Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 619 การคุ้มกันแข็งแกร่งเป็นบ้า
บทที่ 619 การคุ้มกันแข็งแกร่งเป็นบ้า
ในอารามแห่งวิญญาณนั้นมีมัมมี่บรรพชนอยู่มากมาย แต่จะมีเพียงตัวเดียวที่สวมมงกุฎทองคำ
นั่นก็คือราชาของเหล่ามัมมี่บรรพชน มันมีพลังชั้นตำนานระดับสาม เป็นผู้ควบคุมดูแลอาณาเขตรอบนอกของอาราม มันมีพลังต้านทานต่อเวทมนตร์ใดก็ตามที่ต่ำกว่าชั้นตำนาน และยังรวมถึงเวทชั้นตำนานระดับหนึ่งบางบทอีกด้วย!
หากว่าไม่รู้จักเวทมนตร์จำเพาะที่จะใช้การได้หรือมีพลังโลหิตแบบพิเศษ การเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากอย่างแสนสาหัส แย่เสียยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดเสียอีก เพราะไม่ว่าจะใช้การโจมตีรูปแบบใดก็ทำอะไรมันไม่ได้
ลูเซียนนึกถึงเนื้อหาในตำราที่เขาเคยอ่าน ‘ราชาของเหล่ามัมมี่บรรพชน หวาดกลัวแสงศักดิ์สิทธิ์ พลังสุริยัน และเปลวเพลิงอุณหภูมิร้อนสูง ไม่มีพลังต้านทานเวทพังทลายขั้นสุดยอดและเวทหยุดเวลาขั้นสูง เกราะป้องกันการใช้อาวุธทางกายภาพอยู่ในระดับสูง…’
ติ๊กๆ… เข็มวินาทีสีดำของนาฬิกาพกเดินต่อไปเรื่อยๆ ลูเซียนไม่ปล่อยให้มัมมี่ตนนี้มีโอกาสได้ส่งเสียงหรือจู่โจม
เขากดนิ้วโป้งลงไป
กริ๊ก เข็มวินาทีสีดำหยุดเดิน จากนั้นโลกทั้งใบก็พลันไร้สีสัน เหลือเพียงสีเทาและขาวเท่านั้น การเคลื่อนไหวของมัมมี่บรรพชนแข็งค้างไป ราวกับอยู่คนละมิติกัน
ลูเซียนไม่อาจร่ายคาถาเวทพังทลายขั้นสูงสุดได้ แม้ว่าเขาจะสามารถลองใช้เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่ามันจะช่วยอะไรได้ อย่างไรเสีย เขาก็มีระดับพลังต่ำกว่ามัมมี่ถึงสองขั้น
เขาคิดว่าดาบแห่งสัจธรรมคงทำลายปราการคุ้มกันของมัมมี่ได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ดาบไม่อาจทำอะไรมันได้ แม้ว่าดาบแห่งสัจธรรมจะทรงพลังอย่างยิ่ง พลังของมันก็ยังแผ่วลงอยู่ดีหลังจากทลายปราการไปแล้วหนึ่งชั้น
อีกอย่าง ในเมื่อราชามัมมี่มีพลังต้านทานเวทมนตร์ชั้นตำนานของศาสตร์มืด แหวนคอนกุสจึงค่อนข้างไร้ประโยชน์หากคิดจะใช้โจมตีมัน
ด้วยมีพลังต้านทานเวทมนตร์แห่งความตายและเวททำลายล้าง เวทการทำลายล้างยิ่งใหญ่ย่อมไม่ส่งผลใดๆ ต่อราชามัมมี่
…
ลูเซียนนึกถึงเวทมนตร์ทั้งหมดที่มีเพื่อดูว่าตนเองจะใช้อะไรได้บ้างในยามนี้ วินาทีที่เขากดเม็ดมะยม เขาก็พร้อมจะดำเนินการตามกลยุทธ์ที่วางไว้
“เวทจัดลำดับธาตุ”
คาถาเวทถูกร่ายออกไป ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ลูเซียนได้พัฒนา ‘เวทจัดลำดับธาตุ’ ของตนจนมีคุณสมบัติของชั้นตำนานโดยอ้างอิงจาก ‘เวทแยกธาตุ’ แต่เนื่องจากข้อจำกัดที่ว่าเขาสามารถประทับสัญลักษณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานไว้ในดวงจิตได้เพียงสี่บท ลูเซียนจึงต้องร่ายคาถาเวทมนตร์แสนยืดยาวนี้ และยังต้องใช้สัญลักษณ์มือแสนซับซ้อนเข้าช่วยอีกด้วย หากไม่ใช่ว่าเวลาถูกหยุดไว้ชั่วคราว มัมมี่บรรพชนคงจะมีเวลามากพอจนสามารถสังหารเขาได้ถึงสองครั้งสองครา
หลังจากเสริม ‘เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ เข้าไปในบทเวทจัดลำดับธาตุ ผลของเวทหยุดเวลาก็หมดลง ในวินาทีสุดท้าย ลูเซียนร่าย ‘เวทแปลงกายเปเลอร์’ แล้วชักดาบแห่งสัจธรรมออกมา จากนั้นเขาก็เหวี่ยงดาบใส่มัมมี่บรรพชนอย่างแรง
แสงสีเงินสว่างวาบ
สีสันกลับมาดังเดิม สีดำบนกำแพงแต่ละฝั่งฟื้นคืนกลับมา สีเหลืองอ่อนบนผ้าพันแผลก็กลับมาเช่นกัน
แต่ทันใดนั้น จุดแสงที่มีสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างของราชามัมมี่ แล้วผ้าพันแผลสีน้ำตาลอมเหลืองก็ระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่า แม้ผ้าพันแผลจะหายไปทีละชั้นๆ แต่ผิวหนังเน่าเปื่อยดำมะเมื่อมกลับยังไม่เผยโฉมออกมา
แสงสีเงินตัดผ่านวูบ ส่งผลให้มัมมี่บรรพชนกรีดร้องโหยหวนอย่างที่สุด
“ฮูวววววว!”
เสียงกรีดร้องบาดหูแทรกทะลวงผ่านเวทป้องกันส่วนใหญ่ของลูเซียนในทันที ทำให้เขาเกิดอาการวิงเวียนศีรษะอย่างยิ่ง
นี่คือพลังอำนาจที่น่าหวาดหวั่นของสัตว์อสูรชั้นตำนานระดับสาม!
แต่ในที่สุดผ้าพันแผลช่วงอกของราชามัมมี่ก็ถูกตัดขาดออกเป็นสองส่วน บัดนี้ผิวเนื้อเน่าเปื่อยสีดำดุจโลหะได้ปรากฏรอยเฉือนบาดลึก และปากแผลก็มีพลังในการขัดขวางไม่ให้ผิวเนื้อเน่าเปื่อยฟื้นตัวกลับมา น้ำหนองจากซากศพที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนหยดลงบนพื้น กลืนกินกระเบื้องบนพื้นไปในทันทีเพราะฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงของมัน
แต่บาดแผลนี้ยังไม่ลึกพอ ลูเซียนคำนวณดูแล้วคาดว่าหากราชามัมมี่จะสิ้นชีพได้ คงต้องฟาดดาบใส่อีกอย่างน้อยห้าหรือหกครั้งบนปาดแผลเดิม
แต่แม้จะมีพลังของอัศวินชั้นตำนานระดับหนึ่งหลังจากใช้เวทแปลงกาย การโจมตีอย่างรุนแรงเพียงครั้งเดียวนี้ก็ถือว่าลูเซียนได้ใช้พละกำลังไปอย่างเต็มที่แล้ว ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถฟาดดาบได้อีกห้าหรือหกครั้ง เพราะเขายังเร็วไม่พอ!
เว้นแต่ว่า… เว้นแต่ว่าเขาจะใช้ ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ แต่นั่นจะทำให้นาฬิกาจันทรากาลต้องใช้เวลาทั้งวันในการฟื้นฟูพลัง ลูเซียนอาจสูญเสียเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเอาชีวิตรอดจากอารามอันมืดมิดแห่งนี้ก็เป็นได้
“ฮูวววววว!”
กลุ่มควันมืดครึ้มซึมแทรกออกมาจากปากแผลและปกคลุมมันไว้ เกราะป้องกันได้เพิ่มขึ้นมากหลายชั้นอีกครา
ลูเซียนรู้สึกหัวเสีย ไม่เพียงเพราะปัญหายุ่งยากในการจัดการราชามัมมี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความลังเลของตนเองอีกด้วย หากว่าเขาไม่รอดไปจากที่นี่ มันก็จะไม่มีอนาคตใดรออยู่ หากเขาฉวยโอกาสและโจมตีต่อเนื่องโดยใช้เวทหยุดเวลา เขาก็อาจสังหารสัตว์อสูรตนนี้ไปแล้วก็เป็นได้! แต่ตอนนี้ เขากลับต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด!
เกราะคุ้มกันของสัตว์อสูรตนนี้แข็งแกร่งเป็นบ้า!
ในตอนนั้นเอง แขนของมัมมี่บรรพชนก็พลันยื่นออกมายืดยาว เป็นการจู่โจมที่ลูเซียนไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด
แต่โชคยังดีที่ร่างกายลูเซียนมีปฏิกิริยาตอบสนองไปตามสัญชาตญาณของอัศวินชั้นตำนาน แขนซ้ายของเขายกโล่สีดำอันเล็กขึ้นอย่างฉับไว
ปัง! พลังจากแรงปะทะส่งผลให้อากาศสั่นสะเทือนดุจสายน้ำที่เกิดระลอกคลื่น ทว่า ระลอกคลื่นเหล่านั้นไม่อาจทำอันตรายใดๆ ต่อลูเซียนได้ ราวกับว่าเขาอยู่คนละมิติกับมัน!
มัมมี่บรรพชนพลันเร่งความเร็วและแยกร่างเป็นเงามืดหลายสาย กลุ่มควันสีดำแผ่ออกมาจากมงกุฎทองคำจนเต็มพื้นที่ เข้ากัดกร่อนกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง
ปัง! ปัง! ปัง! ลูเซียนจำต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ เพื่อรับมือกับพลังนี้ หากไม่ใช่ว่าในมือเขาคือโล่แห่งสัจธรรม ลูเซียนคงสูญเสียโล่ของตนไปแล้วเพราะการโจมตีที่เกรี้ยวกราดรุนแรงเหนือจินตนาการนี้ แต่ถึงกระนั้น ตัวโล่ก็ยังปรากฏรอยร้าวลึกอยู่หลายแห่ง และคลื่นสั่นไหวในอากาศก็เริ่มกราดเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ
ลูเซียนรู้ดีว่าพลังจิตของตนยังห่างไกลจากการคาดเดาการเคลื่อนไหวของผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสามได้เร็วพอ สมองของเขาทำงานเร็วรี่เพื่อวิเคราะห์ว่าต่อจากนี้ตนควรทำอย่างไร
เวทแปลงกายเปเลอร์เป็นเพียงเวทมนตร์ระดับหก ดังนั้นแล้ว บัดนี้มันจึงแสดงให้เห็นถึงปัญหามากมายในการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังชั้นตำนาน พรมแดนแห่งอำนาจจิตที่ถูกแปรสภาพโดยพลังจิตไม่อาจมีพลังในระดับเดียวกับอัศวินชั้นตำนาน เมื่อเผชิญหน้ากับมัมมี่บรรพชน ข้อบกพร่องเหล่านี้จึงสร้างความเสียเปรียบอย่างยิ่ง
ฮูววววววว!
ที่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือ เสียงกรีดร้องโหยไห้และโกรธเกรี้ยวเดือดดาลกำลังไล่หลังพวกเขามามากขึ้นเรื่อยๆ ฝูงปีศาจและสัตว์อสูรชั้นตำนานที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้เข้ามาในห้องโถงแล้ว
ลูเซียนพลันเก็บดาบแห่งสัจธรรมในมือขวา และคว้านาฬิกาพกที่ลอยอยู่ในอากาศคอยตามติดเขา ปลายนิ้วสัมผัสไล้ตัวเรือนแผ่วเบา
แม้ในระหว่างการแปลงกาย เขาจะไม่สามารถร่ายเวทมนตร์บางบทได้โดยตรง แต่ลูเซียนก็ยังใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานได้
สัมผัสลูบไล้นั้นกระตุ้นการทำงานของเข็มวินาทีสีดำ แล้วเวลาในบริเวณนั้นก็พลันถูกแทรกแซง วูบหนึ่งเร็วขึ้น วูบหนึ่งช้าลง มัมมี่บรรพชนเองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
จันทรากาลคืออุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานระดับสอง ด้วยวิธีการใช้งานพิเศษ พลังของมันจึงเกือบจะเทียบเท่าระดับสาม ดังนั้น มันจึงใช้ได้ผลกับมัมมี่บรรพชนอย่างยิ่ง!
เมื่อสบโอกาส ชุดสูทกระดุมสองแถวของลูเซียนก็เปล่งประกายวูบ บอลแสงเจิดจ้าขนาดเท่ากำปั้นถูกปลดปล่อยออกจากเสื้อคลุมเวทมนตร์และพุ่งเข้าใส่ราชามัมมี่!
ตูม!
ระเบิดร้ายแรงเสียงดังกึกก้องจนหูอื้อประกอบไปด้วยเปลวเพลิงบิดเป็นเกลียว สายฟ้าสีขาว และระเบิดน้ำกรดสีเขียว ยังส่งผลให้พื้นที่นั้นกลายเป็นนรกขุมหนึ่ง
‘บอลนรก!’ เวทมนตร์โบราณชั้นตำนานจากสำนักเวทธาตุ! เวทบทนี้คือการหลอมรวมพลังจากไฟ สายฟ้า กรด และคลื่นเสียง!
“ฮูวววววว!”
มัมมี่บรรพชนร้องคำรามโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ตัวมันติดไฟลุกโหม และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มองไม่เห็นก็กำลังเผาผลาญร่างของมันเช่นกัน ทว่า เกราะคุ้มกันกายของมันกลับกายไปเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
‘การคุ้มกันแข็งแกร่งเป็นบ้า!’
เมื่อเห็นว่าวิธีนี้ใช้ไม่ค่อยได้ผล ลูเซียนก็รีบหยุดตัวเองจากการกดเม็ดมะยม เก็บโล่และยกเลิกการแปลงกาย ก่อนจะร่ายเวทเสียงแผ่ว
“จักรวาลอะตอม!”
มันหาใช่เวทมนตร์ชั้นตำนาน แต่เป็นภาพมายาสะท้อนมิติพิเศษของเขา ซึ่งสามารถเข้าแทรกแซงโลกแห่งความจริงได้!
ภายในโถงทางเดิน ท้องนภาระยิบระยับอันไร้ขอบเขตพลันปรากฏขึ้น ธาตุต่างๆ มากมายดำเนินไปตามเส้นทางแห่งการแตกแขนงเป็นโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน จากนั้นก็กลับมาควบรวมกัน ไล่จากหนึ่งไปถึงหนึ่งพัน
การหลอมละลายนี้ได้ผลิตดวงอาทิตย์ใหญ่ยักษ์ออกมาเป็นจำนวนมาก และอุณหภูมิร้อนสูงกับแสงเจิดจรัสก็ร้อนแผดเผาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“อ๊ากกกกกกก!”
มัมมี่บรรพชนยกแขนขึ้นบางดวงตาโดยสัญชาตญาณ กลุ่มควันสีดำแตะกระจายระเหยหายกลับเข้าร่างของมัน
นี่คือการหลอมรวมอะตอม หรือก็คือ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์!’
เมื่อเห็นเช่นนั้น ลูเซียนก็รีบเรียกใช้เวทที่ประทับไว้ในดวงจิตชุดหนึ่งกับตนเอง แล้วโผบินผ่านราชามัมมี่ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
การหลอมรวมนี้เลียนแบบออกมาโดยใช้ภาพมายาสะท้อนมิติพิเศษของเขา และนี่ก็คือพลังชั้นตำนานพิเศษ ‘ผู้บัญชาอะตอม’ พลังของมันจึงอ่อนกำลังกว่าเวทเปลวเพลิงนิรันดร์ของจริงมาก แต่นี่เป็นเพียงการข่มขวัญและสร้างโอกาสให้ลูเซียนวิ่งหนีสุดชีวิต
จริงอยู่ว่าลูเซียนคิดว่าตนสามารถฉวยโอกาสนี้โจมตีได้อีกหลายระลอก แต่เขาก็ตัดสินใจว่าตนควรหนีได้แล้ว ณ จุดนี้
เมื่อผลักประตูเปิด เบื้องหน้าลูเซียนก็ปรากฏโถงทางเดินสองทางให้เลือก แต่เขาไม่เลือก ฉับพลันนั้น เขาก็แยกร่างออกเป็นสองคน หนึ่งคนต่อหนึ่งทางเลือก แล้วเขาก็ออกวิ่งต่อไป
จากนั้นก็มีทางแยกอีกครั้ง ลูเซียนจึงแยกร่างอีกครา
หลังจากทำเช่นนั้นอยู่สามครั้ง ลูเซียนตัวจริงก็มาถึงห้องโถงหน้าตาเหมือนเขาวงกต แต่เสียงกร่นด่าแหบแห้งเปี่ยมด้วยโทสะเองก็ไล่ตามหลังมาไม่ไกลแล้วเช่นกัน
“เจ้าไม่มีทางหนีรอดจากเงื้อมมือข้า!”
‘เวร! สัญชาตญาณของมัมมี่บรรพชนจะทำงานได้ดีเกินไปแล้ว’ ลูเซียนนึกว่าตนสลัดอีกฝ่ายหลุดไปแล้วเพราะเขาเพิ่งจะร่ายเวทมายาและโหราศาสตร์ไปชุดใหญ่ตลอดทางที่วิ่งมา!
แต่ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่ง และที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นก็คือกะโหลกศีรษะทองคำ
นั่นมันเทพอสูร-ลิช!
ลูเซียนจำต้องเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้แสนทุลักทุเลอีกรอบหนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำสิ่งใด เขาก็มองเห็นเคลาส์
เคลาส์มีสีหน้าเคร่งเครียดในยามนี้ และเบื้องหน้าเขาก็มีหุ่นกระบอกเด็กสาวผมสีบลอนด์อยู่ตัวหนึ่ง
ภายในหนึ่งวินาที หุ่นกระบอกอันงดงามก็กลายเป็นกะโหลกศีรษะทองคำ
แล้วเคลาส์ก็ร่ายเวท
“เวทการทำลายล้างยิ่งใหญ่!”
กะโหลกศีรษะทองคำถูกบดเป็นผุยผงอย่างเงียบงัน ในขณะเดียวกันนั้น เทพอสูร-ลิชก็กรีดเสียงร้องโหยหวนและกลายเป็นกองเถ้าถ่าน
แม้ว่าเขาจะสังหารคู่ต่อสู้ของตนได้ เคลาส์กลับไม่ได้มีท่าทางยินดีแต่อย่างใด ใบหน้าเขาซีดเซียวอย่างยิ่ง เวทมนตร์ที่เขาเพิ่งใช้ไปนั้นกินพลังจิตเขาไปเสียส่วนใหญ่และทำให้เขาต้องสูญเสียแขนกับขาไปอย่างละข้าง
“ลูเซียน?” เคลาส์ค่อนข้างประหลาดใจ ก่อนที่รอยยิ้มขมขื่นจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “ข้าไม่อยากให้เจ้ามาอยู่ที่นี่เลย ลูเซียน สิ่งที่ไล่ตามเจ้ามาแข็งแกร่งกว่าเทพอสูร-ลิชมากนัก!”
“ข้าต้องขออภัยด้วย เคลาส์ แต่ข้าทำอะไรไม่ได้จริงๆ” ลูเซียนตอบ “แต่ตอนนี้มันบอกได้ยากว่าเจ้าจะกลายเป็นเป้าหมายใหม่หรือไม่ ข้าขอแนะนำให้เราร่วมมือกันส่งมันกลับสู่การหลับใหลนิรันดร์อีกครั้งเถิด”
ไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาแต่วิ่งหนีต่อไปได้
เคลาส์ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง “ข้ามีทางเลือกเช่นนั้นหรือ”
จริงๆ เคลาส์สามารถหนีไปได้ทันที แต่ก็อย่างที่ลูเซียนว่าไว้ มัมมี่บรรพชนอาจเปลี่ยนเป้าหมายมาไล่ล่าติดตามเขาแทนก็ได้ อย่างไรเสีย เคลาส์ก็มีพลังแข็งแกร่งกว่าลูเซียน ดังนั้นเขาจึงถือเป็นตัวอันตรายยิ่งกว่า