Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 54 สังหารอย่างเยือกเย็น
ในห้องโถงของคฤหาสน์ ลอว์เรนซ์ โลรองต์ ที่สวมเสื้อคลุมสีเงินยืนอยู่กลางแท่นบูชา ใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและตื่นเต้น เขารู้สึกได้ชัดเจนถึงการผสานวิญญาณกับไอปีศาจ กระแสโลหิตในกายเขากำลังเดือดพล่าน โห่ร้องยินดี และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงร่างกายเขา
‘นี่คือการโหมโรงก่อนจะปลุกพลังเช่นนั้นหรือ’
‘มันกำลังจะเริ่มแล้วใช่หรือไม่’
‘สี่สิบปีที่ข้าไล่ตามและตั้งตาคอยกำลังจะสำเร็จแล้วใช่หรือไม่?!’
โสตประสาทของลอว์เรนซ์คล้ายได้ยินเสียงครวญครางสุขสมเป็นเสียงโห่ร้องยินดีจากฝูงชนในพิธีแต่งตั้งอัศวิน แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มเอนไปมาและรู้สึกไม่มั่นคง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังโครมคราม แล้วฝุ่นผงก็ร่วงกราวลงมาจากเพดาน
‘แผ่นดินไหว?!’
‘เกิดแผ่นดินไหวขึ้นตอนนี้! นี่คือการลงทัณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าเช่นนั้นหรือ?!’ ลอว์เรนซ์เพิ่งเปลี่ยนมานับถือลัทธินอกรีตเพื่อเพิ่มพูนพลังไม่นานนัก ในใจจึงยังหวาดเกรงพระเจ้าแห่งสัจธรรมอยู่ไม่น้อย และในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ดันเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำให้เขานึกถึงพลังของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ที่กล่าวไว้ในเทพปกรณัม
‘ไม่ได้นะ อีกขั้นเดียวเท่านั้น ข้าเฝ้ารอมากว่าสี่สิบปี และข้าก็กำลังจะปลุกพลังได้แล้ว ข้าจะยอมแพ้ตอนนี้ได้อย่างไร ตราบใดที่ข้าปลุกพลังได้สำเร็จและกลายเป็นอัศวิน แม้ว่าคฤหาสน์จะพังทลาย ข้าก็ยังมีโอกาสมีชีวิตต่อไป!’
ราวกับไอปีศาจที่ผสานเข้ามาในร่างเพียงเล็กน้อยล่วงรู้ถึงความคิดในใจลอว์เรนซ์ จึงเอ่ยขึ้นด้วยการส่งกระแสจิต “วงเวทและกับดักเวทมนตร์ไม่อาจทานทนต่อแผ่นดินไหว และมันยังต้องใช้เวลาอีกกว่าหกหรือเจ็ดนาทีเพื่อผสานพลังทั้งหมดของข้า แรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เจ้าอาจตายได้ จงหยุดเสีย ลอว์เรนซ์ อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็มีพลังของข้าแล้วเสี้ยวหนึ่ง ย่อมมีความสามารถเทียบเท่าอัศวินฝึกหัดระดับสูง และครั้งหน้ายังมีโอกาสผสานพลังให้สำเร็จ”
ไอปีศาจกล่าวรัวเร็ว ภายในสิบวินาที มันก็ส่งผ่านความคิดทั้งหมดไปยังลอว์เรนซ์
ลอว์เรนซ์หัวเสียอย่างยิ่ง เขากำลังจะทำสำเร็จแล้ว แต่กลับถูกภัยพิบัติทางธรรมชาติหยุดเอาไว้ ทำให้เขาอยากจะระบายโทสะแต่ไม่รู้ว่าจะไปลงที่ผู้ใด เขาเสียใจจนรู้สึกว่าอกแทบระเบิด “ไม่ อีกไม่นานแผ่นดินไหวก็จะหยุดแล้ว!”
เขายังคงไม่ยอมล้มเลิก
ทว่าฉับพลันนั้นก็บังเกิดเสียงครืนครั่น ส่งผลให้กระจกทุกบานแตกร้าว ลมแรงก่อนพายุจะมาพลันพัดโถมเข้ามาในคฤหาสน์ เรียกสติเหล่าชายหญิงที่กำลังเสพสังวาสอย่างบ้าคลั่งให้รับรู้ถึงการสะเทือนรุนแรงและคฤหาสน์ที่กำลังจะพังทลาย
“พระเจ้า แผ่นดินไหว!”
“วิ่ง!”
“ช่วยด้วย อ๊าก!”
บางคนรีบสวมเสื้อผ้าด้วยความตื่นตระหนก บางคนรีบวิ่งไปยังประตูด้วยสภาพเปลือยล่อนจ้อน และยังมีบางคนที่รีบกระโดดออกจากทางหน้าต่าง… สำหรับผู้ที่ไม่มีพลังใดๆ และคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ก็เป็นเพียงสตรีบอบบาง เมื่อเผชิญหน้ากับแผ่นดินไหวที่ทำให้คฤหาสน์ทั้งหลังสั่นสะเทือนเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงสวดภาวนาขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า
ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาถูกพิธีกรรมเรียกปีศาจสูบพลังชีวิตและพลังกายออกไปมาก เมื่อออกวิ่งจึงล้มลุกคลุกคลานไม่น้อย สตรีนางหนึ่งล้มลงกับพื้น รู้สึกเหนื่อยอ่อนและหวาดกลัวเสียจนแข้งขาไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นยืนอีก จึงทำได้เพียงคลานไปทางประตู
เมื่อเหยื่อสังเวยออกไปจากที่แห่งนั้นทีละคนๆ เส้นสายบนแท่นบูชาจึงดับวูบลงอย่างรวดเร็ว และไอปีศาจก็ค่อยๆ เลือนหายไป บารอนโลรองต์คำรามลั่น ด้วยต้องการระบายความเสียใจและโทสะ
หลังจากร้องโวยวายเสร็จ เขาก็กลับมาได้สติจากความคาดหวังบ้าคลั่งและความอึดอัดอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าคฤหาสน์ของเขายังคงสั่นสะเทือนรุนแรง จึงสบถออกมา “แผ่นดินไหวบัดซบนี่!”
จากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไปนอกคฤหาสน์พลางยกเลิกกับดักเวทมนตร์ที่ขวางทางเขา
เบื้องหลังลอว์เรนซ์ ชายในชุดดำผู้หนึ่งที่คล้ายจะเพลิดเพลินกับงานสังสรรค์มั่วโลกีย์เมื่อครู่นี้ หันไปมองนอกคฤหาสน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
…
ในเงามืดนอกคฤหาสน์ ทั้งนักปราชญ์ น้ำผึ้งขาว และสไมล์ต่างตาเบิกโพลงและอ้ำอึ้งขณะเฝ้ามองคฤหาสน์ที่ไหวเอนรุนแรง แต่แล้วศาสตราจารย์ผู้น่าเกรงขามก็ละมือทั้งสองจากผนังแล้วค่อยๆ เดินกลับมาในเงามืด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเคร่งขรึม “พวกเขาเริ่มวิ่งออกมาแล้ว เตรียมตัวสังหารปีศาจตนนั้นได้เลย”
“ท่านศาสตราจารย์ ทำไมถึงไม่ทำให้คฤหาสน์พังไปเลยเล่า” น้ำผึ้งขาวที่มองไปทางคฤหาสน์ซึ่งยังคงสั่นสะเทือนรุนแรงจากแรงเฉื่อยเหมือนจะได้สติก่อนจะถามออกไปราวกับกำลังละเมอ
ลูเซียนหัวเราะหึๆ “หากข้าทำให้คฤหาสน์พังทลายลงและทับฝังปีศาจไว้ในนั้น ข้าจะไปเก็บเลือดของมันมาอย่างรวดเร็วได้อย่างไร อีกทั้งเสียงของคฤหาสน์ทั้งหลังที่พังลงย่อมเกิดเสียงดัง และนั่นคงจะทำให้ผู้พิทักษ์ราตรีแถวนี้รู้ตัว รวมถึงศาสนจักรที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ด้วย”
ทั้งสองเหตุผลเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แท้จริงแล้ว แม้ว่าคลื่นความถี่ทางธรรมชาติของตัวคฤหาสน์นั้นแตกต่างจากคลื่นความถี่เหนือเสียงและคลื่นแสงอินฟราเรดความเข้มข้นสูง และพลังจิตของลูเซียนในตอนนี้สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนรุนแรงผ่าน ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ ได้ก็จริง แต่คฤหาสน์นั้นมีโครงสร้างซับซ้อนและไม่ได้มีคลื่นความถี่เพียงหนึ่ง มันมีอยู่หลากหลายรูปแบบ ตามที่เขาประเมินจากแรงสั่นสะเทือนสะท้อนกลับและคำนวณพลังดูแล้ว ลูเซียนทำได้เพียงกระตุ้นคลื่นความถี่ทางธรรมชาติคลื่นแรกที่พบและทำให้มันไหวเอน และถึงอย่างไรลูเซียนก็เป็นเพียงนักเวทฝึกหัด พลังจิตของเขาจึงมีไม่มากพอจะทำให้คฤหาสน์ทั้งหลังพังครืน
ดังนั้น หากเป็นสะพานที่โครงสร้างไม่ซับซ้อน ลูเซียนอาจทำลายได้ง่ายกว่า
คำพูดของลูเซียนทำให้นักปราชญ์ สไมล์ และน้ำผึ้งขาวได้สติเต็มที่ เวทมนตร์ที่ไม่ต้องใช้ส่วนประกอบใดๆ ในการร่ายและไม่มีคาถาเมื่อครู่นี้คงจะเป็นพลังที่แท้จริงของศาสตราจารย์ มันช่างเป็นพลังที่น่าหวาดกลัวและน่าทึ่งยิ่งนัก
พวกเขามองลูเซียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ และหวาดเกรงต่อนักเวทผู้ลึกล้ำทรงพลัง
น้ำผึ้งขาวเป็นคนแรกที่กลับมานิ่งสงบและเพ่งสมาธิจดจ่อกับการร่ายคาถา อุปกรณ์เวทมนตร์บนตัวนางสัมผัสได้ว่าฝูงชนกำลังวิ่งออกมาจากคฤหาสน์ นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งเย็นชาแฝงความเย้ายวน
“เป้าหมายที่แผ่กระแสจิตปีศาจอยู่ห่างออกไปสิบห้าเมตรจากหน้าต่างบานที่ใกล้ที่สุด และเราต้องขยับไปทางซ้ายหนึ่งเมตรเพื่อให้โจมตีได้สะดวกขึ้น”
นักปราชญ์ตั้งสติจดจ่อขณะขยับไปทางซ้าย “นกฮูก ใช้ ‘เวทแกว่งกวัดโฮมาน’”
‘เวทแกว่งกวัดโฮมาน’ คือมนต์ที่ใช้คลื่นเสียงแหลมสูงในการโจมตี ผู้ที่ถูกคลื่นเสียงกระทบโดยตรงจะเสียสมดุล ได้รับบาดเจ็บ และอาจถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนคนที่อยู่รอบๆ เป้าหมายก็จะได้รับบาดเจ็บที่แก้วหูและทำให้นิ่งงันไป
“นักปราชญ์ ใช้เวทปิดกั้นเสียงด้วย เราต้องระวังพวกถุงมือดำแสนน่าชังด้วยเช่นกัน” สไมล์เองก็กล่าวตอบอย่างนิ่งสงบ
น้ำผึ้งขาวยังคงรายงานตำแหน่งของบารอนโลรองต์ต่อไป “มันมีพลังเทียบเท่ากับอัศวินฝึกหัดระดับสูง อีกห้าเมตร ดูเหมือนว่าจะผสานพลังกับปีศาจชั้นต่ำ ห้ามใช้เวทพิษและเพลิง อีกหนึ่งเมตร เตรียมตัว ข้าจะใช้ ‘เวทธนู’” นางประเมินพลังของบารอนโลรองต์จากความเร็วในการวิ่ง ความคล่องแคล่วในการหลบหลีกเศษหินที่ตกลงมา และเทียบกับพลังของผู้ที่อยู่ด้านหน้าเขา
เพียงสื่อสารกันไม่กี่วินาที พวกเขาก็ล่วงรู้ถึงตำแหน่งกับพลังของบารอนโลรองต์ และวางแผนการโจมตีรอบแรกไว้เสร็จสรรพ ลูเซียนที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ทั้งสามคนได้ประสบพบเจอกับวิธีการต่อสู้แบบฉบับนักเวทฝึกหัดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเป็นครั้งแรก
เพื่อที่จะหลบหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว บารอนโลรองต์จึงผลักแขนของตนที่ขวางทางออกไป และภายในไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าต่างบานหนึ่ง จับศีรษะของคนใกล้ตัวมากระแทกกับกระจกที่ยังไม่แตก แล้วกระโดดออกไป
แต่ทันทีที่บารอนโลรองต์กระโดดออกมา ก็พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้องสะท้อนในหูของเขา ราวกับว่าพายุที่ก่อตัวมานาน ในที่สุดก็เริ่มส่งสายฟ้าฟาดลงมา
โสตประสาทของเขาอึงอล และในหัวก็ปวดร้าวใกล้ระเบิดออก ช่องท้องของเขาวูบโหวง ส่งผลให้ร่างกายไม่อาจรักษาสมดุลได้ จึงแทบจะล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น
จากนั้น ลูกธนูเหล็กเย็นเยียบสะท้อนแสงเป็นประกายก็พุ่งเข้าใส่ดวงตาข้างขวาของบารอนโลรองต์ที่ยังกึ่งๆ ไม่ได้สติอย่างจัง มันฝังลึกลงไป โลหิตสีแดงเข้มเหม็นฉุนคล้ายกลิ่นกำมะถันทะลักออกมา และถูกมือที่มองไม่เห็นคว้าจับไว้
เพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์นักเวทผู้ทรงพลัง ลูเซียนจึงใช้เวทมนตร์ที่ไม่ต้องร่ายคาถา ซึ่งเวทฝ่ามือผู้วิเศษก็กินพลังจิตของเขาไปเกือบครึ่ง นอกจากนี้เขายังเพิ่งใช้ ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ ตอนนี้ลูเซียนจึงเหลือพลังจิตพอแค่ร่ายเวทมนตร์ระดับฝึกหัดอีกสองบทเท่านั้น
“อ๊าก!” บารอนโลรองต์กรีดร้องโหยหวน แต่เสียงนั้นก็ถูก ‘เวทเกราะปิดกั้นเสียง’ ดูดซับไปจนหมด
ในตอนนี้เองที่บอรอนโลรองต์เพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกโจมตี!
ทว่า ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว ธนูอีกดอกหนึ่งตามติดมาและพุ่งใส่ในปากบารอนโลรองต์ทันทีที่เขาอ้าปากกรีดร้อง
เสียงนั้นจึงหยุดลงโดยพลัน
บารอนผู้นี้มีพลังเทียบเท่าอัศวินฝึกหัดระดับสูงทั้งยังได้รับพลังจากไอปีศาจ แต่การประสานงานจากเวทมนตร์ระดับฝึกหัดหลายๆ บททำให้สามารถสังหารเขาได้ภายในไม่กี่วินาทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาขัดขืนหรือหลบเลี่ยง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ลูเซียนก็นึกอยากจะพูดว่า ‘นี่ขนาดมีกันไม่ถึงห้าคนนะ’
บนหญ้ารอบๆ ตัวบารอนโลรองต์มีชายหญิงหลายคนนอนนิ่งจากผลพวงของเวทมนตร์แห่งเสียงในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ในขณะที่คนอื่นๆ ที่วิ่งหนีออกมาจากทางอื่นมัวแต่สนใจกับเหตุแผ่นดินไหว และตื่นตระหนกจนไม่สนใจสถานการณ์ทางด้านนี้ แต่ละคนต่างวิ่งตรงออกไปทางประตูรั้ว
แรงสั่นสะเทือนของคฤหาสน์ค่อยๆ ลดลง และคนที่ไม่มีเรี่ยวแรงก็คลานออกมาได้ในที่สุด บางคนที่ร่างกายเปลือยเปล่าก็เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นผงจากเพดาน ส่วนข้ารับใช้นั้น เวลาที่บารอโลรองต์ทำพิธีกรรมสังเวยเช่นนี้ เขาจะยอมให้ข้ารับใช้อยู่ในคฤหาสน์ได้อย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในบ้านหลังเล็กซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสวนก่อนหน้านี้แล้ว
ลูเซียนใช้เวทฝ่ามือผู้วิเศษเก็บเลือดของปีศาจกลับมาใส่ไว้ในหลอดแก้วที่มีอักษรรูน และได้มาหนึ่งหลอดเต็มๆ กับอีกครึ่ง ส่วนสไมล์กับนักปราชญ์ เมื่อแน่ใจว่าบารอนโลรองต์เสียชีวิตแล้วจริงๆ จึงเข้าไปช่วยเก็บเลือด แน่นอนว่าส่วนที่เกินมานั้นย่อมนำไปใช้ทดลองและร่ายเวทมนตร์บทอื่นได้ด้วย
หลังจากเก็บหลอดแก้วบรรจุโลหิตปีศาจทั้งสามใบใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม ลูเซียนก็เหลือบมองไปทางชายหญิงที่โล่งอกเมื่อ ‘แผ่นดินไหว’ หยุดลงแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ได้เวลากลับกันแล้ว”
“ใช่” นักปราชญ์ น้ำผึ้งขาว และสไมล์เก็บหลอดแก้วบรรจุเลือดที่เกินมา และกำลังจะจากไปพร้อมกับศาสตราจารย์
ในตอนที่นักเวทฝึกหัดทั้งสี่กำลังหันหลังกลับ เงาดำก็พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าต่างที่อยู่ห่างออกไปราวสิบก้าว ในมือเขามีกริชเล่มหนึ่ง และพุ่งมาหมายเสือกแทงเข้าใส่อกของลูเซียน
ก่อนหน้านี้เขาเฝ้ารออยู่ภายในคฤหาสน์ และในที่สุดก็สบโอกาสลอบสังหารนักเวทผู้ทรงพลังที่ทำลายแผนการของเขาเสียสิ้น
และเมื่อตัดสินจากเวทมนตร์ที่สามารถเขย่าคฤหาสน์ได้ทั้งหลังเมื่อครู่นี้ เขามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น!
……………………………………….