Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 4 ดวงตาสีแดงเลือด
บาทหลวงเบนจามินขยับเข้าไปหาซากกระท่อมของแม่มดด้วยท่าทางผึ่งผาย เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยน “แม่มดชั่วร้ายทั้งหลายต่างหาประโยชน์จากจิตใจและสติของผู้คน โดยเฉพาะในค่ำคืนเช่นราตรีนี้ เมื่อดวงจันทร์สีเงินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า โชคยังดีที่หญิงนางนั้นยังไม่ได้รับพลังที่แท้จริงอันใดจากศาสตร์มืด มนตราของนางจะส่งผลต่อคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
เขากำลังอธิบายว่าเพราะเหตุใดลูเซียนจึงได้ยินเสียงร้องไห้นั้นก่อนลูเซียนจะได้ถามเสียอีก ราวกับรู้ว่าเขาอยากจะถามอะไร เบนจามินเอื้อมมือทั้งสองข้างที่สวมถุงมือสีขาวออกมาแล้วกล่าวต่อ “เราต่างได้รับพร ดังนั้นเราจึงได้ยินเสียงร้องไห้แสนร้ายกาจนี่”
เมื่อเบนจามินเอ่ยเช่นนั้น อัศวินทั้งสี่ก็เริ่มวาดมือเป็นรูปสัญลักษณ์กางเขนบนอกพวกเขาและเริ่มตะโกนออกมาพร้อมกัน
“เพียงความจริงที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์”
พวกเขาดูจะตื่นเต้นมากขึ้นขณะกล่าว
ฝูงชนเองก็เริ่มสวดภาวนาเช่นกัน “เพียงความจริงที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์”
ชาวบ้านกระซิบคุยกัน “นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ ท่านบาทหลวงเบนจามินคือผู้ได้รับพรจากพระเจ้าอย่างแท้จริง”
สีหน้าเบนจามินในตอนนี้ดูเคร่งขรึมและจริงจังกว่าเดิม เขาค่อยๆ ผายมือออกแล้วร่ายคาถาฟังแปลกหู
“พาโซ”
ทันใดนั้น แสงสีขาวลักษณะคล้ายผืนผ้าก็โรยตัวลงมาครอบคลุมซากกระท่อมราวกับว่ามันมาจากแสงจันทร์
ภายในแสงสีขาวนั้น หลุมสีแดงเลือดเล็กๆ พลันผุดขึ้นมาจากผนังพังๆ ที่เชื่อมกับบ้านของลูเซียน
พลังลี้ลับนี้ทำให้ลูเซียนตื่นตระหนก เช่นเดียวกับผู้คนรอบๆ นั้น แต่แทนที่จะรู้สึกทึ่งและเคารพยำเกรงเหมือนคนอื่นๆ เขากลับอยากได้พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมาเป็นของตน
เบนจามินเก็บมือกลับมาแล้วหันไปสั่ง “แกรี่ นั่นคือประตู มันไม่มีกับดักอะไร ไปเปิดมันเสีย”
แกรี่ยืดอกขึ้น และขณะที่เสื้อเกราะห่วงร้อยของเขากระทบกันเสียงดัง เขาก็ตอบรับ “ขอรับ ลอร์ดเบนจามิน”
ยามที่แกรี่เดินผ่านพวกเขาไป ลูเซียนก็ได้ยินเบนจามินบ่นพึมพำเสียงเบา “เจ้าพวกคณะไต่สวนแสนยโสนั่น! นอกจาก ‘คาถาตรวจสอบกับดักเวทมนตร์’ แล้วพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะคิดใช้ ‘คาถาตรวจสอบประตูลับ’ เพื่อตรวจอีกครั้งด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ควรจะไร้ความรับผิดชอบเพียงเพราะนางเป็นผู้ฝึกใช้มนตราสิ”
แกรี่ใช้กล้ามเนื้อที่แข็งแรงของเขาพังผนังลงอย่างง่ายดาย
อัศวินอีกคนชักดาบหนักๆ ของเขาออกมาแล้วฟาดลงอย่างแรง หลุมดำพลันปรากฏขึ้นตรงมุมผนัง
มันเป็นหลุมแคบๆ กว้างพอให้คนคนเดียวผ่านเข้าไปได้ กลิ่นเหม็นสาบลอยออกมาจากหลุมนั้น ซึ่งทำให้ลูเซียนแทบอาเจียน ลูเซียนถอยหลังมาสองสามก้าว และเขาก็สังเกตเห็นว่าเบนจามินกำลังปิดปากกับจมูกด้วยมือขวา และคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน
แกรี่มองเข้าไปในหลุมแล้วเดินกลับมารายงาน “อุโมงค์นำไปยังท่อน้ำเสียขอรับ”
คิ้วเบนจามินยังคงไม่คลายปม เสียงอู้อี้ของเขาดังมาจากปากที่ถูกปิดไว้ “เจ้าแน่ใจหรือ”
“ขอรับ เรามองเห็นท่อน้ำเสียจากตรงนี้” แกรี่ตอบอย่างมั่นใจ
ในฐานะบาทหลวงผู้สูงส่งสง่างามจากตระกูลราฟาติซึ่งมีเกียรติประวัติและก่อตั้งมายาวนาน เบนจามินจึงไม่ค่อยเต็มใจจะลงไปยังท่อโสโครกเหม็นหึ่งนี้ อีกอย่างคือ ตัวเขาเองยังไม่เชี่ยวชาญเวท ‘ชำระล้าง’ โดยโครงสร้างแล้ว เวทศักดิ์สิทธิ์หลายเวทประกอบขึ้นจากคาถา การออกท่าทาง และวัสดุอุปกรณ์สำหรับการร่ายเวท แต่มิมีผู้ใดรู้ได้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเจอห้องลับของแม่มด
‘อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงผู้ฝึกใช้มนตรา ใช้เหรียญตรานักบุญแห่งความจริงก็คงพอ’ เบนจามินคิดด้วยความกังวลเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองลูเซียน แล้วคลายมือที่ปิดปากออก เสียงเขาฟังดูทรงอำนาจและเคร่งขรึมอีกครั้ง “ลูเซียน เจ้าเคยอาศัยอยู่ใกล้กับแม่มดชั่วร้ายนั่น สิ่งไม่ดีบางอย่างต้องทำให้เจ้าแปดเปื้อนเป็นแน่ เจ้าจำต้องไถ่บาปก่อนจึงจะได้รับการชำระล้าง ทว่าความทุ่มเทอุทิศตนให้กับพระผู้เจ้าของเจ้าทำให้ข้าซาบซึ้ง และเจ้าก็ควรได้รับโอกาสในการชำระล้างสิ่งชั่วร้ายข้างล่างนั่นเช่นเดียวกับตัวเจ้า ไปเถอะ ลูเซียน ข้าจะให้เจ้ายืมเหรียญตราของข้าเพื่อช่วยเจ้า ขอให้พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครอง”
สมองของลูเซียนเริ่มส่งเสียงอื้ออึงราวกับว่ามันเพิ่งถูกทุบตี เขานึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีหลังจากที่เขาไปหาบาทหลวงเบนจามินและเหล่าอัศวิน ทว่า ท่านบาทหลวงบอกให้เขาลงไปในนั้น! เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่เพิ่งจะหายจากความเจ็บไข้ ‘เขาบอกให้ฉันลงไปใต้ดินเพื่อเผชิญหน้ากับปีศาจ! นี่พวกเขาล้อเล่นใช่ไหม’
เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงและลังเลของลูเซียน เบนจามินจึงถามอย่างมีเมตตา “เจ้าจะปฏิเสธหรือ”
ลูเซียนรู้สึกผวาเมื่อได้ยินเสียงอ่อนโยนของเบนจามิน ถ้าเขาปฏิเสธ เขาอาจจะกลายเป็นศพตรงนี้เลยก็ได้ อีกอย่าง เบนจามินจะให้เขายืมเหรียญตราเวทมนตร์และอัศวินของเขาก็สมควรจะต้องไปจัดการกับความคั่งแค้นโศกเศร้าที่หลงเหลืออยู่ของผู้ฝึกใช้มนตรากับลูเซียนด้วย ลูเซียนคิดว่าภารกิจนี้อาจไม่อันตรายเท่าใด
ไม่ว่าการที่เบนจามินไม่อยากลงไปนั้นเป็นเพราะเขาคิดว่าท่อน้ำเสียสกปรกโสโครก หรือมีความคิดอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่ลูเซียนจะปฏิเสธ
ลูเซียนสะกดกลั้นโทสะในใจ แล้วเค้นรอยยิ้มขื่นก่อนตอบว่า “ไม่เลย นั่นถือเป็นเกียรติของข้าขอรับ”
บาทหลวงหนุ่มทำเป็นไม่สนใจความขมขื่นของลูเซียน เขาดึงเหรียญตราออกจากคอแล้วยื่นมันให้ลูเซียน “นี่คือเหรียญตรานักบุญแห่งความจริง ข้าจะร่ายมนตร์อวยพรให้เจ้าด้วย เพื่อที่เจ้าจะได้มีสมาธิมากขึ้น เมื่อเจ้าร่ายคาถาแล้วแตะเหรียญตรา เจ้าจะเรียกใช้พลังแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้”
ได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนจึงใจเย็นลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เริ่มนึกสงสัยเกี่ยวกับเหรียญตรา
มันเป็นเหรียญตราทำจากทองที่สลักลายไม้กางเขนสีขาวส่องประกาย รอบๆ ไม้กางเขนคือเส้นสายแนวนอนแนวตั้งและลวดลายแตกต่างกัน เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม แต่ละอย่างเชื่อมต่อกันและกัน เกิดเป็นรูปร่างที่ดูเคร่งขรึมและลึกลับ
พอลูเซียนได้ถือเหรียญตรา เขาก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนและพลังอบอุ่นที่แทรกซึมไปทั่วสรรพางค์กาย แม้ว่าสายลมยามเที่ยงคืนจะหนาวเหน็บ แต่ลูเซียนกลับรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์อบอุ่น
“ในเหรียญตราบรรจุเวทระดับต่ำสองเวทคือ เวทแสงและเวทรักษาแผลเล็กที่สามารถใช้ได้สามครั้งต่อวัน และมีเวทระดับหนึ่งอีกสามเวทคือ เวทโล่แห่งแสง เวทดาบแห่งแสง และเวทลำแสงศักดิ์สิทธิ์ แต่ละเวทใช้ได้เพียงวันละครั้ง ทีนี้ เจ้าจงตั้งใจฟังคำร่าย”
ในเมื่อไม่มีทางอื่นให้ถอย เวทมนตร์แต่ละอย่างนี้จึงสำคัญต่อลูเซียนมาก เขาจึงตั้งใจฟังคำสอนของเบนจามิน
คำร่ายเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่การออกเสียงให้ถูกต้องนั้นทำได้ยาก และเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะออกเสียงได้โดยไม่ผิดพลาด
เบนจามินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกมาอีกครั้ง
คราวนี้ไม่มีคำร่ายใดๆ แสงสีขาวก็ตกกระทบบนตัวลูเซียน ลูเซียนรู้สึกสดชื่นและแข็งแรงขึ้นมากหลังจากที่แสงนั้นหายไป ในขณะเดียวกัน เมื่อเขาตั้งสมาธิและจดจ่อ เขาก็ได้ยินเสียงผู้คนที่อยู่ไกลออกไปอย่างชัดเจน
“ท่านบาทหลวงให้ลูเซียนลงไปแล้วยังมอบเหรียญตราให้อีกด้วยงั้นหรือ”
“เจ้าไม่ได้ยินหรือไร นั่นคือความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าที่ยอมให้ลูเซียนลงไปและชำระล้างสิ่งชั่วร้ายออกไปจากตัวเขา”
“เราน้อมสรรเสริญพระเจ้า! เราน้อมสรรเสริญท่านบาทหลวง!”
ลูเซียนไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกนี้เท่าไหร่ ดังนั้น หลังจากที่เขาได้รับ ‘พร’ เขาก็รอให้เบนจามินร่ายมนตร์อวยพรให้กับแกรี่และอัศวินอีกสองคนอย่างเงียบๆ
ทุกครั้งก่อนที่เบนจามินจะร่ายมนตร์อวยพรต่อ จะต้องมีช่วงเวลาหยุดพักราวๆ สองถึงสามวินาที
หลังจากเตรียมความพร้อมเรียบร้อย เบนจามินก็กล่าวว่า “พอล เจ้าเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ส่วนแกรี่ ฮาวสัน โคเรลลา พวกเจ้าไปกับลูเซียน”
ในตอนนั้นเองที่สีหน้าเขากลายเป็นจริงจังขณะที่เขาวาดมือเป็นรูปสัญลักษณ์ไม้กางเขนบนอก “ขอให้แสงสว่างแห่งพระผู้เป็นเจ้าอำนวยพรพวกเจ้า”
“เพียงความจริงที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์”
อัศวินทุกนายกระตือรือร้นขึ้นและตอบรับเสียงดัง ลูเซียนกลับช้ากว่าเล็กน้อย เขาไม่เชิงปฏิเสธหรือตอบรับ
โชคดีที่เบนจามินไม่สนใจเรื่องนั้น และเฝ้ามองทั้งสี่ค่อยๆ เดินตรงไปยังอุโมงค์ลับที่นำไปสู่ท่อน้ำเสีย
พอล อัศวินอีกนายขยับเข้ามาใกล้เบนจามินแล้วถามเสียงแผ่ว “ลอร์ดเบนจามิน เหตุใดจึงต้องเป็นเขาขอรับ”
อัศวินอย่างแกรี่และคนอื่นๆ ก็สามารถเรียกใช้พลังจากเหรียญตราได้เช่นเดียวกัน แม้ความจริงแล้วพวกเขาจะทำได้ช้ากว่าบรรดาบาทหลวงอย่างลอร์ดเบนจามิน บาทหลวงฝึกหัด หรือพวกนักเวททมิฬ พวกเขาก็ยังดีกว่าเด็กหนุ่มอ่อนแออมโรคเหมือนคนไม่เคยออกกำลังกายคนนั้นมาก หากเบนจามินไม่ต้องการลงไปข้างล่างนั่นด้วยตนเอง เขาก็ยังขอให้แกรี่ ฮาวสัน หรือโคเรลลาลงไปทำหน้าที่แทนได้
บาทหลวงหนุ่มมองไปยังทางเข้าลับ พลางยกมือขวาขึ้นปิดปากกับจมูก แล้วตอบช้าๆ “จิตของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป เขาจะเรียกใช้เวทมนตร์จากเหรียญตราได้ดีกว่า”
“ทว่าเขาแก่เกินกว่าจะเรียนรู้แล้ว”
…
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในเส้นทางลับ กลิ่นเหม็นที่ผสมผสานจากหลายอย่างก็ทำให้ลูเซียนถึงกับอาเจียนออกมาสองครั้ง
“เจ้าอาศัยอยู่ในเขตอาเดรอน แต่กลับไม่ชอบกลิ่นของท่อน้ำเสียเนี่ยนะ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่ข้าคิด ไม่ว่าจะเมืองแห่งบทสวด หรือเมืองอันทิฟเฟลอร์ พวกคนจนไร้ที่ไปจะอาศัยอยู่ในท่อน้ำเสีย” โคเรลลา ชายผมดำผู้มีโหนกแก้มสูง ออกความเห็นอย่างประชดประชัน
ก่อนที่ลูเซียนจะได้อ้าปากตอบโต้ แกรี่ที่เข้าตามหลังมาก็เอ่ยขึ้นว่า “เงียบ”
โคเรลลายักไหล่และหยุดพูด เขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวตามเส้นทางหนึ่งคนเดินแล้วกระโดดออกจากท่อน้ำเสีย
ลูเซียนกระโดดออกไปตาม และเหยียบใส่อะไรบางอย่างลื่นๆ ซึ่งเขาไม่ทราบว่าคืออะไร
ตะไคร่น้ำลักษณะแปลกๆ พวกนี้มีอยู่ทั่วและแสงเปล่งออกมาทำให้พื้นที่ทั้งหมดสว่างขึ้นเล็กน้อย
แกรี่ยังคงพูดเสียงแผ่ว “ข้า ฮาวสัน และโคเรลลาเป็นอัศวินฝึกหัดระดับสูง เราจะพยายามเต็มที่เพื่อปกป้องเจ้า เมื่อใดที่เจ้าตกอยู่ในอันตราย เรียกใช้เวทดาบแห่งแสงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ใบหน้าเขามีเคราสีบลอนด์ประดับอยู่ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขานั้นมีแต่ความสงบและมั่นใจ เขาดูจะได้รับการยอมรับให้เป็นหัวหน้าของอัศวินทั้งสี่
พูดจบ แกรี่ก็กระชับดาบในมือขวาและโล่เล็กๆ ในมือซ้าย เขาขึ้นนำฮาวสัน โคเรลลา และลูเซียน แล้วออกเดินหาต้นตอของเสียงร้องไห้
ลูเซียนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานใดๆ ได้แต่เดินตามพร้อมกับยิ้มเยาะ ‘แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าอัศวินฝึกหัดระดับสูงแข็งแกร่งแค่ไหน’ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ลูเซียนไม่กล้าถามแกรี่ตรงๆ
เสียงร้องไห้คร่ำครวญนั้นดังก้องยิ่งขึ้นในท่อน้ำเสียแคบๆ นี้ ต้นตอของเสียงคล้ายมาจากทุกทิศทาง สำหรับคนทั่วไปแล้ว มันแทบเป็นไม่ได้เลยที่จะบอกทางที่ถูกต้องได้
แต่อัศวินที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษและ ‘พร’ ที่ลูเซียนได้รับทำให้พวกเขาพบต้นตอของเสียงได้อย่างง่ายดาย
ท่อน้ำเสียส่วนนี้เงียบเชียบ ไม่มีใครอาศัยอยู่ในท่อน้ำเสียอย่างที่โคเรลลาพูด
หลังจากเดินผ่านมาแล้วหลายทางแยก ลูเซียนกับคนอื่นๆ ก็มาหยุดอยู่ตรงมุมหน้าตาธรรมดาๆ มุมหนึ่ง
แกรี่จ้องมองผนังที่มีตะไคร่น้ำสีเขียวเข้มปกคลุมอยู่เต็ม พลางบอกลูเซียนด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “เรียกใช้เวทดาบแห่งแสง”
ด้วยรู้สึกหวาดผวาและตื่นเต้น ลูเซียนจึงต้องสงบใจตัวเองภายใต้การช่วยเหลือของพร ก่อนจะเริ่มตั้งสมาธิไปยังเหรียญตราที่ห้อยคอเขาอยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและพลังอ่อนๆ จากในนั้น เขาก็ทาบมือซ้ายบนเหรียญตราแล้วถูมันเบาๆ ในขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยเสียงกระซิบว่า
“กีไซรอน”
ลูเซียนรู้สึกเพียงว่าจิตของเขาหลอมรวมกับเหรียญตราศักดิ์สิทธิ์จนก่อให้เกิดแสงสีขาว แสงสีขาวเล็กๆ มากมายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ก่อนจะรวมตัวกันก่อเป็นรูปดาบแสงที่ส่องประกายเจิดจ้า
‘นั่นคือเสียงฉันเหรอ’ เมื่อครู่นี้เสียงที่ร่ายคาถาและน้ำเสียงที่หลุดจากปากเขาฟังดูทุ้มลึกและแหบต่ำ ลึกลับและแปลกประหลาด ดึงเอาพลังเวทออกมาและแสดงผลเบื้องหน้าจนตัวลูเซียนเองยังตกใจ
ลูเซียนเอื้อมไปจับดาบ เขารู้สึกได้ถึงพลังอันยอดเยี่ยมจนตื่นเต้นท่วมท้น แต่คำสั่งจากแกรี่ก็กระชากเขาให้กลับมายังความเป็นจริง “ใช้พลังจากดาบแสงฟันผนังตรงนั้น ในนั้นไม่มีกับดักเวทมนตร์หรอก นางเป็นแค่ผู้ฝึกใช้มนตรา”
เมื่อมองไปยังจุดที่แกรี่ชี้ ลูเซียนก็ตัวสั่นเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับเวทมนตร์กล้าแกร่งหรือวิญญาณร้ายหรือไม่ จะเกิดเรื่องอันตรายขึ้นหรือไม่เขาก็ไม่รู้เลย
“ขลาดเขลาเสียจริง” โคเรลลาเอ่ยเยาะ
ลูเซียนรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงสูดหายใจเข้าลึก ขบฟันแน่น แล้วกรีดร้องดั่งลั่นในใจ ‘ก็แค่ตาย!’
เขาฟันดาบในมือขวาลงบนผนังลื่นๆ น่าขยะแขยงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
เพียงดาบแสงสีขาวเปล่งประกายเจิดจ้าแตะโดน ผนังหินก็คล้ายเป็นเพียงกองโคลนนิ่มๆ ที่ตัดผ่านได้อย่างง่ายดาย
และในขณะเดียวกัน บางอย่างภายในนั้นที่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ก็ถูกตัดเฉือนไปด้วย ลูเซียนรู้สึกว่าอะไรบางอย่างกำลังแตกหัก และแก๊สสีเข้มก็รั่วไหลออกมา ก่อนจะหายวับไปภายใต้คมดาบ
ทั้งผนังพลันถล่มลงมา
เบื้องหลังนั้นคือความมืดมิด
ทันใดนั้น จุดสีแดงสองจุดที่ให้ความรู้สึกเยียบเย็นและน่าหวาดกลัวแปลกๆ ก็ผุดขึ้นมาท่ามกลางความมืดนั้น
จากนั้นจุดสีแดงเลือดก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่แสนมืดมิดนั้น
ในปากลูเซียนแห้งผาก หัวใจเต้นรัวแรง และฝ่ามือก็ชุ่มเหงื่อ พวกมันดูเหมือนดวงตา!
————————————————