Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 445 ระดับตำนาน
บทที่ 445 ระดับตำนาน
ณ คฤหาสน์บ้านสวน ลูเซียนมองกองจดหมายกองใหญ่แล้วถอนหายใจออกมา หลังจากใช้เวทมนตร์ตรวจสอบจดหมายพวกนี้อย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว ลูเซียนก็เปิดอ่านจดหมายผ่านๆ อย่างรวดเร็ว
“เฟลิเป?” ลูเซียนมองจดหมายในมือและรู้สึกค่อนข้างสับสน เขาไม่รู้เลยว่าทำไมเฟลิเปถึงเขียนจดหมายหาเขา
หรือนี่เป็นการอธิบายเชิงวิชาการ? ในฐานะจอมเวทรุ่นใหม่ที่ได้รับความคาดหวังสูง ทั้งคู่ถือเป็นนักเวทเพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสจะขึ้นเป็นนักเวทชั้นตำนานได้มากที่สุด แน่นอนว่าทั้งคู่เป็นคู่แข่งกัน แต่ทั้งคู่ก็เชี่ยวชาญกันคนละสาขา ธาตุและศาสตร์มืดก็เป็นสองสำนักที่มีความเชื่อพื้นฐานขัดแย้งกันอยู่แล้ว นอกจากครั้งหนึ่งพี่พวกเขาจำเป็นต้องร่วมมือกันเป็นการส่วนตัว ทั้งคู่ก็ไม่ถือว่าอีกฝ่ายเป็นสหายและไม่เคยเขียนจดหมายหากันมาก่อน แทบเป็นไปได้เลยที่เฟลิเปผู้เย่อหยิ่งจู่ๆ ไปเขียนจดหมายหาลูเซียนเพื่ออภิปรายปัญหาเชิงวิชาการ
หรือจะเป็นจดหมายวิพากษ์วิจารณ์หรือข่มขู่อีกฉบับหนึ่ง? ลูเซียนคิดว่าไม่ใช่ทั้งสองแบบ แม้ว่าในฐานะนักเวทศาสตร์มืด ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฟลิเปย่อมเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่น เนื่องจากศาสตร์มืดรับรู้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณในฐานะสิ่งที่ใกล้เคียงกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และเขาก็เย่อหยิ่งเกินไปที่จะทำเรื่องสกปรกเช่นนั้น หากเขามีความเห็นขัดแย้งกับลูเซียนอย่างรุนแรง เฟลิเปก็น่าจะเขียนบทความและโต้แย้งต่อสาธารณะโดยตรง
“น่าสงสัยจริงๆ…” ลูเซียนตรวจสอบจดหมายอย่างรอบคอบอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคำสาป พิษ หรือเวทมนตร์ควบคุมวิญญาณบนจดหมาย แล้วเขาจึงร่าย ‘เวทผูกดวงโหราศาสตร์’ และเปิดใช้เวทป้องกันหลายชั้น ก่อนที่จะเปิดซองจดหมายออกในที่สุด
ปรากฏว่าจดหมายฉบับนี้เป็นเพียงการโต้แย้งทั่วไปแต่ด้วยน้ำเสียงของเฟลิเป ดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรพิเศษสักเท่าไร หรือแม้แต่หลักฐานที่ระบุในจดหมายก็ยังขาดการทดลองสนับสนุนและขัดแย้งกับทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าคลาสสิค อย่างไรก็ตาม ขณะที่ลูเซียนอ่านต่อไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มขมวดคิ้ว
มีการสะกดคำผิดมากเกินไปในจดหมายฉบับนี้ เกือบสามสิบคำในจดหมายเพียงไม่กี่หน้า แม้จะดูเหมือนความผิดพลาดเล็กๆ ซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจเนื้อหาของจดหมาย แต่เขาเองก็ยังรู้สึกคิดมาก เนื่องจากเขาสงสัยเกี่ยวกับจดหมายฉบับนี้แล้วจึงอ่านอย่างละเอียดลอออีกครั้ง
ลูเซียนหยิบปากกาขนนกขึ้นมาตามสัญชาตญาณและเริ่มแก้คำผิดด้วยนะหมึกสีแดง ซึ่งเป็นนิสัยที่เขาสร้างขึ้นหลังจากอ่านบทความของนักเวทฝึกหัดจำนวนมาก
ลูเซียนเคยอ่านบทความของเฟลิเปเฉพาะที่เคยตีพิมพ์เท่านั้น เขาจึงไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีการเขียนจดหมายปกติของเฟลิเปหรือไม่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนที่เย่อหยิ่งแบบเฟลิเปจะส่งจดหมายที่เต็มไปด้วยคำผิดมาให้ศัตรูคู่อาฆาตเช่นนี้ เขาดูเหมือนคนประเภทที่จะไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าศัตรู
ทันใดนั้น ลูเซียนก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ หัวใจของเขาหยุดเต้นไปวินาที อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขายังคงดูสุขุมเหมือนเดิม ไม่ยอมเปิดเผยความรู้สึกภายในหัวใจ
เขาจ้องมองคำที่สะกดผิดและแทนที่ด้วยตัวอักษรที่ถูกต้องในหัวของเขา
และตัวอักษรถูกต้องก็กลายเป็นคำใหม่สองสามคำ
“ปีศาจสมคบคิด… อนุภาคปะทะคลื่น… ความขัดแย้งภายใน… แจ้งสภา…”
ลูเซียนได้เบาะแสบางอย่าง แต่ยังมีตัวอักษรอีกสี่คนที่เขายังคิดไม่ออก
แม้ลูเซียนจะไม่อาจไขปริศนาข้อมูลทั้งหมด เขาก็ได้ข้อมูลมากพอที่จะเข้าใจสถานการณ์ ปีศาจในโลกแห่งวิญญาณพยายามก่อความขัดแย้งภายในสภาเวทมนตร์โดยฉวยโอกาสจากสงครามวิวาทะเรื่องคลื่น-อนุภาค
สำหรับวัตถุประสงค์ของพวกมัน… ลูเซียนเชื่อว่าเป็นเพราะการสืบสวนในเมืองไฮด์เลอร์ของสภาเวทมนตร์
ลูเซียนลูบคางและคิดอยู่ในหัวว่าเรื่องนี้ย่อมหมายถึงปัญหาใหญ่ เฟลิเปต้องการให้เขาแจ้งสภาเวทมนตร์ซึ่งอาจเป็นเพราะเฟลิเปไม่มีความมั่นใจในพลังของลูเซียนหรือตัวเขาเอง เมื่อเผชิญหน้ากับนักเวทผู้ทรงอิทธิพล เช่น ธานาทอส และเทพอสูร นักเวทชั้นอาวุโสก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ความแตกต่างนี้ไม่อาจเติมเต็มได้ด้วยสติปัญญาและกลยุทธ์ ขณะเดียวกัน ลูเซียนก็ตั้งคำถามว่าทำไมฟิลิเปถึงไว้ใจเขา แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าเขาเองก็ร่วมมือกับโลกแห่งวิญญาณด้วยเช่นกัน?
ลูเซียนเก็บจดหมายกลับเข้าใส่ซองแล้วก็โยนทิ้งไป เขาเดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำงาน ลูเซียนเริ่มคิดหาหนทางใช้ประโยชน์จากจดหมายฉบับนี้และเปิดเผยความร่วมมือกันระหว่าง ‘กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวา’ และ ‘โลกแห่งวิญญาณ’
เขาเดินตรงไปยังชั้นหนังสือ ลูเซียนมองไปที่หนังสือเล่มต่างๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับมา เขาก็สังเกตเห็นแถวหนังสือภาษาซึ่งรวมถึงภาษาซิลวานาสโบราณ ภาษาสามัญ ภาษาเมชเคต ภาษาเอลฟ์ ภาษาปีศาจ ภาษาภูตผี…
แล้วช่วงเวลาแห่งการบรรลุก็มาถึง ลูเซียนก็คิดออกว่าความหมายของตัวอักษรสี่ตัวสุดท้ายของเฟลิเปอาจไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น
“ตัวอักษรตัวนี้เป็นตัวอักษรลำดับที่ 2 ของภาษาสามัญ ตัวนี้เป็นลำดับที่ 23 และตัวนี้ 11 และนี่ 6… รวมกันเป็น 223, 116” เมื่อใช้แนวคิดในฐานะนักเวทโหราศาสตร์ ลูเซียนก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือคู่พิกัด!
มันบอกตำแหน่งสถานที่ภายในเมืองไฮด์เลอร์… คงเป็นทางเข้าช่องโหว่ที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งวิญญาณ!
แผนของลูเซียนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
เขาจะใช้กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาเพื่อให้สภาเวทมนตร์พบเบาะแสเกี่ยวกับโลกแห่งวิญญาณ ในกรณีนี้ เขาจะปลอดภัย เนื่องจากเขาสามารถยื่นจดหมายฉบับนี้ต่อสภาเวทมนตร์ได้โดยตรง และแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรนอกเหนือจากจดหมายฉบับนี้ ดังนั้น หากสภาเวทมนตร์ตัดสินใจจะปิดปากใคร ก็คงไม่ใช่เขา
ขณะเดียวกัน เขาก็มีแผนที่ใหญ่กว่าในหัว เขาจะเปิดโปงผู้วางแผนอันตรายนี้ในกลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาซึ่งร่วมมือกับปีศาจ กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาจะตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาเวทมนตร์อาจใช้โอกาสนี้และรวมกลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาเข้ามาในระบบ เพื่อป้องกันภัยคุกคามครั้งนี้และในอนาคต
…
ด้วยบรรยากาศที่มืดครึ้ม หินสลักบนหลุมศพสีเทาตั้งอยู่บนที่ราบรกร้าง ซึ่งดูทั้งเปล่าเปลี่ยวและน่าสังเวช
ณ สุสานขนาดใหญ่ยักษ์ ‘ธานาทอส’ วิเซนเต มิรันดา กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ พยายามจะทำให้มังกรสีเขียวทรงพลังที่อยู่ตรงหน้าเขากลายเป็นอสูรหุ่นเชิด
เขาไม่มีเนื้อ มีเพียงชั้นผิวหนังบางๆ สีซีดเผือดคุมกระดูก ดวงไฟเปลวเพลิงสีแดงเข้มในเบ้าตาทั้งสองข้างลุกโชนขึ้น แล้วสายลมแห่งความตายที่พัดข้ามพื้นที่ราบก็พลันหยุดลง พร้อมกับเวทมนตร์ชั้นตำนานที่เขากำลังร่าย
มังกรสีทองร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด และกำลังจะใช้โอกาสนั้นกางปีกบินหนีไป!
วงเวท ‘สิบสองวงจรชีวิตมิรันดา’ ก็เป็นแสงออกมาทีละวงๆ และกักขังมังกรที่ทรงพลังตัวนี้ไว้ภายใน
เมื่อเห็นว่ามันไม่อาจหนีไปไหนได้ ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าก็ผุดขึ้นในดวงตาสีทองของมังกรตัวนี้ แล้วร่างของมันก็เริ่มขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว
ตู้ม!
พลังของระเบิดรุนแรงมาก จนกระทั่งทั้งสุสานดูเหมือนจะสั่นไหวราวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่! เสาหิน ห้องนิรภัย กำแพง… และทุกๆ อย่างพังครืนลงมา
เมื่อหินและฝุ่นควันจางหายไป สิ่งที่มีวิเซนเต มิรันดา เหลืออยู่ก็มีเพียงกะโหลกศีรษะ วิเซนเตดูค่อนข้างโกรธจัด และยิ่งดูน่าหดหู่ยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากเขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการจับตัวมังกรทองที่มีพลังใกล้เคียงกับระดับตำนาน
อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็สงบสติอารมณ์ลงได้และลอยกลับไปยังอาคารหลักของสุสาน เขาลอยลงยืนบนโลงศพสีดำขนาดใหญ่ แสงรอบตัวเขาทำให้พื้นที่ทั้งหมดสว่างขึ้น แล้วก็มีดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นมา
ชั่วอึดใจที่ผ่านมา ตอนที่เขากำลังจัดการกับมังกร จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจนทำให้เสียสมาธิ ดังนั้น เขาเกือบจะถูกเวทมนตร์ย้อนกลับเล่นงานตัวเอง แม้ว่าเวทมนตร์ย้อนกลับนั้นเพียงแค่ทำให้ใจหาย มากกว่าจะเป็นอันตราย เขาก็ต้องสูญเสียมังกรตัวนั้นไปรวมทั้งร่างของเขาด้วย
เมื่อนักเวทพัฒนาถึงขั้นระดับตำนาน ไม่ว่านักเวทจะเชี่ยวชาญสาขาโหราศาสตร์หรือไม่ ก็จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้อยู่ดี แม้ว่าพลังของโหราศาสตร์จะขัดแย้งกับการสร้างร่างกายและวิญญาณ นักเวทระดับตำนานก็จะต้องพยายามหาอุปกรณ์เวทมนตร์โหราศาสตร์ระดับเดียวกันมาทดแทน มิฉะนั้น นักเวทระดับตำนานผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ก็จะกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดได้ตลอดเวลา
พลังที่โหราศาสตร์มอบให้หนึ่งในข้อได้เปรียบที่โดดเด่นของการเป็นนักเวทที่เหนือกว่าผู้ร่ายเวทหรืออัศวิน หากพลังของผู้ร่ายเวทหรืออัศวินไม่มีพลังการทำนาย หรือครอบครองอุปกรณ์ระดับตำนาน ผู้ร่ายเวทหรืออัศวินก็จะต้องอาศัยเพียงสัญชาตญาณในการคาดการณ์อันตรายในระยะประชิด แต่ก็จะไม่รู้อะไรเลยเมื่อต้องเผชิญกับภัยคุกคามปริศนาที่อยู่ในระยะไกลออกไป
พลังวิญญาณของวิเซนเต มิรันดา ไม่ขัดแย้งกับสายโหราศาสตร์ ดังนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ศึกษาโหราศาสตร์ในเชิงลึก แต่สิ่งที่เขารู้ก็มากเพียงพอที่จะใช้โหราศาสตร์และมีพลังมากเกินกว่านักเวทระดับตำนานคนอื่นที่ยังไม่มีตำแหน่งมหาจอมเวท
เมื่ออยู่ภายในห้องนิรภัยสีดำ เส้นทางของดวงดาวก็ค่อนข้างชัดเจน กะโหลกศีรษะที่เหลืออยู่ของวิเศษก็ผงกหัวอยู่กลางอากาศ แล้วก็คาดเดาผลได้ในไม่นาน
“พายุ… ความโกลาหล… เฟอร์นันโด… การโจมตีทำลายล้าง…”
เปลวเพลิงสองดวงในหัวกะโหลกวูบวาบไปมาหลายครั้ง แล้ววิเซนเตก็พูดกับความมืด
“คอนกุส โรเจริโอ เดอมาร์ท อะดอล… มาพบข้า”
ฝาโลงศพก็เปิดออกอย่างรุนแรง ศพยักษ์ที่หมอกสีดำรอบตัวก็กระโดดออกมา ในหมอกนั้น มีศพจำนวนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันเป็นศพยักษ์ ทั้งหมดรวมเป็นศพของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาด เช่น มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และภูตผี…
สดจากต้นนี้สูงเท่ากับครึ่งหนึ่งของภูเขาและมีบรรยากาศที่อันตรายวนเวียนอยู่รอบตัว ราวกับว่ามันสามารถดูดพลังชีวิตทั้งหมด หัวกะโหลกของวิเซนเต ลอยลมบนส่วนหัวสุดของมัน ราวกับเป็นมงกุฎสีซีดเผือด
พลันศพยักษ์ก็พลันลืมตาเบิกโพลง และดวงไฟสีแดงเข้มสองดวงก็ลุกโชนในเบ้าตา
มีเพียงความเงียบและความมืดเท่าที่หลงเหลืออยู่ในอวกาศ
…
ณ ชั้นสามสิบสามของสำนักงานใหญ่ของสภาเวทมนตร์
“อาจารย์ขอรับ ข้าได้รับจดหมายจากเฟลิเป” ลูเซียนบอกกับเฟอร์นันโดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องทำงาน
“จดหมายอะไร?” เฟอร์นันโดถามด้วยสีหน้าแปลกใจที่ทั้งเคร่งเครียดและสับสน
“เขาใช้ข้อความลับในจดหมาย บอกข้าว่ากลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาได้มีข้อตกลงกับปีศาจในอวกาศสีขาวดำปริศนา พวกเขาจะปลุกปั่นความขัดแย้งภายในสภาเวทมนตร์โดยใช้ประโยชน์จากสงครามวิวาทะเรื่องทฤษฎีอนุภาคและคลื่น เฟลิเปกังวลว่าจะไม่สามารถควบคุมได้มิติปริศนานั้นได้ ดังนั้น เขาจึงเลือกอยู่ข้างสภาและบอกคู่กัดทางเข้ามิตินั้นกับข้า” ลูเซียนพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความ แต่ก็มีเจตนาบรรยายให้กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาเป็นผู้ริเริ่มแผนการ
เฟอร์นันโดพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงเขาแฝงไปด้วยความโกรธ “แล้วทำไม…?”
“อะไรขอรับอาจารย์?” ลูเซียนค่อนข้างประหลาดใจกับท่าทีตอบรับของเฟอร์นันโด จากที่ลูเซียนรู้จักอาจารย์ของเขามา เฟอร์นันโดควรจะโกรธจัดมากแล้วในตอนนี้
เฟอร์นันโดมองออกไปนอกหน้าต่างและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ห้านาทีก่อนที่เจ้ามา วิเซนเตกับคอนกุสและคนอื่นๆ มาหาข้า เขาขอให้มีการเรียกประชุมสภาสูงสุด”
“อะไรกัน?” ลูเซียนไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
เฟอร์นันโดพ่นลมหายใจออกมา “วิเซนเตจับตัวปีศาจทั้งหมดในหัตถ์ไร้ชีวาที่มาจากมิติปริศนา และโยนความผิดทั้งหมดให้กับคอนกุส โรเจริโอ และคนอื่นๆ อ้างว่าทำให้เขาเข้าใจผิด แล้วเขาก็สารภาพความลับทั้งหมดของโลกแห่งวิญญาณ แล้วบอกข้าว่าที่นั่นเป็นมิติที่เต็มไปด้วยอันตราย พวกเราถึงต้องใช้เวลาสำรวจกันยาวนาน”
“…แล้วท่านคอนกุสล่ะขอรับ? เขาว่าอย่างไร?” ลูเซียนไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขามาถึงที่นี่เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ หลังจากอ่านจดหมาย เรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้อย่างไร? พวกเขาจับตัวเฟลิเปไว้หรือไม่?
เฟอร์นันโดส่ายศีรษะ “คอนกุสและคนของเขายอมรับผิด แต่ปฏิเสธเรื่องการบ่อนทำลายสภาเวทมนตร์ เพียงแค่เก็บซ่อนความลับไว้กับตัวไม่ทำให้พวกเขาต้องโทษหนัก ขั้นตอนต่อไปคือการสืบสวนปีศาจเหล่านั้น…”
เฟอร์นันโดหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็มองที่ลูเซียน
“ถ้าเจ้าไม่รู้วิธีป้องกันตัวเองโดยใช้โหราศาสตร์ ก็อยากคิดเป็นปรปักษ์กับนักเวทระดับตำนานอีก โดยเฉพาะเมื่อเจ้าพยายามจะเอาชีวิตฝั่งตรงข้าม”