและไร้กลิ่นในทันที และกระจายไปทั่วทั้งห้องโถงในไม่ช้า
…
คนแคระยังคงสวดภาวนาอยู่ สวดให้กับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และสวดให้กับอนาคตอันงดงามที่เต็มไปด้วยความหวัง
ทันใดนั้น ฮาโรลด์ก็รู้สึกว่าอุณหภูมิเริ่มเพิ่มขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็แทบตกใจสิ้นสติ ฮาโรลด์เห็นพื้นที่ทำจากอิฐหินเทากลายสภาพเป็นทรายร้อนสีเหลือง
“จงไป จงไปยังทะเลทรายเพื่อตามหาอาณาจักรของข้า”
“จงไป จงไปที่นั่น เจ้าได้พบทุกสิ่งที่ต้องการ”
เสียงที่ศักดิ์สิทธิ์และสง่างามลอยลงมาจากฟากฟ้า คนแคระก้มศีรษะลงต่ำอีกครั้งและนาบหน้าของพวกเขาลงบนทรายร้อนๆ “ขอบูชาพระนามของพระองค์ ขอปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ผู้ปกครองสรรพสิ่งทั่วโลกหล้า”
แล้วเสียงนั้นก็หายไป หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ผู้เฒ่าคนแคระก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าพวกเขากำลังอยู่ในทะเลทรายที่ไร้พรมแดน ตรงใกล้กับเส้นขอบฟ้า เขาเห็นบางอย่างสีเขียวๆ และเชื่อว่านั่นคือโอเอซิส
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สัมผัสกับพลังที่ไม่อาจจินตนาการถึงของพระเจ้า
สายลมผ่าวร้อนพัดใบหน้าของพวกเขา คนแคระยังคงยืนอยู่กับที่และตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่พวกเขาได้เห็นแสงตะวัน! ภูเขารัตติกาลไม่เคยสว่างไสวเช่นนี้
ฮาโรลด์ขยับริมฝีปากพูดจางึมงำ “พระอาทิตย์… แสงแดด…”
คำพูดของเขาปลุกให้ผู้เฒ่าคนแคระและคนแคระทั้งหลายตื่น เมอร์นาถามออกมาราวกับว่านางกำลังอยู่ในฝัน “เราควรไปที่ไหน…?”
“…ที่ไหน?” ผู้เฒ่าคนแคระก็ลังเลใจอยู่ชั่วขณะ แต่แล้วก็กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความหวังและแรงปรารถนา “เราจะเดินลึกเข้าไปในทะเลทราย! และเราจะพบกับอาณาจักรพระเจ้าของเรา!”
ฮาโรลด์รู้สึกว่าเขาเกือบจะเป็นบ้าไปด้วยความตื่นเต้น “เราจะฟื้นฟูอารยธรรมที่สูญหายของเราได้ใช่ไหม? เราจะสร้างเมืองไอน้ำ!”
ด้วยความตื่นเต้นเป็นอันมาก อไควนัสก็ตัวสั่นเทา “ข้าด้วย ข้าอยากเห็นปล่องควันสีดำ เรือเหาะลำใหญ่ และปืนใหญ่อีกครั้ง!”
การสร้างเมืองไอน้ำขึ้นใหม่เป็นความฝันสูงสุดของคนแคระจากกองกำลังกบฏ เมืองไอน้ำเปรียบเสมือนเกียรติยศอันสูงสุดของพวกเขา!
ผู้เฒ่าคนแคระมองไปที่ใบหน้าสีแดงก่ำโชกเหงื่อของเหล่าคนแคระ แล้วเขาก็ยกมือขึ้นพร้อมตะโกนออกมา “เจ้าแห่งชีวิตและความตรัสกับเราว่าเราจะพบทุกสิ่งที่ต้องการลึกเข้าไปในทะเลทราย! เราจะเดินลึกเข้าไปในทะเลทราย!”
“ไอน้ำจงเจริญ! เราจะเดินลึกเข้าไปในทะเลทราย!” คนแคระที่เหลือทวนคำพูดของผู้เฒ่าและตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกัน
…
แม้พวกเขาจะไม่มีการนำทางที่ชัดเจน คนแคระสามารถรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังเรียกหาพวกเขาอยู่ข้างหน้า
การเดินดุ่มๆ อยู่ในทะเลทรายไม่ใช่เรื่องง่าย แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงและลมร้อนทำให้พวกเขาหิวน้ำจัด คนแคระเพิ่งจะเข้าใจว่าทะเลทรายโหดร้ายถึงเพียงไหน พวกเขาทั้งหิวน้ำและตาลาย
“เมอร์นา เจ้าเป็นอะไรไหม?” ฮาโรลด์รีบคว้าแขนของเมอร์นา ขณะที่นางกำลังจะล้ม
เมอร์นาส่ายศีรษะและกัดริมฝีปากตัวเอง “ข้าไม่เป็นอะไร นี่เป็นบททดสอบของพระเจ้า ต้องไปให้ถึงอาณาจักรของพระองค์ ข้าจะไม่ยอมแพ้”
คนแคระทั้งหลายรู้สึกฮึกเหิมขึ้นจากคำพูดของเมอร์นา นางพูดถูก หากพวกเขาไม่อยากแบกรับความเจ็บปวด พวกเขาก็ไม่สมควรได้รับการประทานพร
ทันใดนั้นเอง คนแคระทุกคนก็ยินเสียงร้องด้วยความลิงโลดของผู้เฒ่า “ดู! ตรงนั้นเอง!”
คนแคระหันมองไปทางเดียวกันและก็เป็นเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางโอเอซิส
เมืองอยู่ตรงนั้น! อาณาจักรของพระเจ้า!
คนแคระทั้งหลายพากันลืมความเหนื่อยล้าที่มีจนหมด พวกเขาวิ่งตรงไปยังเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เมื่อพวกเขาวิ่งเข้าใกล้เมืองเข้าไป ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสนั่นจากบนท้องฟ้า
คนแคระทุกคนแหงนหน้าขึ้นมองและเห็นนกรูปร่างประหลาดตัวใหญ่บินมาจากอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังเมือง เหมือนนกประหลาดตัวนั้นบินอยู่เหนือหัวพวกเขา พวกคนแคระก็รู้ขึ้นมาในทันที มันไม่ใช่นก แต่เป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีแผ่นโลหะสีขาวเงินห่อหุ้ม!
นกเหล็กตัวนี้ใหญ่ยักษ์จนคนแคระรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเพียงฝูงมด
นกเหล็กชะลอความเร็วลงและค่อยๆ ถลาลงจอดภายในเมืองสักแห่งซึ่งพวกเขาไม่อาจมองเห็น
“นี่คือ… เรือเหาะสินะ?” ฮาโรลด์ตกตะลึง แต่นกเหล็กยักษ์ก็ดูแตกต่างจากที่เขาเคยเห็นในภาพแกะสลักฝาผนัง
ผู้เฒ่าคนแคระสายศีรษะเบาๆ “ไม่… นั่นไม่ใช่เรือเหาะ เรือเหาะบินไม่เร็วขนาดนั้น แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์แน่นอน!”
แล้วมันคืออะไร? คนแคระทั้งหลายต่างถามตัวเอง
“เราจะรู้คำตอบเมื่อเราไปถึงเมือง” ผู้เฒ่าตอบด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
คนแคระออกเดินทางกันอีกครั้ง ความเงียบเข้าครอบงำพวกเขา พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรต่อไประหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังเมือง
หลังจากผ่านไปนานกว่าสิบนาที คนแคระก็เดินทางมาถึงชายป่าของโอเอซิสและได้เห็นเมืองเต็มสองตาในที่สุด
หลายคนถึงกับต้องสูดหายใจลึกๆ เพราะตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เมืองแห่งนี้อยู่นอกเหนือจากที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง!
ฟากหนึ่งของเมือง พวกเขาเห็นปล่องควันสูงและโรงงานและเครื่องจักรมากมาย เหล่าคนแคระคุ้นเคยกับภาพนี้ดี เนื่องจากพวกเขาเห็นภาพนี้ในความฝันหลายต่อหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม อีกฟากหนึ่งของเมือง มีอาคารที่สูงเสียยิ่งกว่าปล่องควันตั้งอยู่มากมาย แม้แต่ตำนานที่กล่าวไว้เกินจริงมากที่สุดก็ไม่อาจบรรยายภาพความรุ่งโรจน์และความสง่างามได้มากถึงเพียงนี้!
อาคารสูงเหล่านั้นตั้งอยู่ใกล้ชิดกัน ผนังกระเบื้องปูด้วยสีแปลกตาทั้งดำ เทา ขาวเงิน และน้ำตาล หน้าต่างที่จัดเรียงเป็นอย่างดีสะท้อนแสงอาทิตย์
ระหว่างอาคารสูงและโรงงาน มีถนนที่กว้างขวางและมีแม้กระทั่งสะพานแผ่นดิน ซึ่งมีพาหนะรูปร่างแปลกประหลาดแต่ดูดีวิ่งอยู่ด้วยความเร็วสูง
รูปร่างเงาที่คอยอารักขาเมืองอยู่กำลังถือวัตถุโลหะลักษณะเหมือนปืนยาวไอน้ำในมือ แต่มีขนาดเล็กและเบากว่า
ฮาโรลด์รู้สึกว่าสายตาเขาดีมากเพียงไหนขึ้นมา เขาสามารถเห็นลิฟท์ขนส่งเคลื่อนที่ช้าๆ อยู่ในอาคาร และรูปร่างลักษณะเหมือนเงากำลังใช้อุปกรณ์แปลกๆ สนทนากัน แม้จะอยู่คนละอาคาร
เมอร์นาก็เห็นรูปร่างเงานั้นกำลังถือแผ่นโลหะรูปร่างแปลกๆ และมีภาพต่างๆ ขึ้นมาเหมือนกับด้วยการสัมผัสบนหน้าจอเบาๆ
ยามวิกาลมาถึงอย่างรวดเร็ว และเมืองก็สว่างไสวด้วยแสงไฟมากมาย กลายเป็นสถานที่ที่มีดวงดาวรวมตัวกันอยู่บนพื้นดิน
เหล่าคนแคระพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานานเมื่อเห็นความอลังการที่น่าเหลือเชื่อของเมือง
ทันใดนั้น พื้นดินบริเวณเขตชานเมืองก็เปิดออก และมี ‘ธนูโลหะ’ ขนาดใหญ่ถูกยิงออกมาพร้อมลูกไฟสว่างไสวในระยะไกล
“นี่มันอะไรกัน?!” คนแคระต่างตกตะลึง
แล้วธนูโลหะลูกนั้นก็ตกบนพื้นตรงเส้นขอบฟ้า ตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว!
พื้นดินสั่นสะเทือน เสียงอื้อดังอยู่ในหูของคนแคระ แล้วก็มีอาทิตย์ดวงใหม่ปรากฏขึ้นตรงเส้นขอบทะเลทราย แผดเผาและร้อนผ่าว ด้วยพลังที่ส่งอนุภาพพอจะทำลายล้างโลกทั้งใบ แสงตะวันสว่างจ้าไม่นานก็หายไป ความหนาก่อเป็นรูปร่างเห็ดขนาดใหญ่ทิ้งไว้ตรงขอบฟ้า ราวกับว่ามีนรกสุดแสนน่ากลัวอยู่ไกลๆ
เมื่อเห็นดังนั้น ฮาโรลด์ก็แทบกลืนน้ำลายไม่ลง ธนูโลหะลูกนั้นสามารถทำลายภูเขารัตติกาลได้ทั้งหมดในพริบตา
สีหน้าของผู้เฒ่าและคนแคระทั้งหมดที่เหลือต่างดูเคร่งเครียด พวกเขาบูชาพลังนั้นด้วยความเคารพ เมื่อพวกเขามองกลับไปยังเมืองแห่งความฝัน แสงสวยงามก็บังตาพวกเขา
“ที่นี่คือที่ไหน?” ฮาโรลด์โพล่งออกมา รู้สึกทั้งกลัวและตื่นตาตื่นใจ “ที่นี่ยิ่งใหญ่เสียกว่าเมืองไอน้ำในเรื่องเล่าของท่านผู้เฒ่า!”
“ที่นี่คือ…” เมอร์นาพูดงึมงำตัวสั่นเทา
เสียงศักดิ์สิทธิ์ที่สง่างามก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ที่นี่คือแอตแลนติส อาณาจักรของข้า”