Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 532 คำเชิญ
บทที่ 532 คำเชิญ
ณ สาขาของสภาเวทมนตร์ หมู่เกาะสุริยคติ กลางมหาสมุทรไร้พรมแดน…
ขณะที่ภาพอันมืดมิดที่หัวของนักเวทระดับกลางระเบิดต่อหน้าสาธารณชนยังไม่อาจลบออกจากความทรงจำของเบลคได้ทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อาจหยุดฟังรายการ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ และ ‘ความจริงของโลก’ ซึ่งเป็นความบันเทิงอย่างเดียวที่มีบนหมู่เกาะที่ได้รับความนิยมสูงกว่างานเลี้ยงและการเต้นรำ
“ขอสวัสดีทุกท่าน นี่คือรายการสรุปข่าวอัลลินรอบสัปดาห์ และข้า ลาร์ค เพื่อนเก่าของท่าน”
เบลครู้สึกว่าเขามีเพื่อนจริงๆ เพิ่มขึ้นมาอีกคน เมื่อเขาฟังเสียงที่มีชีวิตชีวาและสุขุมนี้ทุกค่ำคืน คนที่เล่าเรื่องราวให้เขาฟังยามดึกและคนที่เขารู้สึกคุ้นเคยแม้ไม่เคยเห็นหน้า
‘ลาร์ค’ สรุปข่าวสำคัญๆ ให้ฟังทีละข่าว และเบลคก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตอนนี้ เขาทั้งดีใจที่มีความคืบหน้าในการศึกษาวิจัยและกังวลถึงสถานการณ์ที่คลุมเครือในราชอาณาจักรโฮล์ม
“…ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เกิดกระแสอันร้อนแรงที่ไม่เคยมีมาก่อนในอัลลิน นักเวทฝึกหัดและนักเวทจำนวนนับไม่ถ้วนแห่ส่งเรซูเมไปยังสถาบันอะตอมและแห่แหนกันขึ้นสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ที่ชั้นสิบแปดของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว สถาบันอะตอมแออัดไปด้วยผู้คนในช่วงนี้ และพวกเขาก็ได้เห็นความสง่างาม ตอนที่เหล่ามหาจอมเวทเข้าประชุมกัน ผู้คนขวางทางเต็มไปหมด”
เสียงที่เยือกเย็นของลาร์คผสมด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพะเมื่อนางอ้างถึง ‘แหล่งข่าว’
“เรซูเมคืออะไร? สอบข้อเขียนและสัมภาษณ์?” เบลคพูดคนเดียวด้วยความสับสน แต่ ‘สถาบันอะตอม’ ทำให้คำน่าสนใจอย่างยิ่ง “น่าจะเป็นสถาบันอะตอมของท่านลูเซียน อีวานส์ ใช่ไหม? เขามีแนวคิดระบบทฤษฎีเปลี่ยนแนวทางอีกแล้วหรือ? ไม่ เพราะมีนักเวทฝึกหัดกับนักเวทเข้ามาเกี่ยวข้อง มันน่าจะเป็นอย่างอื่น”
ลาร์คพูดต่อ “สำหรับผู้ฟังนอกนครอัลลิน ท่านอาจไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าขอสรุปให้ฟังคร่าวๆ ว่า เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม สถาบันอะตอมออกประกาศของ ‘ภารกิจชุมนุมนักเวทฝึกหัด’ โดยตั้งเป้าจะว่าจ้างผู้ช่วยระดับนักเวทฝึกหัดสิบคน ช่วยงานด้านการวิจัยของจอมเวทในสถาบัน”
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือวิธีการคัดเลือกคนของสถาบันอะตอม ท่านจะได้รับแบบฟอร์มเรซูเม ในแบบฟอร์มนี้ ท่านจะต้องเขียนชื่อ อายุ สำนัก ผลการประเมิน และภาพรวมเวทมนตร์ของท่าน แล้วหลังจากผ่านการคัดกรอง ทางสถาบันจะเลือกผู้สมัครที่มีความโดดเด่นเข้ามาสัมภาษณ์…”
เบลคไม่อาจคิดตามลาร์คได้ทันแล้ว สมองของเค้ากำลังวุ่นวาย การประกาศก่อนหน้านี้กำลังบดขยี้กะโหลกของเขาเหมือนกับคลื่นซัดรุนแรง
“สถาบันอะตอมขาดผู้ช่วยระดับนักเวทฝึกหัดอย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าข้าสามารถเข้าสถาบันอะตอมได้และมีส่วนร่วมกับการศึกษาที่ล้ำหน้าในสายจุลภาค คงใช้เวลาไม่นานข้าก็จะเลื่อนขั้นทั้งอาร์คานาและเวทมนตร์ขึ้นเป็นระดับกลาง!”
“ไม่ ไม่ การสัมภาษณ์คงเสร็จสิ้นแล้ว…”
ในสายตาของเบลค หากสถาบันอะตอมต้องการผู้ช่วยระดับนักเวทฝึกหัด คงมีคนต่อแถวตั้งแต่หน้าประตูยาวข้ามตัวเมืองอัลลิน แน่นอน นั่นเกิดขึ้นจริงๆ แต่ตามประสบการณ์ของเขา ทำไมสำนักเวทมนตร์ไม่แนะนำนักเวทฝึกหัดระดับหัวกะทิให้กับสถาบันโดยตรง แทนที่จะประกาศภารกิจแบบเปิดเผยเช่นนี้?
“นั่นหมายความว่าท่านลูเซียน อีวานส์ เป็นบุรุษผู้ซื่อสัตย์และเข้มงวด นี่ต้องเป็นความคิดของเขา ผู้สมัครที่เก่งที่สุดจึงจะได้รับเลือกอย่างเป็นธรรมและเปิดเผย…”
นักเวทฝึกหัดหลายต่อหลายคนที่ไม่โดดเด่นในสำนักเวทมนตร์ เพราะโชคชะตาไม่เข้าข้าง บางครั้งอาจเก่งกว่านักเวทฝึกหัดหัวกะทิในเรื่องความสามารถด้านอาร์คานาและเวทมนตร์เสียอีก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่องว่างตั้งแต่เริ่มต้นศึกษา จึงทำให้พวกเขาไม่อาจไล่ทันพวกหัวกะทิหรือได้รับโอกาสดีๆ ในชีวิต
“นี่แหละข้อเสียของการอยู่ห่างไกลจากอัลลิน น่าโมโหที่มารู้เรื่องเอาเมื่อสายเสียแล้ว…” เบลคถอนหายใจและตั้งใจฟังเนื้อข่าวอีกครั้ง
“…มีรายงานว่ามีนักเวทฝึกหัดมากกว่าห้าร้อยคนยื่นเรซูเมในวันแรก และยังมีนักเวทและนักเวทระดับกลางอีกแปดสิบคนที่สมัครใจเข้าร่วมสถาบันอะตอมในฐานะนักเวทฝึกหัด…”
เบลคไม่ได้คิดเยาะเย้ยพวกเขา เพราะเขาก็คิดเหมือนกันตอนที่เขาได้ยินข่าวนี้ เขากำลังคิดที่จะละทิ้งอภิสิทธิ์ของนักเวทอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมในฐานะนักเวทฝึกหัด แม้ว่าเขาจะต้องรับผิดชอบงานที่น่าเบื่อก็ตาม
เขาได้ยินมาว่าอีวานส์เรียกประชุมคนของสถาบันทุกๆ เดือน เขาจะได้ประโยชน์จากตรงนี้มากมาย แม้จะให้เขาเข้าร่วมในฐานะแขกก็ตาม
“…จนถึงตอนนี้ การคัดกรองเรซูเม การสอบข้อเขียน และการสัมภาษณ์รอบแรกเสร็จสิ้นแล้ว ท่านลูเซียน อีวานส์ ไม่ได้ลงมาดูจุดนี้ โดยท่านเจอโรมและท่านร็อคเป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการทั้งหมด ตามข้อมูลจากทั้งสอง ทั้งสองคนได้เลือกผู้สมัครไว้ยี่สิบห้าคน ซึ่งจะเข้าสัมภาษณ์รอบสุดท้ายพร้อมกับผู้มีความสามารถที่ผ่านการคัดเลือกจากการรับสมัครรอบสอง ท่านอีวานส์จะรับผิดชอบการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย”
รอบสอง? เบลคแทบจะกระโดดตัวลอย นั่นหมายความว่าเขายังมีโอกาสสินะ?
เสียงที่สดใสของลาร์คสะท้อนเข้าไปในหูของเขา “โอกาสนี้ ข้าขอแจ้งให้สมาชิกในสาขาและกลุ่มเวทมนตร์ท้องถิ่นนอกนครอัลลินให้ทราบว่า ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม จนถึง 10 กรกฎาคม 18.00 น. จะเป็นกำหนดเส้นตายการยื่นเรซูเม การสอบข้อเขียนรอบสองจะมีขึ้นในวันที่ 12 กรกฎาคม หากท่านสนใจ กรุณาวางแผนการเดินทางมายังนครอัลลิน”
“ทุกคนเป็นสมาชิกสภาเวทมนตร์ สภาและสถาบันอะตอมจะดูแลทุกท่านอย่างเท่าเทียม อันที่จริง ท่านอีวานส์เพิ่มการรับสมัครรอบสองนี้เพื่อพวกท่าน เขากล่าวไว้ว่านักเวทและนักเวทฝึกหัดที่อยู่นอกอัลลินต้องไม่ถูกลืม”
เบลครู้สึกค่อนข้างสะเทือนใจ นักเวทและนักเวทฝึกหัดในอัลลินคงไม่เคยรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ถูกสภาเวทมนตร์ลืม เหตุผลที่ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ และ ‘ความจริงของโลก’ กลายเป็นความบันเทิงที่ได้รับความนิยมที่สุดไม่ใช่เพียงเพราะทั้งสองรายการให้ความรู้มากมาย แต่เพราะทั้งสองรายการเสนอความสัมพันธ์ที่ทำให้ชาวเกาะรู้สึกเชื่อมโยงกับอัลลิน
“ขอบคุณท่านอีวานส์ ขอบคุณสภา…”
“…ท่านสามารถขอให้สหายของท่านในอัลลินช่วยเรื่องเรซูเมได้ ข้าเชื่อว่าสาขาและกลุ่มเวทมนตร์ท้องถิ่นส่วนใหญ่คงมีอุปกรณ์ส่งสารแม่เหล็กไฟฟ้า หากท่านไม่มีสหายอยู่ในอัลลิน ท่านสามารถติดต่อเขตภารกิจได้เช่นกัน โดยติดต่อมาที่… กรุณารออยู่ที่สาขาของท่านจนกว่าจะได้รับคำเชิญสำหรับสอบข้อเขียน เพื่อไม่ให้การทำงานของสาขาและกลุ่มเวทมนตร์ท้องถิ่นหยุดชะงัก” เสียงของลาร์คไม่เคยหวานหูสำหรับเบลคเท่านี้มาก่อน
หลังจากเขาฟังรายการ ‘ความจริงของโลก’ จบด้วยความตื่นเต้น เบลคก็เฝ้ารอให้ถึงยามเช้าด้วยความกระวนกระวาย
เมื่อดวงตะวันขึ้นสู่ท้องฟ้า เบลคก็รีบมุ่งหน้าไปยังหอคอยเวทมนตร์ของสาขา แม้เขาจะคิดการณ์ไว้บ้างแล้ว แต่เขาก็ยังเห็นแถวยาวอย่างไม่น่าเชื่อ
“บรรยากาศดุเดือดจริงๆ…”
ภาพของเบลคเกินกว่าจะพรรณนา เมื่อเขาต้องรอจนถึงช่วงบ่ายก่อนที่จะถึงตาของเขา
เบลคตั้งใจจะติดต่อเจ้าหน้าที่ในฝ่ายเขตภารกิจ อย่างไรก็ตาม เงาที่เขาฝันถึงมาตลอดจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัวใจ และเขาก็เปลี่ยนปลายสายการสื่อสาร
“สวัสดีค่ะ นั่นใครคะ?” เสียงผู้หญิงทั่วๆ ไปดังออกมา
เบลคสูดหายใจลึกและตอบ “ข้าเอง เบลค เจ้าสบายดีไหม อัลฟาเลีย?”
“ข้าสบายดี มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” อัลฟาเลียถาม
เบลคกำลังเรียบเรียงคำพูดก่อนจะบอกออกไป “เจ้ายังอยู่ในเขตแพฟอสไหมนะ? ใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงก็ถึงอัลลินใช่ไหม?”
“สองชั่วโมงสี่สิบนาทีด้วยรถไฟไอน้ำเวทมนตร์ เบลค เจ้าอยากให้ข้ากรอกเอกสารและยื่นเรซูเมให้เจ้าหรือ?” เสียงของอัลฟาเลียเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เบลคตอบด้วยความตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เพราะข้าอยู่บนรถไฟไอน้ำเวทมนตร์กำลังไปสถาบันอะตอมที่อัลลิน” อัลฟาเลียหัวเราะชอบใจ
เบลคเกาศีรษะ “ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องขอให้เจ้าช่วยหน่อย”
“ตกลง” หลังจากอัลฟาเลียตอบ ทั้งสองก็เงียบไปพักหนึ่ง
แล้วเบลคก็ถามขึ้น “เจ้าไม่กลัวว่าจะเจอเรื่องแบบนั้นอีกหรือ?”
อัลฟาเลียเกิดในตระกูลเวทมนตร์และรับมรดกเป็นทรัพย์สินมหาศาล ซึ่งทำให้นางสามารถใช้อุปกรณ์สื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าได้แม้จะเป็นเพียงนักเวทระดับสอง อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่ำรวย ความสามารถ และความคิดอันโดดเด่นของนาง นางตกกลายเป้าหมายที่นักเวทชั่วที่มีระดับสูงกว่าจ้องเล่นงาน นางปฏิเสธการคบค้าสมาคมกับคนพวกนั้นและกลับไปยังเขตแพฟอส บ้านเกิดของนาง
อัลฟาเลียยิ้ม “ข้ายกเลิกได้เสมอ ถ้าต้องเจออีกครั้ง ข้าไม่เหมือนเจ้า ถ้าทำการทดลองเองโดยไม่มีสถาบันอะตอมไม่ได้ นอกจากนี้ ท่านอีวานส์ก็เป็นบุรุษผู้ทรงเกียรติที่ไม่เคยมีข่าวลือเสียหาย ข้าเชื่อใจความซื่อสัตย์ของเขา”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงสบายๆ แต่หนักแน่นของคนรัก เบลคก็ยิ้มออกมา นี่แหละอัลฟาเลียที่เข้ารักมาตลอด ทุกครั้งที่เขานึกถึงนาง หน้าของนางอาจไม่ชัด แต่รอยยิ้มสดใสและดวงตาที่มุ่งมั่นของนางปรากฏให้เห็นชัดเจนตลอดเวลา
“ขอให้เจ้าสำเร็จ” เบลคพูดอย่างจริงใจ
อัลฟาเลียยิ้ม “เจ้าก็เหมือนกัน”
…
ภายในสถาบันอะตอม ลูเซียนกำลังอภิปรายเรื่อง ‘สภาพตัวนำยิ่งยวด’ กับลูกศิษย์สองสามคน เมื่อเขาเห็นร็อคเดินโซซัดโซเซเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเซียว ราวกับว่าเขากำลังจะเป็นลม
“ท่านร็อค เป็นอะไรขอรับ?” แอนนิคถามด้วยความเป็นกังวล
ร็อคพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ข้าตายแน่ๆ! ต้องดูแลทั้งตรวจเรซูเม ข้อเขียน และสัมภาษณ์ทั้งหมด แล้วยังต้องทดลองและสร้างโครงสร้างเวทมนตร์ให้เสร็จอีก ข้ารู้สึกเหมือนกำลังก้าวลงหลุมศพ ข้าเห็นหน้าใครไม่รู้ลอยเต็มไปหมด! เจ้าทึ่มเจอโรมก็มัวแต่เดินตามเวร่า!”
“เจ้าตบปากรับคำทำงานนี้เองอย่างสบายใจ แล้วทีนี้จะมาโทษใคร” ลูเซียนแสดงความเห็นประชดประชัน แล้วเขาก็สั่งให้แคทริน่าและเลย์เรียดูแลการทดลองต่อ ก่อนที่จะกลับไปเข้าไปยังหอคอยเวทมนตร์อย่างสบายใจ การทดลองหลายๆ เรื่องไม่เหมาะกับการดำเนินการต่อหน้าคนของสถาบันอะตอม
“นายท่าน ‘โฮล์มรายสัปดาห์’ ขอรับ” ทันทีที่ลูเซียนเอ่ยทักทาย ‘พิน็อกคิโอ’ ชีวินรสายนเวทประจำหอคอยเวทมนตร์ของเขา พ่อบ้านลีโอก็ยื่นหนังสือพิมพ์ให้เขา
ลูเซียนรับหนังสือพิมพ์มาอ่าน พาดหัวข่าวเห็นได้ชัดเจน ‘ราชินีทรงแต่งตั้งอาร์ชบิชอปประจำราชสำนักองค์ใหม่’
ลูเซียนพยักหน้าและไม่ได้แปลกใจ นาตาชาเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อคืนก่อน นางชื่นชมแนวคิดการปฏิรูปศาสนาของริชาร์ด แต่เชื่อว่าควรจะดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะจะยิ่งทำให้ศาสนจักรคลุ้มคลั่ง
‘ซาร์ดส่งคำขอของนาตาชาโดยไม่ขัดขวาง? เป้าหมายของเขาง่ายขนาดนั้นเชียว?’ ลูเซียนถือหนังสือพิมพ์เข้าไปในห้องสมุด
ตอนนั้นเอง พิน็อกคิโอก็พูดขึ้น “นายท่าน มีแขกนามว่าอาร์เธอร์ ดอยล์ มาเยือนขอรับ”
เสียงดังก้องไปทั่วหอคอย
มีเรื่องอะไรอีก? ลูเซียนบอกให้พิน็อกคิโออนุญาตให้อาร์เธอร์เข้ามา แล้วเขาก็เห็นชายร่างอ้วนกลมเดินตรงมาหาเขาอย่างลิงโลด “ลูเซียน นี่บัตรเชิญ ดยุกเจมส์จะจัดการเลี้ยงในคฤหาสน์ส่วนตัวพรุ่งนี้ เขาอยากให้เจ้าไป องค์ราชินีก็จะเสด็จคฤหาสน์ของเขาเหมือนกัน”
ก่อนหน้านี้ ชายอ้วนผู้นี้ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน หลังจากเหตุสลดของเจ้าชายแพทริก และเขาก็พยายามเข้าหาดยุกเจมส์ อย่างไรก็ตาม หลังจากนาตาชาขึ้นครองบัลลังก์ โดยเฉพาะหลังจากนางฉลองวันเกิดของลูเซียน อาร์เธอร์ก็กลับมามีชีวิตปกติสุขและร่าเริงอีกครั้ง เขาเดินวางมาดขี้โอ่มาตลอด ยกเว้นจะสูญเสียความมั่นใจทุกครั้งที่เจอกับลูเซียน
มีโอกาสให้เราเจอกันสินะ? ลูเซียนอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา แม้ว่าทั้งสองคงไม่อาจได้ทำอะไรกันเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางขุนนาง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแค่ให้ทั้งสองได้พบหน้ากัน
ดังนั้น ลูเซียนพยักหน้าและสัญญาว่าเขาจะไปร่วมงาน
…
ย่ำดึกคืนนั้น ภายในคฤหาสน์ส่วนตัว…
ดยุกเจมส์มองเคานต์บาราดี้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ “องค์ราชินีจะเสด็จมายังคฤหาสน์เจมส์พรุ่งนี้ เรื่องที่เจ้าพูดไว้เมื่อครั้งก่อนไปถึงไหนแล้ว?”
“ยังพอมีหวังขอรับ” เคานต์บาราดี้ตอบอย่างคลุมเครือ