Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 55 เสียงดังยามวิกาล
ความเร็วของเงาดำนั้นเหนือกว่าบารอนโลรองต์มากโข มันเร็วเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะมองได้ทัน หากว่าชายหญิงที่มาร่วมงานสังสรรค์มั่วโลกีย์ในครั้งนี้สงบจิตใจลงได้และมองมายังทิศทางนี้ พวกเขาก็จะเห็นเพียงเส้นสายสีดำเลือนลางซึ่งเป็นภาพติดตาจากความเร็วสุดยอด
ความเร็วเช่นนี้คนธรรมดาย่อมไม่มีทางทำได้ มีก็แต่เพียงผู้แข็งแกร่งที่ปลุกพรในสายเลือดได้แล้วเท่านั้น
ผู้ที่จู่โจมลูเซียนในครานี้คืออัศวินอย่างแท้จริง!
เขาพุ่งตัวเข้าหาลูเซียนจากเงามืดภายในไม่ถึงสองวินาที และกริชนั้นก็กำลังจะแทงใส่แผ่นหลังลูเซียนแล้ว
ทั้งนักปราชญ์ น้ำผึ้งขาว และสไมล์ต่างไม่มีใครคาดคิด และไม่แม้แต่จะจับสังเกตได้ว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งกำลังเข้ามาใกล้หมายโจมตีจากทางด้านหลัง
มีเพียงลูเซียนที่จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบและใจสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อกริชที่แผ่รังสีอำมหิตเข้าใกล้แผ่นหลัง จึงทิ้งตัวไปข้างหน้าตามที่จิตสำนึกสั่ง
แต่ความเร็วในการพุ่งตัวไปข้างหน้าของลูเซียนนั้นเทียบไม่ได้กับความเร็วของเงาดำที่พุ่งเข้ามาโจมตี นี่คือความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างระดับพลัง มันเหมือนกับระยะห่างระหว่างขุมนรกกับสวรรค์
แม้ว่าลูเซียนจะสามารถใช้ความรู้ที่มีเพื่อสร้างเวทมนตร์บทใหม่ได้ และขัดขวางอัศวิน นักเวท และนักเวทฝึกหัดได้ แต่เมื่อต้องต่อสู้จริงๆ เขาก็เปลี่ยนความรู้เป็นพลังต่อสู้ไม่ได้ มันไม่สามารถช่วยให้ลูเซียนร่ายเวทมนตร์ได้ในทันทีเพื่อสกัดการโจมตีจากกริชเล่มนี้ มีเพียงตอนที่เขาได้เป็นนักเวทและใช้พลังจิตสร้างสัญลักษณ์มนตร์บนดวงจิตแล้วเท่านั้น จึงจะเรียกใช้เวทมนตร์ได้ทันทีในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
ลูเซียนเพียงหวังว่าการล้มตัวไปข้างหน้าจะทำให้แรงเสือกแทงจากกริชลดลง ตราบใดที่เขายังไม่ตาย ก็ยังตอบโต้กลับไปได้ด้วยแหวนอาฆาตเหมันต์!
เงาดำนั้นเฝ้ามองด้วยความเย็นชาขณะที่กริชในมือใกล้จะถึงแผ่นหลังของลูเซียน แต่ทันใดนั้น เสียงการ้องก็ดังขึ้น แล้วฉับพลันนั้นบนตัวลูเซียนก็มีเกราะโปร่งแสงลักษณะคล้ายเกราะร้อยห่วงเหล็กปรากฏขึ้น
นี่ก็คือเวทมนตร์ระดับหนึ่ง เกราะวิเศษ!
แม้ว่านักปราชญ์และคนอื่นๆ จะไม่รู้ตัว แต่ทว่าอีกาที่ชื่อ ‘แอชลีย์’ ซึ่งอยู่บนยอดต้นไม้ด้านนอกคฤหาสน์นั้นสังเกตเห็นตอนที่เงาดำพุ่งตัวออกมา มันคือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของนักเวทหลายๆ คน เพราะไม่เพียงแค่มองเห็นในที่มืด แต่มันยังยืมพลังจิตของเจ้านายมาใช้ร่ายเวทมนตร์ได้อีกด้วย!
กริชที่มีไอพลังสีดำเสือกแทงเข้าใส่เกราะโปร่งแสงนั้น ก่อให้เกิดรอยร้าวไปทั่ว จากนั้นก็พลันแตกกระจายเป็นเศษเสี้ยวที่ส่องแสงอยู่ท่ามกลางความมืด
เกราะวิเศษที่ปรากฏออกมานั้นเหนือความคาดหมายของเงาดำไปมาก และแม้ว่าเขาจะใช้กำลังและความพิเศษของกริชทำลายเกราะวิเศษไปได้ แต่นั่นก็ทำให้ความเร็วของเขาตกลง และทำได้เพียงเฝ้ามองลูเซียนหันกายกลับมา ยกมือซ้ายขึ้นตรงหน้าเขา แล้วลำแสงเย็นเยียบสีใสก็พลันแผ่พุ่งออกมาสามสาย
‘เวทดาบน้ำแข็งพาล์เมรา’ เวทมนตร์ระดับสอง!
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ลูเซียนไม่รู้สึกลังเลหรือหวาดกลัวเลย เขามีแต่ความสงบเยียบเย็นที่ได้รับจากแหวนอาฆาตเหมันต์ ตอนนี้เขารู้ดีว่าการโจมตีก็คือการป้องกันตัวที่ดีที่สุด!
ขณะเดียวกันนั้น อำนาจจิตภายใต้พลังจากแหวนอาฆาตเหมันต์ก็ทำให้เขาเป็นเหมือนอัศวินคนหนึ่ง เขาจึงไม่ถูกรังสีอำมหิตจากเงาดำแทรกเข้ามาในจิตใจจนตื่นกลัว หากเป็นนักเวทฝึกหัดทั่วไปคงถูกพลังของอัศวินเงาดำผู้นี้ตรึงให้อยู่กับที่ รอคอยให้เขาเข้ามาโจมตีอยู่นิ่งๆ ไปแล้ว
ทันทีที่ลำแสงเยียบเย็นสามสายซึ่งเป็นเหมือนมีดบินน้ำแข็งแผ่นบางปรากฏขึ้น พวกมันก็พุ่งเป้าไปที่ลำคอ แผงอก และช่วงล่างของอัศวินเงาดำ
อัศวินเงาดำรีบเรียกใช้เปลวเพลิงสีดำที่เต็มไปด้วยไอพลังโหดเหี้ยมและทำลายล้าง ด้วยระยะห่างเพียงเท่านั้น การทำลายเวทมนตร์ระดับสองโดยตรงถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เขาไม่กล้าใช้เพียง ‘เงา’ พลังป้องกันจากพรในสายเลือดเพื่อปกป้องตนเอง ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงนักเวทที่ทำลายแผนการของเขา แม้ว่าเขาจะอยากสังหารอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนี้ แต่การทำเช่นนั้นดูจะไม่ก่อให้เกิดผลดีอันใดนอกเหนือจากการที่ได้ระบายโทสะ ดังนั้น ในช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือชีวิตตน
เขาตวัดกริชในมืออย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพติดตา และจัดการทำลายมีดบินน้ำแข็งทั้งสองที่พุ่งเป้ามายังลำคอและช่วงอกจนมันกลายเป็นเพียงเศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วนที่ปลิดปลิวไปตามสายลม เป็นภาพที่ดูราวกับหิ่งห้อยในยามค่ำคืน พร้อมกันนั้น เท้าขวาที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีดำก็ยกขึ้นเตะมีดบินน้ำแข็งใบสุดท้ายอย่างแม่นยำ ส่งผลให้มันแตกสลายและเลือนหายไปกับเงามืด
หลังจากสกัดกั้นมีดบินน้ำแข็งทั้งสามได้สำเร็จ อัศวินเงาก็หันคมกริชกลับมาไล่ล่าลูเซียนที่ล้มลงไปกองกับพื้น ในขณะเดียวกันนั้น มือขวาของเขาก็ยื่นออกมา แล้วเงาดำก็พลันห่อหุ้มบนมือนั้น เตรียมพร้อมรับมือกับกระสุนระเบิดสีดำเหลือบเงินที่แผ่พุ่งออกมาจากปากของอีกาที่ชื่อ ‘แอชลีย์’
นี่ก็คือเวทมนตร์ระดับหนึ่ง ‘กระสุนระเบิดเวท’!
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เศษชิ้นส่วนของมีดบินน้ำแข็งที่กระจัดกระจายเหมือนดวงดาวเล็กๆ ก็กลายเป็นม่านหมอกหนาเย็นเฉียบ ก่อนจะก่อตัวรุนแรง และแช่แข็งบริเวณนั้น รวมถึงเปลวเพลิงสีดำบนตัวอัศวินเงาดำ ทั้งหมดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีใสและไอเย็นก็ค่อยๆ กัดกิน
‘เวทดาบน้ำแข็งพาล์เมรา’ นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้คนได้ลิ้มรสชาติการหลั่งโลหิต แต่ยังได้เพลิดเพลินกับ ‘อ้อมกอดอันเย็นเยียบแห่งเหมันต์’!
อัศวินเงาดำถูกแช่แข็งอยู่กับที่ จึงโดนกระสุนระเบิดเวททั้งสองลูกอย่างจัง ส่งผลให้น้ำแข็งแตกกระจายและตัวเขาลอยละลิ่ว เปลวเพลิงสีดำบนตัวโบกสะบัดไปมา แต่กลับไม่ดับไป
แอชลีย์ส่งเสียงร้องกา “คนผู้นั้นเป็นอัศวินขั้นที่สอง!”
นักปราชญ์ น้ำผึ้งขาว และสไมล์เพิ่งจะมีปฏิกิริยาในตอนนี้เอง แต่พวกเขาก็หันมาเห็นเพียงเงาร่างที่ปลิดปลิวไป
แม้พวกเขาจะไม่ทราบระดับพลังของอีกฝ่าย แต่เพียงเห็นว่าศาสตราจารย์ถึงกับลงไปกองที่พื้น และมีเปลวเพลิงสีดำลุกโหมอยู่บนตัวศัตรู พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นั้นย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่ปลุกพรในสายเลือดขึ้นได้ นักปราชญ์และน้ำผึ้งขาวจึงไม่คิดอะไรอีก ร่ายเวทเปิดอุปกรณ์เวทมนตร์บนตัวในทันที
แสงที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพลันแผ่ออกมาคล้ายระลอกคลื่นจากอกของนักปราชญ์ รัศมีวงกว้างของมันคือสิบเมตร ภายในรัศมีนั้น ผู้คนทั้งชายหญิงต่างอ้าปากหาว เปลือกตาคอยแต่จะหย่อนลง และไม่นานก็ล้มตัวลงนอนบนหญ้าหรือดอกไม้ แล้วหลับไหลไปอย่างเป็นสุข
เป็นเวทมนตร์ระดับหนึ่ง ‘นิทรา’
อัศวินเงาดำที่กำลังดิ้นรนควบคุมร่างกายตนเองเพื่อรักษาสมดุลก็ได้รับผลพวงจากเวทนิทราเช่นกัน สมองเขาจึงสับสนมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกคล้ายกับว่าเตียงนอนนุ่มอุ่นกำลังเรียกร้องให้เขาทิ้งตัวลงไป แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง เขาจึงต้านทานความง่วงงุนนั้นได้ หลังจากส่ายหน้าแรงๆ เขาก็ตื่นเต็มตาอีกครั้ง
แต่ที่ตามมานั้นคือคลื่นยักษ์ที่เหมือนกับค้อนเหล็ก มันกระทบกับลำตัวของอัศวินเงาดำอย่างจัง จนเขาลอยไปกระแทกกับหน้าต่างบานหนึ่งของคฤหาสน์ และทะลุกระจกเข้าไปข้างใน ส่งผลให้เกิดเสียงดังโครมคราม และทำให้ตัวคฤหาสน์สั่นไหวอีกครั้ง
นั่นคือเวทมนตร์ระดับหนึ่ง ‘คลื่นกระแทก’ อันเป็นเวทมนตร์ที่ผนึกไว้บนผ้าคลุมของน้ำผึ้งขาว
“เขาเป็นถึงอัศวินขั้นที่สอง คงไม่มีทางตายง่ายๆ หรอก ท่านศาสตราจารย์เชิญโจมตีต่อเถิด” แอชลีย์ที่บินมาอยู่ใกล้ๆ พูดกับ ‘ศาสตราจารย์’ ที่อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักเวทระดับสองในความคิดของเขา
ลูเซียนตั้งใจจะเขวี้ยงเจลเพลิงเพื่อโจมตีพร้อมกับแอชลีย์ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร แรงสั่นสะเทือนของคฤหาสน์ทั้งหลังก็รุนแรงยิ่งขึ้น เพดานเริ่มร่วงหล่น ผนังเริ่มพังทลาย และภายในไม่กี่วินาที คฤหาสน์ก็ล้มครืนเหลือเพียงซากที่ทับถมอัศวินเงาดำไว้ข้างใต้นั้น
‘เป็นอย่างที่นักปราชญ์พูดไว้จริงๆ คฤหาสน์เก่าๆ ของบารอนโลรองต์นั้นทรุดโทรมมากแล้ว…’
ลูเซียนรู้ดีว่าพลังจาก ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ ของเขานั้นไม่อาจทำอะไรบ้านธรรมดาๆ ได้ แต่คฤหาสน์หลังนี้มีสภาพชำรุดทรุดโทรมอย่างยิ่ง และแรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่นี้คงจะทำให้โครงสร้างและความมั่นคงของตัวอาคารย่ำแย่มากแล้ว ดังนั้นหลังจากที่อัศวินเงาดำปลิวไปกระแทกอีกครั้ง มันจึงล้มครืนลงมา
ตู้ม! คฤหาสน์พังลงมาส่งเสียงดังครืนครั่น และนักปราชญ์ก็ร่ายเวทเกราะปิดกั้นเสียงไม่ทัน ทำให้เสียงนั้นดังกึกก้องไปไกลและได้ยินชัดเจนกันถ้วนทั่วในยามราตรีเงียบสงัดเช่นนี้
‘แย่แล้ว ผู้พิทักษ์ราตรี!’ นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของทุกคน ตอนนี้ หากเข้าไปค้นหาอัศวินเงาดำจากซากคฤหาสน์เพื่อสังหารเขาทิ้ง นั่นคงเท่ากับการรอให้ผู้พิทักษ์ราตรีมาจับตัวไป
สถานการณ์ตอนนี้มีความเสี่ยงสูงมาก แอชลีย์จึงกลายร่างเป็นเงาดำเข้าห่อหุ้มตัวน้ำผึ้งขาว ขณะเอ่ยกับลูเซียน “ท่านศาสตราจารย์ ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า” จากนั้นก็โผบินขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน และหายลับไปโดยพลัน
นักปราชญ์และสไมล์ทำท่าเคารพลูเซียน ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านศาสตราจารย์ เราคงต้องขอตัวก่อน” จากนั้นพวกเขาก็รีบเดินออกจากประตูรั้วและหายลับไปกับความมืด ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีที่ทางหรือวิธีการซ่อนตัวในเขตขุนนางแห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นแอชลีย์หรือนักปราชญ์ ทุกคนต่างคิดว่าศาสตราจารย์ผู้แข็งแกร่งและลึกลับย่อมมีหนทางหนีเอาตัวรอด เหมือนกับที่อีกาดำทำได้ จึงไม่คิดเป็นห่วงเขา
ลูเซียนไม่ได้ตอบอะไร และพวกเขาก็จากไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงคิดในใจ ‘พาข้าไปด้วยสิ’
นี่คือผลของการเสแสร้งเป็นคนลึกลับและแข็งแกร่ง!
แต่ตอนนี้เวลาไม่รอท่า ลูเซียนจึงรีบกลับออกไปทางประตูรั้วและจ้ำพรวดๆ หายลับไปในความมืด
เสียงสายฟ้าฟาดดังเปรี้ยงปร้าง หยาดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วตกลงมาห่าใหญ่ ในที่สุดพายุที่ก่อตัวมานานก็เริ่มต้นขึ้น
ข้างใต้ซากปรักหักพังของคฤหาสน์ ปรากฏเปลวเพลิงสีดำเล็กๆ ขึ้น มันเผาผลาญเศษเพดาน ทำลายหินให้แตก จากนั้นร่างดำทะมึนก็คลานขึ้นมา
เงามืดบนตัวเขาหายไปมากจนสามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้ชัดเจน ชายผู้นี้อยู่ในวัยสามสิบ หนวดเคราของเขาตัดเล็มมาอย่างประณีต และเขาผู้นี้ก็คือโรซาน อารอน หัวหน้าแก๊งอารอนนั่นเอง
อารอนเฝ้ามองลูเซียนเดินหายลับไปในความมืด แล้วนึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
‘ในช่วงเวลาที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เขากลับไม่สามารถเรียกใช้เวทมนตร์จากดวงจิตได้ทันที กลับใช้อุปกรณ์เวทมนตร์แทน นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่ข้าคิดไว้ เวทมนตร์แสนน่ากลัวเมื่อครู่นี้ควรจะกินพลังจิตของเขาไปเกือบหมดแล้วสิ ข้าควรตามไปดีหรือไม่’
‘ไม่ได้สิ เกิดเสียงดังขนาดนี้ อีกไม่นานพวกผู้พิทักษ์ราตรี หรือแม้แต่บิชอปจากศาสนจักรก็คงจะมาถึง ข้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บหนัก หากต้องต่อสู้อีกครั้ง ถ้าไม่ตายก็คงถูกจับตัวไปตัดสินโทษเป็นแน่’
อารอนเพียงประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น ไม่ยอมให้โทสะและความเกลียดชังเข้าครอบงำความคิด จากนั้นร่างกายเขาก็กลายเป็นเงาดำ ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบงัน
…
หยาดฝนเริ่มแรงและเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนให้ความรู้สึกเหมือนกับน้ำตกที่ตกลงมาจากฟ้า ลูเซียนวิ่งฝ่าฝนท่ามกลางความมืด แรงสาดซัดให้รู้สึกเจ็บตามตัวไม่น้อย ดีที่ส่วนประกอบแต่ละอย่างเก็บไว้ในหลอดแก้วหรือไม่ก็ห่อด้วยผ้าเวทมนตร์กันน้ำชนิดพิเศษ พวกมันจึงไม่เป็นอะไร
นักเวทฝึกหัดที่มีความสามารถส่วนใหญ่มักจะคำนึงถึงช่องเก็บส่วนประกอบการร่ายเวทมนตร์ที่สามารถใช้ได้ในทุกสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม เพราะหากนักเวทฝึกหัดไม่สามารถร่ายคาถาท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก ก็คงยากจะเอาชีวิตรอดบนโลกนี้
ท่ามกลางพายุและสายฟ้าฟาด ลูเซียนคล้ายกับหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เขาวิ่งไปตามลำพังเพื่อไปยังทางเข้าเส้นทางลับ
ไม่นานเขาก็มองเห็นทางเข้าที่ร่มเงาต้นไม้บดบังไว้อยู่เบื้องหน้า
แต่ในตอนนั้นเอง สายฟ้าพลันฟาดลงมา ทำให้บริเวณรอบๆ นั้นสว่างวาบราวกับตอนกลางวัน ลูเซียนเห็นชายผู้หนึ่งในชุดสีขาว เขาสวมถุงมือสีดำ และเส้นผมสีแดงก็แนบลู่กับหน้าผาก
ถุงมือดำ ผู้พิทักษ์ราตรี!
เมื่อลูเซียนเห็นเขา เขาก็มองเห็นลูเซียนเช่นกัน
ทั้งสองคนที่ไม่อาจมองเห็นกันได้เพราะห่าฝนและความมืด จู่ๆ แสงสว่างจากสายฟ้าก็ทำให้พวกเขาต้องเปิดเผยตัว
……………………………………….