Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 53 เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 53 เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์
ยามราตรีก่อนพายุจะมาเช่นนี้ หากมีผู้ใดพบเห็นกลุ่มคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำพร้อมยกหมวกขึ้นปิดบังหน้าตาเช่นนี้ ย่อมคาดเดาว่าคนกลุ่มนี้คือนักเวทฝึกหัดแสนลึกลับและชั่วร้าย พวกเขาจงใจใช้เงามืดจากตึกรามบ้านช่องเพื่อเคลื่อนไหวไปอย่างซ่อนเร้น ดังนั้นแม้จะพบกับขี้เมาเป็นบางครา พวกเขาก็จะถูกมองข้ามไป
แม้ลูเซียนและคนอื่นๆ ไม่คิดสนใจคนพวกนั้นแต่ก็ไม่ลดความระแวดระวังตัวลง เพราะผู้ที่เดินอยู่ในความมืดนั้น หากไม่ใช่คนเมาก็เป็นผู้ที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ ซึ่งอาจเป็นคนที่เลือกเดินไปในเส้นทางด้านมืด นอกจากนี้แล้วยังมีผู้พิทักษ์ราตรี พวกเขามักจะทำตัวเหมือนนกแร้งหิวกระหายที่โฉบไปมาตามมุมมืดยามค่ำคืน ถุงมือสีดำที่พวกเขาสวมอยู่ตลอดนั้นเป็นเหมือนฝันร้ายสำหรับนักเวทและนักเวทฝึกหัดทุกท่านในนครอัลโต้
“ท่านศาสตราจารย์ เส้นทางลับอยู่ในบ้านหลังนี้” ประมาณสิบนาทีต่อมา หลังจากที่พวกเขาต้องเดินผ่านเขตอาเดรอนที่มีแผนผังการก่อสร้างตึกรามบ้านช่องแสนยุ่งเหยิง ทางเดินแสนวกวน และมีแต่สิ่งสกปรกไปทุกหนแห่ง พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าประตูเข้าไปยังเขตขุนนาง แต่นักปราชญ์กลับชี้ไปทางบ้านหลังหนึ่งที่มีสภาพผุพังเหมือนกับตึกโดยรอบนั้น
สำหรับนักปราชญ์แล้ว เขาไว้ใจทั้งน้ำผึ้งและสไมล์ แต่ละคนจึงร่ายคาถาใช้เวทมนตร์ตรวจสอบ หลังจากตรวจดูครู่สั้นๆ จนมั่นใจว่าบริเวณรอบๆ และในบ้านปลอดภัยดี ทุกคนก็ตามนักปราชญ์เข้าไป ตอนที่ลูเซียนเห็นเวทมนตร์ตรวจสอบที่ทั้งสามคนใช้ ก็รู้ได้ว่ามันเป็นเวทมนตร์ตรวจสอบทั้งหมดที่พวกเขามี เว้นก็แต่ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ เขาจึงล้มเลิกการตรวจสอบด้วยตนเอง เพียงแผ่พลังจิตออกมาสัมผัสกับบริเวณรอบๆ เท่านั้น อย่างไรเสีย ข้อเสียของ ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’ ก็คือมันไม่สามารถตรวจสอบภายในบ้านได้
ภายในบ้านแสนผุพังนั้นเต็มไปด้วยหยากไย่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว นักปราชญ์เดินเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่งและกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ “พวกขอทานเคยใช้ที่นี่พักค้างคืน แต่ช่วงหลายเดือนมานี้ ขอทานในนครอัลโต้กลับหายตัวไปเสียอย่างนั้น”
ลูเซียนกับน้ำผึ้งขาวไม่พูดอะไร แต่สไมล์กลับเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “เหตุใดพวกขอทานจึงหายตัวไปกันเล่า พวกเขาจะไปทำอะไรได้กัน”
“ข้าได้ยินมาว่ามันเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจ” นักปราชญ์ตอบอย่างไม่ยี่หระ ท่าทางคล้ายผู้ที่รู้ข้อมูลบางอย่างมาจากวงใน ส่วนลูเซียนกับน้ำผึ้งขาวนั้นยังคงนิ่งเงียบ
เมื่อเข้ามาในห้องนอน นักปราชญ์ก็ย้ายกล่องใบเก่าออกจากที่ของมัน แล้วใช้เวทมนตร์สนับสนุนในการยกเลิกกับดักเวทมนตร์และเปิดทางเข้า
สายลมเย็นๆ พัดโชยมาจากเส้นทางลับโดยไร้ซึ่งกลิ่นเหม็นอับ ดูเหมือนว่าเส้นทางนี้จะถูกใช้เป็นประจำ
‘นักปราชญ์เป็นคนที่อยู่ในเขตขุนนางแล้วใช้เส้นทางลับนี้เพื่อไปร่วมการชุมนุมผ่านทางเขตอาเดรอนอย่างนั้นหรือ’ นั่นคือความคิดที่ผุดขึ้นในใจของลูเซียนและคนอื่นๆ แต่ไม่มีใครอยากแสดงความโง่งมออกไปด้วยการถามเรื่องนั้นตรงๆ
หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง ทุกคนก็ตามนักปราชญ์เข้าไปในเส้นทางลับ ก่อนจะปิดทางเข้าเอาไว้
เส้นทางลับนั้นราบเรียบ มีตะไคร่น้ำเรืองแสงเหมือนในท่อระบายน้ำปลูกไว้ และแสงเรืองรองเย็นเยียบก็ทำให้ผู้คนอดรู้สึกหวาดหวั่นจนกายสั่นสะท้านไม่ได้
ลูเซียนและอีกสองคนสังเกตเห็นว่าทุกๆ สิบเมตรจะมีวงเวท ‘เวทละลายหินอย่างอ่อน’ ผนึกอยู่เหนือศีรษะ
วงเวทแบบง่ายนี้สามารถกระตุ้นให้บังเกิดผลได้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ใช้พลังจิตก็ตาม
ด้วยสัมผัสได้ถึงสายตาสงสัยใคร่รู้ของศาสตราจารย์ น้ำผึ้งขาว และนกฮูก นักปราชญ์จึงอธิบายด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังยิ้มแย้ม “วงเวทพวกนี้มีไว้เพื่อทำลายเส้นทางลับหากเกิดเหตุฉุกเฉิน มันจะได้ไม่ถูกค้นพบ”
“ข้าชอบความรอบคอบและใส่ใจนี้ของเจ้าจริงๆ” ลูเซียนชื่นชมนักปราชญ์ด้วยเสียงแหบแห้งและท่าทางที่เข้ากันกับตัวตนอันแข็งแกร่งของศาสตราจารย์
น้ำผึ้งขาวเองก็ยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าเองก็โล่งใจขึ้นมากเชียว”
…
สิบนาทีต่อมา ลูเซียนและคนอื่นๆ ก็คลานออกมาทีละคนตรงมุมมืดมุมหนึ่งในเขตขุนนางที่มีต้นไม้สูงแผ่ร่มเงาบดบัง และภายใต้การนำทางของนักปราชญ์ที่คุ้นเคยเส้นทางดี ไม่นานพวกเขาก็มองเห็นคฤหาสน์สามชั้นของบารอนโลรองต์ที่ทั้งเก่าคร่ำครึและมีเถาวัลย์ขึ้นเต็มจนให้ความรู้สึกเหมือนบ้านผีสิง
มีทหารยามเฝ้าอยู่หน้ารั้วเหล็กเพียงคนเดียว บนตัวเขาสวมเพียงเกราะหนังธรรมดาๆ แตกต่างจากทหารยามที่ลูเซียนเห็นสวมชุดเกราะโซ่ถักสีเงินยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ขุนนางคนอื่นๆ มากโข หรืออีกนัยหนึ่ง มันก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความขาดแคลนของบารอนโลรองต์นั่นเอง
สไมล์มองสภาพแวดล้อมแล้วเอ่ยแนะ “ที่นี่ห่างไกลจากคฤหาสน์หลังอื่นมาก ทั้งยังมียามเฝ้าประตูเพียงคนเดียว เราน่าจะเข้าไปตรงๆ ได้เลย ท่านศาสตราจารย์คิดว่าดีไหมขอรับ”
“อย่าส่งเสียงดังก็พอ” คำตอบของลูเซียนนั้นคือการอนุญาตให้สไมล์ลองทำดู
นักปราชญ์ที่ใบหน้ายังคงอยู่ภายใต้หมวกเสื้อคลุม คว้าจับแขนสไมล์ไว้แล้วก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนจะพูดด้วยเสียงแก่ชราแต่เปี่ยมรอยยิ้ม “เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่นักเวทฝึกหัดโหราศาสตร์อย่างข้าเถิด ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านศาสตราจารย์”
ลูเซียนหัวเราะเสียงชวนขนลุก “ใช่ งานที่ต้องใช้ฝีมือก็ต้องให้ผู้ที่มีฝีมือจัดการสิ”
แม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดใจกับคำพูดและนิสัยการเรียงประโยคของศาสตราจารย์ แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมายได้และพยักหน้ารับ ในใจคิดว่าก็คงต้องเป็นตามนั้น
เมื่อตอนนี้ศาสตราจารย์ได้ตัดสินใจแล้ว สไมล์จึงทำได้เพียงแบมือยักไหล่ “เช่นนั้น นักปราชญ์ ข้าจะคอยสนับสนุนแล้วกัน”
ลุคยืนง่วงงุนอยู่หน้าประตูรั้วคฤหาสน์ของบารอนโลรองต์ เขาหาวเป็นครั้งคราว และพร่ำบ่นถึงบารอนโลรองต์อยู่ในใจ ‘จัดงานเลี้ยงทุกสองสามวันช่างเป็นหน้าเป็นตาให้กับท่านบารอน เหอะ แต่จ่ายให้ทหารยามแสนซื่อสัตย์ต่อตระกูลโลรองต์แค่เดือนละสิบนาร์เนี่ยนะ ท่านบารอนคนก่อนยังให้พ่อกับปู่ข้าถึงยี่สิบนาร์ต่อเดือนเชียว’
ขณะบ่นในใจและต่อสู้กับความง่วง จู่ๆ ลุคก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแหลมดัง ส่งผลให้เขารู้สึกเย็นวาบจนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะหันไปมองและสบถ “ยังไม่ไปจับหนูกินอีก ชักช้าเป็นยายแก่อายุหกสิบของข้าไปได้”
ลุคมองไม่เห็นอะไรในความมืด แต่เมื่อเขาหันกลับมา ก็พบกับชายลึกลับในชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดห่างออกไปราวสิบก้าว
ใจลุคพลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เขากำลังจะอ้าปากตะโกนร้อง แต่ก็เห็นว่าชายลึกลับในชุดคลุมสีดำเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองสบตากับเขาเสียก่อน
ภายใต้เงาหมวกนั้น จมูก ปาก และแก้มของชายลึกลับนั้นเป็นเพียงภาพลางเลือน มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เขามองเห็นได้ชัดเจน
ในดวงตาสีเข้มฉายแววลึกล้ำพลันปรากฏจุดเล็กๆ ที่เปล่งแสงสว่างนับไม่ถ้วนราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน มันดูซับซ้อนและชวนฝันอย่างยิ่ง
“ดวงดาว…” ขณะมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ใบหน้าลุคแสดงถึงความสับสนมึนงงในทีแรก แต่แล้วก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายคือคนที่เขาไว้ใจและเคารพนับถือมากที่สุด
เมื่อนักปราชญ์เห็นว่าลุคถูกสะกดจิตด้วย ‘เวทเนตรดารา’ แล้ว จึงเดินไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวอย่างเร่งร้อนด้วยเสียงแก่ชรา “เรามาร่วมงานเลี้ยงของท่านบารอน จงเปิดประตูให้พวกข้าเข้าไป อย่าส่งเสียงดัง และอย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้”
“รับทราบความประสงค์ของท่าน นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ” ลุคหันกลับไปช้าๆ เพื่อเปิดประตูรั้ว
จากนั้นลูเซียน นักปราชญ์ น้ำผึ้งขาว และสไมล์จึงเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปอย่างระมัดระวังและเดินตรงไปที่คฤหาสน์มืดทึม
หลังจากพวกเขาเข้าไปแล้ว ลุคไม่ได้ปิดประตูรั้ว แต่หันกลับไปยืนเฝ้ายามด้วยศีรษะตั้งตรง เต็มไปด้วยความจริงจังและกระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเป็น คล้ายกับว่าในใจเขากำลังมีเปลวไฟลุกโชน และต้องการจะทำเพื่อชายลึกลับผู้นั้นมากกว่านี้
…
ประตูไม้ทางเข้าคฤหาสน์ปิดไว้แน่นหนา หน้าต่างทุกบานก็มีผ้าม่านหนาหนักปิดไว้ จึงไม่มีแสงใดเล็ดลอดออกมาได้ ภายในห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยกามตัณหา เสียงหอบหายใจของผู้ชาย เสียงครวญครางของผู้หญิง กลิ่นหอมหวานผสมคละเคล้ากับกลิ่นกายและกลิ่นของเหลวจากร่างกายของผู้คนในนั้น ทั่วทั้งห้องคล้ายมีควันแปลกประหลาดคอยดูดพลังงานอยู่
บนโซฟา พื้นพรม และกระทั่งบนโต๊ะกาแฟต่างมีคู่ชายหญิง ชายชาย และหญิงหญิงที่เกาะเกี่ยวพัวพันขยับไหวกันอย่างรื่นรมย์ บางคนเนื้อตัวเปลือยเปล่า เผยร่างกายทุกส่วนสัด แต่ผู้หญิงบางคนนั้นกระโปรงร่นขึ้นมากองตรงเอวในขณะที่เสื้อผ้าส่วนบนถูกฉีกกระชากออก ก่อนจะถอดออกไปอย่างเต็มใจเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าเกะกะขวางทาง
ท่ามกลางสถานการณ์สับสนวุ่นวาย ผู้คนในนี้ต่างเสพสมอย่างหมกมุ่นบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่า มีเพียงคนคนเดียวที่ไม่สนใจร่างอันงดงามและบรรยากาศชวนฟั่นเฟือนนี้
ชายวัยกลางคนยืนอยู่บนแท่นบูชากลางห้องโถง เขาสวมเสื้อคลุมสีเงิน มือทั้งสองข้างชูขึ้น ดวงตาปิดสนิท ทว่าสีหน้าเขากลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคลุ้มคลั่ง ราวกับกำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงครวญครางและเฝ้าฟังคำสอนสั่งจากใครสักคนที่ไม่มีตัวตน
ควันประหลาดบนอากาศค่อยๆ ลอยมารวมตัวกันที่แท่นบูชา ตรงกลางวงเวทแห่งเขาเงินใต้เท้าชายวัยกลางคน และจากนั้นเส้นแสงสีเงินมากมายก็แผ่พุ่งออกมาปิดล้อมควันประหลาดเหนือตัวชายวัยกลางคน ก่อนที่มันจะเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากควันไร้สีก็เริ่มมีสีแดงผสมกับสีดำ มันลอยม้วนตัวและบิดเป็นเกลียว จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรูปร่างปีศาจสูงใหญ่มีเขาสองเขาบนศีรษะ
“เจ้าพร้อมหรือไม่ ข้าจะมอบพลังให้แก่เจ้า”
ปีศาจตนนั้นโพล่งขึ้น
ชายวัยกลางคน หรือก็คือบารอนโลรองต์ ตอบกลับอย่างคลุ้มคลั่ง “เจ้ามหาลัทธิอาเจนต์ ความเงียบอันนิรันดร์ ข้าได้อุทิศจิตวิญญาณให้แก่ท่านแล้ว ได้โปรดส่ง ‘เทวทูต’ เข้ามาในสายเลือดแห่งข้า ปลุกพลังให้แก่ข้า!”
ปีศาจตนนั้นเป็นเพียงเงาร่างโปร่งแสงลางเลือน มันค่อยๆ ขยับมาใกล้แผ่นหลังของบารอนโลรองต์ ผสานเข้าสู่ร่างกายทีละนิดๆ
บารอนโลรองต์มีสีหน้าเจ็บปวดทรมาน ชัดเจนอยู่แล้วว่าการผสานพลังนั้นไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย ทว่าความเจ็บปวดกลับถูกความหลงใหลคลั่งไคล้ระงับไปอย่างรวดเร็ว ทว่าที่หางตาของเขากลับมีหยาดน้ำไหลออกมา
‘ข้างนอกมีกับดักเวทมนตร์มากมาย ตอนนี้ผู้ใดก็มิอาจหยุดยั้งข้าจากการรับพลังจากเจ้ามหาลัทธิอาเจนต์เพื่อให้ตระกูลของข้ากลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง’
…
ข้างนอกคฤหาสน์ ลูเซียนและคนอื่นๆ ที่ยังเป็นเพียงนักเวทฝึกหัดไม่คิดบุกเข้าไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง พวกเขาช่วยกันตรวจหากับดักเวทมนตร์ วงเวทลับและอื่นๆ
“ท่านศาสตราจารย์ ที่นี่มีกับดักเวทมนตร์เยอะมาก ทั้งยังมีวงเวทกระจายอยู่ทั่ว คงต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะกำจัดพวกมันได้ทั้งหมด” นักปราชญ์เอ่ยความเห็นของตน
ดูเหมือนว่าน้ำผึ้งขาวจะมีอุปกรณ์เวทมนตร์ที่สามารถตรวจจับไอพลังของปีศาจได้ ตอนนี้นางจึงมีท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “เรามาช้าไปเล็กน้อย ไอปีศาจได้ปรากฏขึ้นแล้ว และดูเหมือนว่ามันจะสำแดงพลังได้เต็มที่ในอีกสิบนาที เราจำเป็นต้องบุกเข้าไปตรงๆ ไม่มีเวลาให้เราค่อยๆ ทำลายกับดักเวทมนตร์และวงเวทแล้ว”
“คงทำได้เพียงบุกเข้าไปทำลายกับดักเวทมนตร์ภายใน แต่เรามีพลังจิตเหลือไม่มากพอแล้ว” สไมล์มองไปทางลูเซียน “ท่านศาสตราจารย์ เราคงต้องขอให้ท่านลงมือแล้ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งเช่นท่านเท่านั้นที่จะทำลายกับดักเวทมนตร์และวงเวทได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายที่สุด”
ที่พวกเขามาช้าไปก็เพราะความระมัดระวังตัวตามแบบของนักเวทฝึกหัดขณะเดินทางมา และนั่นก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง นักปราชญ์และน้ำผึ้งขาวมองไปทางลูเซียนตามสไมล์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ความคิดมากมายกลับผุดขึ้นในใจ
‘อุปกรณ์เวทมนตร์ของข้าทำลายได้เพียงวงเวทวงนั้น แต่ยังมีกับดักเวทมนตร์เหลืออีกมาก ข้าจำเป็นต้องบอกท่านศาสตราจารย์จริงหรือ’
‘ท่านศาสตราจารย์เป็นนักเวทจริงหรือไม่’
‘ท่านศาสตราจารย์แข็งแกร่งเพียงใด’
‘หากท่านศาสตราจารย์ไม่ใช่นักเวท ท่านจะหยุดไปร่วมการชุมนุมเพราะหวาดเกรงอาจารย์ของน้ำผึ้งขาวหรือไม่’
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายซับซ้อนอย่างมีความกังวล ความสงสัย และความคาดหวังนั้น ลูเซียนที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างมานานและดูเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่าง แสร้งยิ้มหยันก่อนจะเอ่ยตอบ “ไม่มีปัญหา ข้าจะแก้ไขเดี๋ยวนี้ อีกสักครู่พวกมันก็จะเป็นเพียงของไร้ประโยชน์ พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม”
‘ท่านศาสตราจารย์ช่างมั่นอกมั่นใจ…’
ขณะที่บรรยากาศให้ความรู้สึกแปลกๆ ลูเซียนก็เข้าไปใกล้ตัวคฤหาสน์ ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปทาบกับผนัง จากนั้นจึงอ้าปากร่ายคาถา
คลื่นที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพลันแผ่ออกจากมือลูเซียนเป็นระลอกต่อเนื่อง มันกระทบกับผนังแล้วสะท้อนกลับมาทันที คลื่นที่ส่งตามออกไปจึงค่อยๆ สร้างความผันผวน
เมื่อเห็นว่าลูเซียนในเสื้อคลุมสีดำมีหมวกปิดบังหน้าตา ยืนเอามือทาบผนังของคฤหาสน์ ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นักปราชญ์ น้ำผึ้งขาว และนกฮูกจึงหันมองสบตากัน
‘ท่านศาสตราจารย์ทำอะไรอยู่น่ะ’
ทันใดนั้น น้ำผึ้งขาวก็รู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย จึงถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าตัวสั่นงั้นหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ” นักปราชญ์ตอบกลับด้วยความแปลกใจพอกัน
สไมล์ชี้นิ้วไปทางตัวคฤหาสน์ด้วยความประหลาดใจ “ดูนั่น คฤหาสน์กำลังสั่นสะเทือน!”
น้ำผึ้งขาวและนักปราชญ์หันไปมองในทันที และก็เห็นว่าคฤหาสน์สามชั้นเก่าคร่ำคร่ากำลังเอนไปมา และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาเริ่มได้ยินเสียงกระจกแตก
“แผ่นดินไหวงั้นหรือ”
“ไม่ใช่ พื้นไม่ได้สั่น แต่เป็นคฤหาสน์ต่างหาก!”
“ฝีมือท่านศาสตราจารย์เช่นนั้นหรือ”
หลังจากแลกเปลี่ยนความเห็นกันครู่สั้นๆ น้ำผึ้งขาวก็หันไปมองศาสตราจารย์ที่ยังทาบมือกับผนังและทำให้คฤหาสน์สั่นสะเทือนอยู่ “ดูเหมือนคฤหาสน์ใกล้จะพังทลายแล้ว! นี่มันเวทมนตร์ระดับขั้นใดกัน!”
“ข้าเคยอ่านจากตำราเวทมนตร์ มันบอกว่าแม้แต่เวทลูกไฟระดับสามยังต้องใช้ถึงสิบครั้งกว่าจะทำลายคฤหาสน์ทั้งหลังที่ไม่มีวงเวทแห่งการป้องกันผนึกไว้” นักปราชญ์มองไปทางคฤหาสน์ที่กำลังสั่นสะเทือนและทำท่าจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ และมองศาสตราจารย์ที่ดูลึกลับและทรงพลังมากกว่าเดิมเมื่ออยู่หน้าคฤหาสน์หลังนั้น
สไมล์ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาไม่เคยเห็นเวทมนตร์ประเภทนี้ที่สามารถทำลายคฤหาสน์ได้ทั้งหลังมาก่อนเลย จึงพึมพำกับตนเอง “ทันทีที่คฤหาสน์พังลง กับดักเวทมนตร์และวงเวทก็จะไร้ประโยชน์ ท่านศาสตราจารย์ไม่ได้โกหก”
“ลอร์ดโดโรเพิ่งได้เห็นอะไรกันนี่?!” โดโร นกฮูกที่เกาะอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของสไมล์อุทานก่อนจะถอนหายใจอย่างแรง
บนต้นไม้ไม่ไกลจากคฤหาสน์หลังนั้น อีกาที่ติดตามมาอีกครั้งแทบจะร่วงหล่นลงจากกิ่งไม้อีกครา ก่อนที่น้ำเสียงประหลาดใจจะหลุดจากปากมัน “นี่มันเวทมนตร์ระดับใดกัน?!”
นี่ก็คือ ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ เวทมนตร์ระดับฝึกหัดที่จะประเมินความถี่ตามธรรมชาติ และสร้างคลื่นสะท้อนเพื่อทำลายตัวอาคาร แต่มันใช้ได้ดีที่สุดกับสะพาน!
……………………………………….