Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 469 “การโต้วาทีเวทวิทยา
บทที่ 469 “การโต้วาทีเวทวิทยา”
แม่น้ำโซลนาไหลไปเงียบๆ หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตหนึ่งในสามของคาบสมุทรเออร์โด หุบเขาแม่น้ำหลายแห่งก็ก่อตัวขึ้นตลอดสายน้ำ ในหุบเขาที่มีชื่อเดียวกับแม่น้ำลายนี้ หุบเขาโซลนา มีนครรัฐตั้งอยู่สองสามแห่ง เนื่องด้วยความสมบูรณ์ของทรัพยากรแหล่งน้ำและพื้นดิน หุบเขาโซลนาก็กลายเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดรองจากเมืองโปลิทาวน์
ด้านหน้าของอารามบูชาเทพเจ้าแห่งสงครามที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ณ เมืองฮูซัม มีพื้นที่ลานกว้างขนาดใหญ่และมีเวทีตั้งอยู่ภายใน ผู้คนสวมเสื้อป่านรวมตัวกันอยู่โดยรอบด้วยความสมัครใจเพื่อสนับสนุนเทพเจ้าองค์ต่างๆ ที่ตนบูชา ทหารของจักรวรรดิแองโกนอร์มายืนรักษาการณ์ในชุดเกราะทองแดงด้วยท่าทางเฉื่อยชา ไม่ได้สนใจการปะทะพอหอมปากหอมคอระหว่างกลุ่มผู้ศรัทธาต่างๆ ราวกับว่าพวกทหารหวังให้เหล่าคนนอกรีตพวกนี้สังหารกันเอง ซึ่งจะได้ยุติปัญหาไปได้มาก
บนเวทีมีผู้นำนักบวชแปดคนนั่งอยู่ ซึ่งแต่ละคนเป็นตัวแทนของเทพเจ้าที่เหลืออยู่แปดพระองค์ของชาวบาร์ริล ซึ่งประกอบด้วยเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เทพเจ้าแห่งฟ้าร้องและสายฟ้า เทพเจ้าแห่งพายุ พระแม่แห่งปฐพี เทพเจ้าแห่งยมโลก เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และความยุติธรรม เทพเจ้าแห่งปัญญา และเทวีแห่งความรักและการให้กำเนิด นักบวชทุกคนกำลังเฝ้ารอการเริ่มโต้วาทีอยู่บนเก้าอี้เงิน หากพวกเขาไม่อาจคว้าชัยในการโต้วาทีครั้งนี้และช่วยให้เทพเจ้าของตนได้เข้าเป็นหนึ่งในไตรเทพ เทพเจ้าของพวกเขาจะถูกเทพเจ้าแห่งสงครามขับออกจากหุบเขาโซลนา เมื่อเวลาผ่านไป เทพเจ้าที่ถูกเนรเทศก็จะค่อยๆ สูญเสียผู้ศรัทธาและดับสลายลงในที่สุด มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นอวตารของวิหารแองโกนอร์มาเนื่องจากการถูกกลืนศาสนา
แม้เทพเจ้าทั้งหมดต่างรู้ดีว่าการเลือกไตรเทพเป็นเพียงกลยุทธ์ของเทพแห่งสงครามที่ต้องการสร้างความแตกแยกและรวมศูนย์อำนาจการปกครอง ท้ายที่สุด เทพเจ้าทั้งหมดก็จะถูกกลืนเข้าสู่วิหารแองโกนอร์มา แต่ก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งเรื่องนี้ เพราะนี่คือผลกรรมที่เลือกเอง นอกจากนี้ พวกเทพเจ้าก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้างหากได้ขึ้นเป็นหนึ่งในไตรเทพ เมื่อมีชีวิตรอด ก็อาจสามารถรวบรวมผู้ศรัทธาหน้าใหม่ในหุบเขาโซลาได้อีกจำนวนมาก และในอนาคต เทพเจ้าพวกนี้ก็อาจมีโอกาสขึ้นมามีอำนาจแทนเทพเจ้าของวิหารแองโกนอร์มา
ผู้นำนักบวชที่เป็นตัวแทนเทพแห่งสงครามและกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทองที่ตั้งอยู่สูงสุดเป็นสตรีรูปงามผมสีน้ำตาลคนหนึ่ง อาภรณ์ตามสมัยนิยมของแองโกนอร์มาของนางเว้าสูงขึ้นถึงบริเวณเอวและเพื่อให้เห็นช่วงขาที่ยาวเรียวอ่อนช้อยเนียนตา
นางคือนีน่า นักบวชหญิงระดับสูง ผู้นำนักบวชลำดับที่สองในวิหารแองโกนอร์มา ประจำเมืองโปลิทาวน์
“ขอถวายความเคารพแด่เทพแห่งสงครามผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าแห่งความขัดแย้งและการทำลายล้างทั้งหลาย” แกนนำนักบวชทั้งสิบหกคนที่สังกัดเทพเจ้าแปดองค์โค้งคำนับลงพร้อมกัน ไม่ต่างจากที่ทุกคนเคยโค้งคำนับให้กับอะวันโด เทพแห่งไฟและการทำลาย
หลังจากนางแสดงการระบำสงครามข่มขวัญศัตรูถวายแด่เทพแห่งสงครามแล้ว นีน่าก็กำลังจะประกาศเริ่มการโต้วาที
ในจังหวะนั้นเอง ชายผมดำในชุดเสื้อคลุมขาวล้วนสองคนก็เดินมาหน้าเวทีและกล่าวต่อองครักษ์ด้วยเสียงดังลั่น “ปล่อยเราเข้าไป! เทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปส่งเรามาร่วมโต้วาที”
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน คงเป็นของเทพเจ้าเทียมเท็จ องครักษ์ ไล่พวกมันออกไป!” น็อบ นักบวชของเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ ตะคอกใส่
พลังของเทพเจ้า อาซิน อยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับเทพเจ้าที่เหลืออยู่ทั้งหมดแปดพระองค์ ดังนั้น การเผชิญหน้ากับคู่แข่งขันที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า นักบวชเฒ่าอย่างน็อบยังไม่พึงปรารถนา
ในฐานะผู้ศรัทธา ฟรานซิสก็รีบชำเลืองมองลูเซียนเพื่อให้ประกาศสุนทรพจน์ที่เตรียมไว้
ลูเซียนมองเข้าไปในตาของน็อบอย่างไม่หวาดกลัวแล้วจึงกล่าวขึ้น “ท่านไม่มีอำนาจตัดสินใจ มีเพียงเทพเจ้าแห่งสงครามผู้เรืองอำนาจเท่านั้นที่ตัดสินได้ว่าเราสามารถเข้าร่วมโต้วาทีได้หรือไม่ ท่านกล้าดีอย่างไรถึงพูดเช่นนี้ต่อหน้าหัวหน้านักบวชของเทพเจ้าแห่งสงคราม”
ฟรานซิสประหลาดใจเล็กน้อย สิ่งที่ลูเซียนเพิ่งพูดไปไม่เหมือนกับที่พวกเขาเตรียมกันไว้ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม มันดีกว่านี้อีก และดูเหมือนว่าชายที่ชื่อลิเวียธานคนนี้สามารถด้นสดได้ดีทีเดียว
ด้วยความตกตะลึงและความกลัว หัวหน้านักบวชจากเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์จึงปิดปากเงียบลงในทันใด
ลูเซียนหันไปทางนีน่าและกล่าวด้วยความจริงใจ “ข้าแต่ท่านหญิงนีน่า เทพเจ้าแห่งสงครามรับสั่งกับพวกเราว่าเทพเจ้าทุกองค์ที่เผยแพร่คำเทศนาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้สามารถเข้าร่วมการโต้วาที ข้าเข้าใจผิดหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่เลย” นีน่าตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเพียงสั้นๆ
ลูเซียนยิ้มออกมา “เทพเจ้าของพวกเรา เทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปก็มีเหล่าผู้ศรัทธาอยู่ในหุบเขานี้เช่นกัน กรุณาให้เราเข้าร่วมโต้วาทีด้วยเถิดขอรับ”
“เจ้าจงพิสูจน์ก่อน” นีน่าไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากการเพิ่มเทพเจ้าเข้ามาในการโต้วาทีอีกสักหนึ่งองค์ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อแผนการของเทพเจ้าแห่งสงคราม แต่กลับจะช่วยปลุกปั่นความขัดแย้งและเป็นประโยชน์ต่อการกลืนศาสนาในอนาคต
ลูเซียนยกมือขวาขึ้น แอนฮิวซ์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งก็เริ่มปรบมือสรรเสริญ พอได้ยินเสียงปรบมือ เราอดีตผู้ศรัทธาลับของเทพเจ้าแห่งไฟและการทำลายก็เริ่มปรบมือและสรรเสริญแอล เทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป เสียงดังลั่น
น็อบกับหัวหน้านักบวชคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาไม่คาดคิดว่าเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปซึ่งเป็นชื่อและตำแหน่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จะมีอิทธิพลมากถึงเพียงนี้
พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปที่เรียกกันนั้นแท้จริงแล้วก็คือเทพอะวันโด เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลายองค์ก่อน เนื่องจากไม่เคยมีเทพเจ้าที่เปลี่ยนเทวภาพของตนมาก่อน โดยเทวภาพเป็นตัวสะท้อนถึงพลังและอาคมต่างๆ ของเทพเจ้า ฉะนั้น แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อเทพเจ้า แต่เทวภาพของเทพเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิม นอกจากนี้ การเปลี่ยนชื่อเทพเจ้าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเทพเจ้าได้กลืนกินเทพเจ้าองค์อื่น และต้องการสร้างร่างจุติใหม่เพื่อดูดซับความศรัทธาที่มีอยู่ก่อน
อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปดูเหมือนจะแตกต่างจากไฟและการทำลายโดยสิ้นเชิง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะนึกถึงว่าแอลจริงๆ แล้วก็คือตัวตนใหม่ของเทพอะวันโด
ภายใต้สายตาอาฆาตมาดร้ายของนักบวชคนอื่นๆ ลูเซียนเดินขึ้นบนเวทีพร้อมกับฟรานซิสและนั่งลงบนเก้าอี้เงินที่เสริมเข้ามา
นีน่ากล่าวกับนักบวชทุกคน “การโต้วาทีในวันนี้จะแยกพระเจ้าเที่ยงแท้ออกจากพระเจ้าเทียมเท็จ มีเพียงพระเจ้าเที่ยงแท้เท่านั้นที่สมควรได้รับการศรัทธาจากผู้คน เทพเจ้าแห่งสงครามมีรับสั่งว่าจักรวาลเกิดขึ้นมาจากสามสิ่ง ฉะนั้นแล้ว จึงสมควรมีผู้ชนะสามฝ่าย”
ถึงจะพูดออกมาเช่นนั้น ไม่ว่าการโต้วาทีจะเป็นไปอย่างไร เทพเจ้าแห่งสงครามก็จะเป็นผู้ครองอำนาจเป็นใหญ่ เนื่องจากผู้ชนะจะถูกตัดสินตามคำพยากรณ์ของเทพเจ้าแห่งสงคราม
“เทพเจ้าของข้าคือดวงอาทิตย์ แสงสว่างเรืองรองของพระองค์หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งบนพื้นดินและขับไล่ความมืดมิด ดั่งเช่นเปลวไฟ พระองค์คือแสง คืออำนาจแห่งการลงทัณฑ์ พลังแห่งแสงทำให้เราค้นพบแสงสว่างและความยุติธรรม ด้วยเหตุฉะนี้ เทพเจ้าของข้าจึงเป็นผู้ควบคุมบงการเทพและมนุษย์ พลังของเทพเจ้าของข้านั้นแข็งแกร่งเกินกว่าเทพอีกเจ็ดองค์อย่างไร้ข้อกังขา” หัวหน้านักบวชของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และความยุติธรรมชิงกล่าวขึ้นก่อนคนอื่น บรรยายถึงพลังของเทพเจ้าของเขาเพื่อน้อมนำเหล่าผู้ศรัทธา
เหล่าผู้ศรัทธาที่ไร้การศึกษาต่างก็พยักหน้า พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ก็สามารถเห็นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าในแทบทุกวัน ดวงอาทิตย์ทำให้พวกเขาอบอุ่นและแตกต่างกับความมืดมิดคนละขั้ว ดวงอาทิตย์จึงน่าจะมีความสำคัญมาก ดูเหมือนว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และความยุติธรรมก็น่าจะมีพลังสูงมากเช่นกัน และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามาก หากเลือกที่จะบูชาเทพเจ้าองค์นี้
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น นักบวชจากเทพเจ้าแห่งยมโลกก็ก้าวขึ้นมาและกล่าวว่า “เมื่อมีชีวิต ก็ย่อมมีความตาย ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาชนิดไหนหนีรอดจากความตายพ้น ชีวิตช่างสั้น แต่ความตายเป็นนิรันดร์ เทพเจ้าแห่งยมโลกผู้ยิ่งใหญ่เป็นเทพเจ้าที่พวกท่านต้องไปพบหลังจากสิ้นใจ เป็นเทพเจ้าสูงสุดที่พบท่านต้องเคารพในท้ายที่สุด เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนต้องเผชิญ พระองค์มีความสำคัญยิ่งยวดกว่าเทพเจ้าองค์อื่นอย่างชัดเจน”
ทุกคนล้วนกลัวความตาย เมื่อจินตนาการถึงความมืดมิด ความหนาวเหน็บ และความเจ็บปวดที่ทุกคนต้องเผชิญหลังความตาย ผู้ฟังจำนวนมากต่างคล้อยตาม บางทีการเลือกบูชาเทพเจ้าแห่งยมโลกน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และความยุติธรรม เทพเจ้าองค์นี้ดูเหมือนจะทรงพลังและมีความสำคัญอย่างยิ่งตามคำอธิบายของนักบวชผู้นี้
“พื้นปฐพีแบกรับทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ยมโลก ปฐพีแบกรับชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ความตาย ใครก็ตามที่บังอาจเหยียดหยามพระแม่พึงต้องแบกรับความทุกข์ระทมจากความอดอยาก แผ่นดินไหว และแผ่นดินทลาย” นักบวชของพระแม่แห่งปฐพีกล่าวคำข่มขู่ฝูงชน
มาถึงตอนนี้เรื่องของยมโลกก็กลายเป็นเรื่องมายาและห่างไกลจากผู้ฟังเกินไป หากเปรียบเทียบกับหลับนิรันดร์หลังความตาย พวกเขาเข้าใจความรู้สึกท้องว่างได้ดียิ่งกว่า ไม่ต้องเอ่ยถึงพลังทำลายมหาศาลจากเหตุแผ่นดินไหว พวกเขาไม่อาจเปลี่ยนศรัทธาจากพระแม่แห่งปฐพีได้อีกต่อไป
“เทพเจ้าของข้าควบคุมสายฟ้า สายฟ้าที่ทรงพลานุภาพพอจะลงทัณฑ์พวกเทพด้วยกัน มนุษย์ปุถุชนจะไปเหลืออะไร ใครหน้าไหนที่ไม่เชื่อฟังเทพเจ้าพึงถูกลงโทษด้วยสายฟ้าและฟ้าร้องคำราม” นักบวชของเทพเจ้าแห่งฟ้าร้องและสายฟ้าก็กล่าวเชิงข่มขู่อีกคน
นักบวชของเทพเจ้าแห่งพายุก็ไม่พลาดโอกาสนี้เช่นกัน “หากพวกเจ้าคนใดบังอาจแปรพักตร์จากเทพเจ้าแห่งพายุ พระองค์จะส่งพายุมาตลอดสี่สิบเก้าวัน มหาสมุทรจะถาโถมเข้าถล่มเมืองต่างๆ แผ่นดินจะเต็มไปด้วยน้ำ จะไม่มีสิ่งมีชีวิตหน้าไหนอยู่รอด”
นักบวชส่วนใหญ่เริ่มข่มขู่คุกคามผู้ฟังและค่อยๆ ควบคุมพวกเขาด้วยความกลัวแบบที่เคยทำมาตลอด อย่างไรก็ตาม นักบวชของเทพเจ้าแห่งปัญญาและนักบวชของเทวีแห่งความรักและการให้กำเนิดไม่อาจใช้แผนการเดียวกันได้ ทั้งคู่จึงบอกลาการโต้วาทีอย่างสิ้นหวัง
ทั้งสองฝ่ายนั้นเริ่มต้นอย่างไม่มีหวังอยู่แล้ว คำกล่าวเกี่ยวกับความรักและปัญญาไร้น้ำหนักเกินไป
ท่ามกลางสถานการณ์การโต้วาทีที่โกลาหลซึ่งผู้ที่โอ้อวดได้ดีที่สุดกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ฟรานซิสก็รู้สึกค่อนข้างอึดอัดรำคาญใจ เขาส่งข้อความลับให้กับลูเซียนด้วยการควบคุมลมในอากาศ “เมื่อถึงตาเจ้า พยายามโอ้อวดพลังของแอลผู้ยิ่งใหญ่ให้มากที่สุด ใช้ทฤษฎีวัฏจักร สร้าง ควบคุม ทำลาย และคืนชีพตามที่เจ้ารู้”
“ดวงจันทร์สีเงินเป็นพยานการกำเนิดของโลกนี้ ดวงจันทร์เป็นอมตะและมีพลังขับไล่ความมืดมิด รวมทั้งยังดูดซับพลังจากความมืด และนำความสันติสุขมาสู่จิตใจเรา” น็อบกล่าวขึ้นขณะที่เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก หากเปรียบเทียบกับเทพเจ้าองค์อื่น อาซิน ‘เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์’ ก็ไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ เลย เมื่อต้องใช้ข่มขู่ผู้อื่น เทพเจ้าผู้ช่ำชองในเรื่องการข่มขู่คุกคามที่สุดก็คือ เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลาย
ในที่สุด หลังจากรอบแรก ก็ถึงคราวของลูเซียน นักบวชทุกคนหันมามองเขาและรอฟังคำกล่าวสรรเสริญเทพที่ชื่อเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป
ลูเซียนนั่งหลังเหยียดตรงอยู่บนเก้าอี้เงินและกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “ฤดูกาลผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก ในโลกนี้ เมื่อมีการเกิด ก็ยังมีการตาย แต่ก็มีการฟื้นคืนชีพหลังความตายด้วยเช่นกัน และเทพเจ้าของข้าก็คือเทพเจ้าแห่งการคืนชีพ”
นักบวชของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ตัวแข็งทื่อ เขารู้ความหมายของคำนั้นดี ตัวแทนของเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป กำลังจะบอกว่าดวงอาทิตย์เป็นเพียงปรากฏการณ์ แต่การฟื้นคืนชีพคือเป็นหัวใจหลักที่มีสาระสำคัญอย่างยิ่ง
“ความตายไม่ใช่ปลายทางสุดท้าย วิญญาณต่างกันก็ย่อมไปสู่ปลายทางที่ต่างกัน ตามแต่กรรมที่มนุษย์กระทำเมื่อมีชีวิต มนุษย์จะได้รับการพิพากษาอย่างเป็นธรรม ผู้ที่มีจิตใจดีจะหลุดพ้นจากวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด และได้เข้าสู่สวรรค์แห่งเทพเจ้าของข้า เพื่อมีชีวิตที่ยินดีปรีดาชั่วนิจนิรันดร์ ส่วนผู้ที่ไม่ดีไม่ร้ายก็จะกลับมาเป็นเด็กทารกสู่โลก แล้วเติบโตผ่านความรื่นเริงและความเจ็บปวดของชีวิต ขณะที่ผู้ที่ชั่วช้าและสมควรถูกประนามจะถูกลงทัณฑ์ในยมโลก และเผชิญความทุกข์ทรมานไม่รู้จบ…”
“อย่างไรเสีย ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าของข้า ผู้ใดซึ่งประสงค์จะสารภาพบาปด้วยความจริงใจ จะได้รับการช่วยเหลือจากเทพเจ้าของเรา และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้มีความสุขชั่วนิรันดร์ตามที่ข้าเอ่ยไว้”
บรรดาผู้ฟังไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรทำนองนี้มาก่อน พวกเขาค่อนข้างเชื่อในถ้อยคำของนักบวชหนุ่มผู้นี้มากกว่าภาพการทารุณกรรมที่นักบวชคนอื่นๆ ข่มขู่ไว้ เนื่องจากพวกเขาได้เห็นความหวังในชีวิตอันแสนเข็ญ ความหวังที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และได้รับความช่วยเหลือ!
ฟรานซิสประทับใจกับความสามารถของเลวีอาธานอย่างยิ่ง หลังจากเลวีอาธานสามารถสร้างระบบเทวนิยมทฤษฎีเชิงประมวลขึ้นมาจากทฤษฎีวัฏจักรพื้นๆ ของเขา เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบคนที่มีความสามารถในโลกอื่นที่ล้าหลังขนาดนี้
สีหน้าของนักบวชผู้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งยมโลกหมองลงถนัดตา ทฤษฎีดังกล่าวทำให้เทพเจ้าของเขาดูด้อยค่าลงในทันที
เมื่อเหตุการณ์เช่นนั้น น็อบจึงตัดสินใจ หากเขาแพ้ในการโต้วาทีนี้ เขาต้องสูญเสียทุกอย่างไป แล้วทำไมเขาจึงไม่ใช้นิทานปรัมปรานอกรีตเพื่อพลิกสถานการณ์เสียเลยล่ะ
“เทพเจ้าของพวกท่านต่างมีภาระหน้าที่เฉพาะตนในการขับเคลื่อนโลกนี้ แต่ที่เทพเจ้าของข้าเป็นผู้สร้างโลกนี้รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย เทพเจ้าของข้าเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและการรังสรรค์ ในยุคแห่งความมืดมิดสมัยบรรพกาล เทพเจ้าของข้านำแสงสว่างมาสู่ความเงียบอันเป็นนิรันดร์ พระองค์ให้กําเนิดโลกและสิ่งมีชีวิต!” น็อบอ้างอิงจากตำราฉบับหนึ่งของนิทานปรัมปราการสร้างชีวิต โดยไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยาของนีน่าแต่อย่างใด
นักบวชทุกคนที่เหลือต่างล่าถอย ในเมื่อเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์อ้างตนเป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลก แล้วเทพเจ้าของพวกตนจะเอาชนะเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ได้อย่างไร? พวกนักบวชต่างคิดไม่ตกและพยายามคิดหานิทานปรัมปราที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าของตนมานำเสนอ
ในตอนนั้นเอง นักบวชของเทพเจ้าฟ้าร้องและสายฟ้าก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “เอาล่ะ เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์สร้างโลกและสิ่งมีชีวิต แต่เทพเจ้าของข้าสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้ เมื่อทุกสรรพสิ่งจมดิ่งสู่ความมืดมิด มีเพียงผู้ศรัทธาในเทพเจ้าของข้าเท่านั้นที่จะรอดชีวิต”
เขาหยิบยืมทฤษฎีการฟื้นคืนชีพส่วนหนึ่งมาจากลูเซียน
นักบวชของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และความยุติธรรมก็ไปอาจทนอยู่เฉยได้ “เทพเจ้าของข้าเป็นเทพเจ้าที่ดูแลความเป็นไปของโลกและชะลอวันแห่งการทำลายล้าง…”
“เทพเจ้าของข้าคือความมืดมิดและความสงบสุขอันบริสุทธิ์” นักบวชของเทพเจ้าแห่งยมโลกพูดจาถากถางออกมา
“นี่ไม่ใช่การโต้วาทีเทววิทยาเลย… นักบวชพวกนั้นแค่คุยโวกันไปมา” ฟรานซิสนวดขมับและบ่นกับลูเซียนเสียงเบาๆ “ข้าไม่ถนัดเรื่องนี้เลย ที่เหลือแล้วแต่เจ้าเลย”
แม้จะเห็นว่านักบวชคนอื่นๆ กำลังกอบโกยเสียงสนับสนุน ลูเซียนก็ไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด “โลกของเราเป็นเพียงโลกใบเล็กๆ การรังสรรค์ การพัฒนา และการทำลายโลกเล็กๆ ใบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องพิเศษแต่อย่างใด โลกเล็กๆ สามพันใบจึงรวมขึ้นเป็นโลกขนาดกลางหนึ่งใบ และโลกขนาดกลางสามพันใบจึงกลายเป็นโลกขนาดใหญ่อีกหนึ่งใบ อย่างไรเสีย ก็ยังมีโลกขนาดใหญ่อีกนับไม่ถ้วน มากมายไม่ต่างจากเม็ดทรายใต้ท้องแม่น้ำโซลา”
“แต่อย่างไรก็ตาม โลกอันไร้พรมแดนที่บรรจุโลกขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนไว้ภายในก็สร้างขึ้นจากน้ำมือเทพเจ้าของข้า”
“เทพเจ้าของข้าเคยตรัสว่า ‘จงเกิดโลกไร้พรมแดน’ แล้วก็มีโลกไร้พรมแดนเกิดขึ้นจริงๆ”
“เทพเจ้าของข้าเคยตรัสว่า ‘จงเกิดแสง’ แล้วก็มีแสงเกิดขึ้นจริงๆ”
“และเมื่อเทพเจ้าของข้าตรัสว่า ‘ทุกอย่างจนถูกทำลาย’ แล้วทุกสิ่งก็ถูกทำลายไม่เหลือซาก”
หากเป็นเรื่องโม้โอ้อวดกันแล้ว ลูเซียนก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น