Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 615 คาดการณ
บทที่ 615 คาดการณ์
เมื่อได้เห็นภาพคุ้นตา ลูเซียนก็พลันนึกตัวตนของมัมมี่สฟิงซ์ตรงหน้าเขาออก มันก็คือฟิงส์ ราชาแห่งสฟิงซ์ ที่เขาพบปะเผชิญหน้าด้วยหลังจากที่ทำภารกิจของไรน์สำเร็จ
ในตอนนั้น มันถูกปิดผนึกไว้ในโลงศพ และหลังจากที่มันฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ถูกเขาจัดการด้วยดาบยุติธรรมจืดจาง ส่งผลให้มันกลับสู่ภาวะจำศีลอีกครั้ง ยามที่เขาหลบหนีออกมาผ่านช่องว่างของโลกแห่งวิญญาณ เขาก็เห็นเงาของสุสาน บอลแสงเปรอะเปื้อนคราบโลหิต และ ‘ใยแมงมุม’ สีแดงแปลกพิกล ซึ่งทำให้เขาตระหนักว่า แท้จริงแล้วมันถูกกักขังไว้ในโลกแห่งวิญญาณ
บัดนี้ เมื่อตัวตนที่แท้จริงของมันถูกดาบแห่งสัจธรรมประหัตประหารผ่านทางภาพมายาสะท้อน จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปิดผนึกมันอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ดวงวิญญาณแตกสลายไปแล้วนั้น ไม่มีทางนำมาปิดผนึกได้
“นี่คือภาพมายาสะท้อนหรอกหรือ สละสติปัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งบรรพกาลเช่นนั้นหรือ ไม่แปลกเลยที่ ‘เวทดาวตกชี้ชะตา’ ของข้าจะทำลายมันไม่ได้” ดักลาสคาดการณ์ ‘เวทดาวตกชี้ชะตา’ สามารถทำลายได้แม้แต่สิ่งกักเก็บพลังชีวิตที่เตรียมไว้ทั้งหมดเมื่อมันปะทะเข้ากับตัวตนที่แท้จริง แต่มันจะทำลายตัวตนจริงผ่านทางภาพมายาสะท้อนหรือร่างเหมือนไม่ได้
ลูเซียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “บางทีอาจไม่ใช่เพราะมันสละสติปัญญาไปเพียงเท่านั้นนะขอรับ ข้าสงสัยว่ามันจะถูกใครสักคนในโลกแห่งวิญญาณปิดผนึกเอาไว้เพื่อดูดพลังจากบอลแสงแห่งเทวภาพของมัน จริงสิ มันคือฟิงส์ ราชาแห่งสฟิงซ์ขอรับ”
“ฟิงส์ ราชาในตำนานที่เสียชีวิตไปกว่าหนึ่งหมื่นปีก่อนน่ะหรือ” ดักลาสคุ้นเคยกับอารยธรรมโบราณดี อีกอย่างคือ สุสานของฟิงส์ยังคงตั้งอยู่ในทะเลทราบทางตอนใต้ของอาณาจักรกัสตามาจนถึงทุกวันนี้
ในทางกลับกัน เฟอร์นันโดจับประเด็นหลักในถ้อยคำของลูเซียนได้ “บอลแสงแห่งเทวภาพงั้นหรือ”
ลูเซียนพยักหน้าแล้วพรรณนาถึงสิ่งที่เขาเห็นในสุสานของฟิงส์และภาพสะท้อนในโลกแห่งวิญญาณ
หากเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน พวกเขาคงไม่ทราบว่าบอลแสงประหลาดที่ไม่อาจสัมผัสแตะต้องหรือเข้าไปใกล้ได้นี้คืออะไร แต่ ณ ตอนนี้ พวกเขารู้ดีว่ามันคือเทวภาพที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ดักลาสก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด “สรุปแล้วก็คือ เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ฟิงส์อาจไม่ได้ตาย แต่กลับถูกใครบางคนในโลกแห่งวิญญาณจับตัวไปและปิดผนึกไว้ในสถานที่พิเศษสำหรับเก็บรวบรวมบอลแสงแห่งเทวภาพ และภาพมายาสะท้อนที่ออกมาปกป้องอารามแห่งวิญญาณก็เป็นเพียงผลข้างเคียงเท่านั้น”
“เฮะๆๆ นั่นอธิบายได้ว่าเหตุใดบนโลกหลักจึงไม่มีพระเจ้าเทียมเท็จเลยจนกระทั่งสงครามแห่งรุ่งอรุณ! ข้าตรวจสอบบันทึกโบราณทั้งหมดแล้ว และไม่พบพระเจ้าเทียมเท็จเลยสักองค์! ข้าอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุด ในเมื่อช่วงที่เกิดสงครามแห่งรุ่งอรุณมีพระเจ้าเทียมเท็จอยู่มากมาย นั่นหมายความว่าโลกหลักมีเงื่อนไขบางประการสำหรับการรวบรวมบอลแสงแห่งเทวภาพ แต่เหตุใดมันจึงมีพระเจ้าเทียมเท็จอยู่จำนวนมากในดินแดนใหม่ ทว่าไม่มีเลยสักองค์ในโลกหลัก นั่นก็เพราะว่าโลกแห่งวิญญาณคือผู้อยู่เบื้องหลังนี่เอง” เฟอร์นันโดส่งเสียงขึ้นจมูก
เอริก้าขมวดคิ้วเข้าหากัน “ท่านกำลังจะบอกว่าโลกแห่งวิญญาณสังเกตเห็นบุคคลในตำนานหรือสัตว์อสูรทรงพลังทุกตนที่อาจรวบรวมพลังเป็นบอลแสงแห่งเทวภาพได้ และพวกเขาก็สิ้นชีพลง ‘ตามธรรมชาติ’ ในตอนที่เกือบจะทำสำเร็จอย่างนั้นหรือ”
“ก็อาจเป็นไปได้ ตามที่อีวานส์เขียนไว้ในรายงาน สิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณฟื้นคืนพลังขึ้นมากด้วยการดูดซับเทวภาพที่มีลักษณะพลังคล้ายคลึงกัน บางที ผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งหลายในโลกแห่งวิญญาณอาจจะจับตัวราชาแห่งสฟิงซ์มาและเปลี่ยนเทวภาพของมันเพื่อปลุกมันขึ้นก็ได้” วิเซนเตกล่าวเสียงเนือยๆ
สำหรับบุคคลในตำนานอย่างฟิงส์ แม้ว่ามันจะไม่ได้เก็บรวบรวมเทวภาพอย่างต่อเนื่อง แสงแห่งเทวภาพย่อมมารวมกลุ่มในตัวเขาตามธรรมชาติหลังจากที่เขาได้รับการเคารพบูชาจากสฟิงซ์ทุกเผ่า เป็นตอนนั้นเองที่เขาดึงดูดความสนใจจากโลกแห่งวิญญาณ
นอกจากนี้ ในเมื่อเขาหาได้มอดม้วยมรนาไปอย่างแท้จริง พลังแห่งศรัทธาที่เกิดขึ้นโดยสันชาตญาณย่อมมารวมตัวกันตรงจุดที่เขาถูกปิดผนึก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ยุวชนรุ่นหลังจะกลายเป็น ‘พระเจ้า’ มันคงจะเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้กับ ‘แอมบูลา’ เจ้าแห่งมหาสมุทรที่ชนเผ่าคัวโทนบูชา แม้ว่าจักรพรรดิของเผ่าคัวโทนจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่เขากลับสัมผัสถึงพลังแห่งศรัทธาไม่ได้เลยสักนิด
นั่นคือสาเหตุที่พระเจ้าเทียมเท็จไม่เคยปรากฏขึ้นหลังจากสิ้นสุดยุคสมัยของเทวตำนาน จนกระทั่งช่วงสงครามแห่งรุ่งอรุณที่มีคนกลุ่มใหญ่เริ่มเผยแพร่คำสอนและรวบรวมความเชื่อความศรัทธา
เพียงพูดคุยกันครู่สั้นๆ นักเวทชั้นตำนานทั้งหกก็เปิดเผยแผนการชั่วร้ายที่ถูกปิดซ่อนมากว่าหลายหมื่นปีได้เสียกระนั้น
โลกแห่งวิญญาณคอยลอบมองเข้ามาและเป็นภัยต่อโลกหลักมาโดยตลอด มันหาใช่โลกที่ไร้พิษสงแต่อย่างใด!
การสำรวจคราวนี้มีคุณประโยชน์เสียยิ่งกว่าที่คาดหวังไว้!
“พิธีกรรมในโลกแห่งวิญญาณนับว่าไม่เลวเลย ราชาแห่งสฟิงส์หลับใหลมานานกว่าหนึ่งหมื่นปีโดยที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยผุพังสักนิด” เคลาส์ส่ายศีรษะด้วยใบหน้ายิ้มๆ ช่วยคลี่คลายบรรยากาศที่แข็งทื่อไปชั่วครู่ด้วยมุกตลก
ลูเซียนแย้มยิ้ม “เมื่อใดที่เวลาชีวิตของท่านใกล้หมดลง ท่านก็ส่งใบสมัครมาให้ผู้มีพลังชั้นตำนานในโลกแห่งวิญญาณเพื่อรับการปิดผนึกสิขอรับ จากนั้น พอหลายพันปีผ่านไป หากฝันของท่านเป็นจริงได้ ท่านก็จะสามารถตื่นขึ้นมาอีกครั้งและได้เสวยสุขกับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“หืม เป็นความคิดที่ดีนี่” เควาส์ยิ้มขัน “แต่ข้ายังเล่นสนุกไปได้อีกนาน และยังมีหุ่นกระบอกรอให้ข้ากลับไปอีกมากมาย ข้าไม่สามารถถูกปิดผนึกอยู่ในสุสานทึบทึมและปกป้องอารามแห่งวิญญาณด้วยรูปลักษณ์น่ารังเกียจเช่นนี้หรอก”
หลังจากสูดหายใจลึก ดักลาสก็ชี้ไปทางทางเข้าลับตรงหน้า “สิ่งที่เลวร้ายกว่านี้อาจรอเราอยู่ก็เป็นได้ เราต้องระวังตัวเอาไว้”
ซากศพของราชาแห่งสฟิงซ์หยุดกระเสือกกระสนดิ้นรนแล้ว ตัวด้วงสีดำฝูงใหญ่หาได้ให้ความรู้สึกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความมีชีวิตและความตายอีกต่อไป ไม่นานพวกมันก็กลายเป็นเมือกสีเทาและหลอมละลายจนเป็นกองโคลนสีดำ
…
ประตูสีดำล้วนตกแต่งด้วยลวดลายชวนหดหู่สิ้นหวัง มันแผ่ความเย็นเยียบผิดธรรมชาติออกมา กระตุ้นความหวาดเกรงให้กับทุกผู้คนที่พบเห็น
ประตูทางเข้าสูงหลายสิบเมตร ราวกับถูกออกแบบมาให้ยักษ์ใช้ แต่ตามที่อะดอลพรรณนาไว้ นี่คือประตูบานที่เล็กที่สุดในเขตปราสาทแล้ว
ปีศาจระดับสูงในชุดเสื้อคลุมยาวตัวพองมากมายที่ดูคล้ายกับอะดอลลอยละล่องไปมา พวกมันอยู่ตรงนี้เพื่อคอยปกป้องเส้นทาง
ดักลาสย่นคิ้วเข้าหากัน “พลังจิตถูกปิดกั้นในอารามแห่งวิญญาณ ดวงตาเวทมนตร์ของข้าจะตัดขาดการเชื่อมต่อหลังถูกส่งเข้าไป ดูเหมือนว่าเราคงทำได้เพียงลอบเข้าไปเท่านั้น”
“บางที อารามแห่งวิญญาณอาจเป็นส่วนหนึ่งของภาพมายาสะท้อนของสิ่งมีชีวิตลึกลับในโลกแห่งวิญญาณก็เป็นได้” วิเซนเตโพล่งขึ้นมา
“เป็นไปได้มาก” เฟอร์นันโดเห็นด้วยกับวิเซนตาอย่างหาได้ยากยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ นักเวทชั้นตำนานทั้งหกจึงเดินตรงไปยังประตูโดยมีเวทมายาคุ้มกันกาย
ดูเหมือนว่าฟิงส์จะเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานที่เฝ้าอารักขาทางเข้านี้ ลูเซียนกับคนอื่นๆ จึงไม่พบเจอกับผู้มีพลังชั้นสูงตนใดอีก ภายใต้สายตาของปีศาจระดับสูงนับสิบๆ ตน พวกเขากลับเข้าไปอย่างเปิดเผยและด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับกำลังกลับเข้าบ้านตนเอง เหล่าปีศาจระดับสูงหาได้สนใจพวกเขาไม่
ปราสาททั้งหมดเป็นสีดำล้วน ดูเย็นชาและเงียบงัน สวนทุกแห่งจะมีใบหน้าซีดเซียวโผล่ขึ้นมา โถงทางเดินถูกปิดกั้นทุกเส้นทาง และทุกๆ ซอกมุมจะมีปีศาจตัวเน่าเหม็นคอยไปตรวจดู… หลังจากเดินเท้ากันครู่ใหญ่ ดักลาสก็เอ่ยขึ้นว่า “ส่วนของอารามข้างหน้านี้ไม่ใช่ ‘ทะเลสาปภูติผี’ อย่างในความทรงจำของอะดอลอีกต่อไป นั่นหมายความว่าพิกัดได้เปลี่ยนไปแล้ว จากนี้ไปเราต้องพึ่งตัวเราเองแล้วล่ะ”
เป็นโชคดีที่พวกเขายังมีแบบแผนการเปลี่ยนพิกัดที่มาสเกลีนและไวเค็นทิ้งไว้ ในเมื่อเป็นที่แน่นอนแล้วว่าทั้งสองต่างหายตัวไปที่เบื้องหลังเตาหลอมวิญญาณ พวกเขาย่อมต้องไปถึงเตาหลอมวิญญาณได้แน่ ตราบใดที่พวกตนเคลื่อนไหวไปตามพิกัดที่คำนวณได้
หลังจากคำนวณหาพิกัดตามตัวแปรทางสภาพแวดล้อม ทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าต่อไป พวกเขาทำเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ เป็นครั้งคราว
“ข้ารู้สึกว่าเวลาและอวกาศในอารามแห่งวิญญาณมีความผิดปกติ” จู่ๆ ดักลาสก็หยุดเดินตรงหน้าปราสาทอีกแห่ง “เหมือนว่าเราหลุดเข้ามาในโลกอีกใบหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น”
ลูเซียนหยิบนาฬิกาพก ‘จันทรากาล’ สีเงินขึ้นมา “ใช่ขอรับ เวลาและอวกาศของที่นี่แตกต่างออกไป เข็มวินาที เข็มนาที และเข็มชั่วโมงกระโดดมั่วไปหมด เวลาและอวกาศจะเปลี่ยนไปตามทุกๆ ย่างก้าวของเรา”
“อีกอย่าง ยิ่งเราเข้าไปลึกมากเท่าไร เวลาก็ยิ่งเดินช้าลงมากเท่านั้น ตอนนี้หนึ่งวันที่นี่เท่ากับห้าวันที่ด้านนอก” ดักลาสจดข้อมูลนี้ลงในสมุด นี่คือภาระหน้าที่ของ ‘เหล่านักบุกเบิก’
เฟอร์นันโดคำนวณระยะห่างระหว่างพิกัดที่มาสเกลีนหายตัวไปกับพิกัดในปัจจุบัน “อีกไม่นานเราก็จะได้เห็นเตาหลอมวิญญาณแล้วล่ะ”
ขณะเดินทาง กลุ่มสำรวจบังเอิญพบเจอกับปีศาจชั้นตำนานไร้สติปัญญาอีกสี่ตน แต่ต้องขอบคุณวิเซนเตและเอริก้า พวกเขาจึงใช้กลโกงผ่านไปได้อย่างไร้ปัญหา
“หวังว่าเราจะไปถึงจุดหมายหลังจากผ่านปราสาทหลังนี้ไปนะ” ดักลาสแปลงกายเป็นก๊าซแล้วลอยละล่องผ่านช่องว่างบนประตูทางเข้าปราสาทโดยไม่ไปกระตุ้นวงแหวนเวทใดๆ
ภายในปราสาทมีชั้นหนังสือมากมายหลายแถวโดยมีตำราที่กลายเป็นสีเหลืองด่างดวงเพราะเก็บไว้ในที่ที่มีอากาศเน่าเหม็นหนาแน่น บนชั้นหนังสือแต่ละชั้น จะมีเทียนไขสีขาวสามเล่มที่ส่องแสงสลัวลาง ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องดูน่าหวาดหวั่น
“ห้องสมุดเช่นนั้นหรือ” เคลาส์ค่อนข้างประหลาดใจ “มีห้องสมุดอยู่ในอารามแห่งวิญญาณเนี่ยนะ”
ไม่มีปีศาจตนได้ที่ดูจะสนใจในตำราเหล่านี้สักนิด!
ดวงตาสีแดงของเฟอร์นันโดเปล่งประกายสีเงินเจิดจ้าขณะอ่านเนื้อหาหลังปกโดยไม่ที่ตัวเล่มไม่ขยับเลยสักนิด
“พวกนี้เป็นตำราล้ำค่าจากยุคสมัยต่างๆ ที่บันทึกถึงอารยธรรมซึ่งสูญสลายไปแล้วมากมาย รวมถึงยุคสมัยแห่งเทวตำนานที่เราไม่รู้จักอีกด้วย” หลังจากอ่านอยู่นาน เฟอร์นันโดก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
สำหรับนักเวทแล้ว ตำราคือของรางวัลที่ดีที่สุด!
ดักลาสแย้มยิ้ม “จำพิกัดของที่แห่งนี้ไว้แล้วไปต่อกันเถิด เราจะมาเอาตำราพวกนี้ตอนขากลับ”
มันอาจส่งสัญญาณเตือนปีศาจชั้นตำนานอย่างง่ายดายหากพวกเขาหยิบตำราไปในตอนนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยใช่เหตุ และทำให้การสำรวจเตาหลอมวิญญาณต้องล่าช้าไป แต่พวกเขาไม่ต้องห่วงกังวลเช่นนั้นในตอนขากลับ อีกประการหนึ่ง ที่แห่งนี้ยังเป็นบริเวณรอบนอกเท่านั้นและยังตรงกับแบบแผนการเปลี่ยนแปลงของพิกัดในความทรงจำของอะดอล พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องไขปริศนาเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ท่ามแสงเทียนวูบไหว ใบหน้าซูบตอบของวิเซนเตที่มีผิวหนังเพียงชั้นเดียวดูน่ากลัวอย่างที่สุด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “มีบางอย่างเปลี่ยนไปหรือไม่”
เฟอร์นันโดพลันมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาสัมผัสได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับพลังจิตของเขา “เอริก้าอยู่ไหน”
ในตอนนั้นเอง ลูเซียนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเอริก้า ‘ปรมาจารย์แห่งการแปลงกาย’ ที่เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันมาตลอดนั้นหายตัวไปแล้ว! นางหายตัวไปโดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด!
ภายในห้องสมุดที่ปราศจากลม เปลวไฟบนเทียนไขกลับไหววูบ ดูราวกับดวงตารูปทรงประหลาด
ลูกแก้วคริสตัลสีใสพลันปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้างของดักลาส หลังจากที่มันเปล่งแสงระยิบระยับ เขาก็ยื่นมือขวาออกไป และประตูล่องหนก็พลันเปิดออก
พื้นที่ในห้องเปลี่ยนไปเมื่อห้องลับปรากฏขึ้นในห้องสมุด
ภายในห้องลับ ปีศาจหนุ่มผู้มีผมสีดำและริมฝีปากสีแดงสด จับกุมตัวเอริก้าไว้และกำลังฝังคมเขี้ยวอยู่ตรงลำคอของนาง นัยน์ตาสีเหลืองอ่อนของเอริก้าไม่หลงเหลือความมีชีวิตชีวา และใบหน้าของนางก็แข็งทื่อ
เมื่อสัมผัสได้ว่าห้องลับถูกเปิดออก บุรุษวิปลาสในชุดคลุมหรูหราก็หันขวับกลับมา ใบหน้าซีดเซียวอย่างผิดธรรมชาติของเขากับปากสีแดงอาบโลหิตช่างเป็นภาพที่ขัดแย้งกันยิ่ง ขณะที่หยาดโลหิตไหลย้อยลงจากริมฝีปาก เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “นานมากทีเดียวที่ข้าไม่ได้เพลิดเพลินไปกับรสชาติแสนโอชาของเลือดเช่นนี้!”
เขานึกว่าดักลาส ลูเซียน และคนที่เหลือจะแสดงอาการตกตะลึงและหวาดกลัว แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงรอยยิ้มเยาะหยัน ยกเว้นวิเซนเตที่แทบแสดงสีหน้าปกติไม่ได้อยู่แล้ว
ในตอนนั้นเอง เขาก็ยกมือขึ้นกุมลำคอด้วยความเจ็บปวดระคนประหลาดใจ รู้สึกคล้ายกับมีบางอย่างกำลังเผาผลาญดวงวิญญาณเขาจากภายในร่าง พร้อมกันนั้น หยาดเลือดบนริมฝีปากเขาก็เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า
เอริก้าในกำมือเขากลับมาหายดีตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้ นางปัดมือของเขาทิ้ง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตรงลำคอและเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “มารดาเจ้าไม่เคยสอนหรือว่าห้ามดื่มเลือดจากคนแปลกหน้า โดยเฉพาะจากปรมาจารย์แห่งการแปลงกายน่ะ”
………………………………………