Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 646 โครงการใหม่ล้ำยุคล้ำสมัย
โลวี่ที่กำลังฟังอยู่ใกล้ ๆ ในฐานะผู้ช่วย พูดซ้ำคำด้วยความสงสัย “สร้างวงเวทช่วยคำนวณใหม่ตามตรรกะการคิดและคำนวณปกติ? ท่านอีวานส์ การคิดเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมาก ที่อาจไม่ตรงกับความต้องการสร้างความนิยม”
ในการประชุมรอบปกติ ลูเซียนอนุญาตให้ทุกคนพูดกันได้เต็มที่เมื่อยกมือ นั่นหมายความถึงการสร้างบรรยากาศของระดมสมองที่ทุกคนอาจได้รับแรงบันดาลใจ และก็ยังเป็นวิธีพัฒนาตัวเขาเองด้วย ลูเซียนรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าความสำเร็จในงานวิจัยล้วนตกเป็นของเขา แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้การพัฒนาทักษะอาร์คานาหย่อนยาน สำหรับการพัฒนาเวทมนตร์และสิ่งประดิษฐ์จากการเล่นแร่แปรธาตุ ลูเซียนเชื่อว่าผลงานของเขาค่อนข้างยอดเยี่ยมทีเดียว
“เราทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนง่ายขึ้นได้ เราคำนวณด้วยการแบ่งผลเป็นหลาย ๆ ลำดับ กระบวนการคิดก็เหมือนกัน นี่แหละที่ข้าคิด เราอาจแบ่งย่อยกระบวนการคิด ควบคุม และคำนวณ และมองหาข้อพื้นฐานที่สุดที่ทุกกระบวนการมีร่วมกัน แล้วเราก็เก็บกระบวนการนี้ไว้ภายในวงเวทช่วยคำนวณเป็นแนวทาง เวลาเราจะใช้มัน มันจะถูกดึงมาประกอบกันเป็นกระบวนการทั้งหมด ด้วยวิธีนี้ ก็สามารถใช้ได้กับสถานการณ์ส่วนใหญ่” ลูเซียนไม่ได้ออกคำสั่งกับลูกศิษย์ แต่เสนอเป็นแนวคิดให้กับตัวเอง เนื่องจากแนวคิดนี้ค่อนข้างก้าวหน้าไปกว่าความรู้และกระแสนนิยมในปัจจุบัน
เชลีย์ค่อนข้างสนใจ “น่าสนใจค่ะ ถ้าวงเวทช่วยคำนวณใช้ได้กับสถานการณ์ส่วนใหญ่ มันจะใช้เลียนแบบสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้จริง ๆ เหรอคะ? จะเป็นไปได้เหรอค่ะที่เราจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเครื่องจักร ถ้าเราพูดถึงโดยไม่รู้อะไรเลย?”
“เลียนแบบสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ไม่มีวิญญาณ?” สปรินต์รู้สึกว่าเชลีย์คิดมากเกินไป
ไฮดี้ถลึงตาใส่เขาปกป้องคู่หูร่วมวิจัย “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? มันก็แค่การเลียนแบบ แค่บรรจุปฏิกิริยาตอบสนองไว้ล่วงหน้ามากพอ ก็แทบจะไม่มีความแตกต่างอะไร”
เลย์เรียขมวดคิ้ว “แต่ว่ามีปัจจัยซับซ้อนมากมายตัดสินว่าใครจะตอบสนองต่อแต่ละเรื่องยังไง ข้าไม่คิดว่าจะลอกเลียนกันได้หรอก”
ตอนนั้นเอง ลูเซียนพยักหน้า “ความคิดเข้าท่านี่ ถ้าเจ้าสนใจเรื่องนี้ เจ้าค่อยลองมาศึกษาทีหลัง ถ้าวงเวทช่วยคำนวณพัฒนาไปถึงจุดที่กลายเป็นปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นยังไงถ้ามีชีวินรสายนเวทฝังอยู่ข้างใน?”
ตอนที่พูด แรงปรารถนาก็เปล่งประกายอยู่บนตาดำภายใต้แว่นตาข้างเดียวของเขา หรือนี่จะเป็นสกายเน็ต?
หลังจากนิ่งฟังอยู่เงียบ ๆ แคทริน่าก็ตั้งคำถามขึ้น “อาจารย์คะ การแตกกระบวนการที่ซับซับออกเป็นขั้นตอนมากมายแล้วประกอบใหม่ตามลำดับมันไม่วุ่นวายไปหน่อเหรอคะ? เราอาจจัดการกระบวนการเดียวกันนี้หลาย ๆ ครั้ง ขณะที่วงเวทช่วยคำนวณทำเสร็จไปครั้งเดียว”
สำหรับคำว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ ทุกคนเข้าใจความหมายตามตัวอักษรกันดีโดยไม่สับสน
“ให้นี่เป็นโครงการวิจัยของเจ้า” ลูเซียนยิ้ม “ข้ามีความคิดเริ่มต้น เนื่องจากเราสามารถควบคุมแสงโดยการออกแบบวงจรไฟฟ้าต่าง ๆ แล้วเราสามารถใช้วงจรไฟฟ้าพัฒนาวงเวทได้ไหมล่ะ? วงจรไฟฟ้ามีสองสถานะ เปิดกับปิด แล้วเราสามารถแสดงข้อมูลด้วยสองสถานะนี้เท่านั้น เหมือนกับรหัสผ่านที่เข้าใจยาก ๆ เหมือนที่นักเวทหลายคนเคยทำมาก่อนได้ไหม?”
นับตั้งแต่สำนักแม่เหล็กไฟฟ้าแยกตัวอกจากสำนักธาตุ การออกแบบวงจรไฟฟ้าก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ของทุกคนแล้ว นักเวทหลายต่อหลายคนใช้วงจรไฟฟ้าพัฒนาช่องไฟฟ้าในวงเวท ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งมีการสร้างวงเวทที่แปลงพลังน้ำเป็นกระแสไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ โครงสร้างพื้นฐานสายไฟฟ้าก็เริ่มมีขนาดใหญ่ การประดิษฐ์ตะเกียงวงเวท รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า แม้จะให้ข้อมูลกับพลเรือนทั่วไปว่าสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้คืออะไร อาชีพใหม่ ๆ มากมายที่อาศัยสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ‘ช่างซ่อมบำรุงวงจรไฟฟ้า’
การพัฒนาการส่งข้อความผ่านระบบแม่เหล็กไฟฟ้าที่รวดเร็วก็ก่อให้เกิดวิธีการเข้ารหัสต่าง ๆ นานา
ไฮดี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลิงโลด “กระแสไฟฟ้าเร็วมากกว่า ก็เป็นไปได้ที่กระบวนการที่ซับซ้อนจะสำเร็จเร็วมาก แต่ว่าเราจะเปิดปิดวงจรไฟฟ้ายังไงคะ?”
“แสดงข้อมูลด้วยสถานะเปิดหรือปิด…” เชลีย์เริ่มพิจารณาระบบฐานเลขสอง
ลูเซียนส่ายหน้ากับคำถามของไฮดี้ “เราจะควบคุมมันยังไง? นั่นเป็นเรื่องที่เจ้าต้องไปหามา ข้าคิดว่าเจ้าเริ่มงานจากสองมุมมอง เวทมนตร์กับสิ่งประดิษฐ์การเล่นแร่แปรธาตุ ธาตุบางชนิดที่เราเพิ่งค้นพบมีคุณสมบัติการเหนี่ยวนำพิเศษ เจ้าลองไปหาดูว่ามันมีประโยชน์ไหม แคทริน่ากับเลย์เรียเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว”
ลูกศิษย์สาวทั้งสองกำลังศึกษาเรื่องวัตถุเหนี่ยวนำยิ่งยวดและการเปลี่ยนแปลงวัตถุในอุณหภูมิเยือกแข็ง ทั้งสองยังค้นพบคุณสมบัติใหม่ ๆ ของธาตุอีกด้วย
เมื่อได้ยินคำชมของอาจารย์ ทั้งแคทริน่าและเลย์เรียส่ายหน้าแก้มแดงระเรื่อ “เรายังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอกค่ะ เพียงเพราะเรามีข้อมูลการทดลองเยอะก็เท่านั้น…”
“การถ่อมตัวเป็นเรื่องดี แต่เจ้าก็ต้องมั่นใจในตัวเองด้วย มีใครอยากร่วมโครงการปัญญาประดิษฐ์อีกไหม?” ลูเซียนถามพร้อมกับรอยยิ้ม
หลังจากการศึกษาว่าด้วยการพัฒนาวงเวทช่วยคำนวณถูกเปลี่ยนเป็นการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ มันก็กลายเป็นโครงการล้ำยุคทันสมัยที่สุดในทันที มันเป็นทักษะสูงสุดที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่เก่งในการแสวงหาทุนสนับสนุนต้องเข้าใจ
ไฮดี้และเชลีย์กำลังศึกษาหาแนวทางที่นอกเหนือจากสาขาธาตุและอะตอม ทั้งสองยกมือขึ้น เพราะสนใจกับคำว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ แคทริน่าและเลย์เรียก็อยากร่วมโครงการด้วย แต่โครงการวิจัยที่กองอยู่เต็มมือก็ต้องมีการทดลองซ้ำอีกหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลการวิจัย นอกจากนี้ พวกนางก็จะต้องศึกษาระบบการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย และทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทั้งสองหมดพลังที่จะร่วมโครงการวิจัยใหม่แล้ว
ด้านสปรินต์กับแอนนิคไม่สนใจ ทั้งสองคนหลงใหลกับการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยเชิงจุลภาค และทฤษฎีสัมพัทธภาพเชิงมหภาค ซึ่งเป็นการศึกษาที่ใกล้เคียงกับความจริงของโลกมากที่สุด จะมีอะไรน่าสนุกไปกว่าการสำรวจปริศนาของโลกอีกเล่า?
“ท่านอีวานส์ขอรับ ข้าสนใจขอรับ ขอข้าร่วมโครงการ นอกจากทำงานเป็นผู้ช่วยได้ไหมขอรับ?” โลวี่รวบรวมความกล้าถามออกไป
ลูเซียนพยักหน้าให้อนุญาต
อัลฟาเลียเป็นผู้ช่วยของไฮดี้อยู่แล้วตั้งแต่แรก และสนิมสนมกับสาวน้อยไร้เดียงสาอย่างไฮดี้ นางก็สมัครขอเข้าร่วมโครงการด้วย เบลคเลยก็สมัครตามนางไปด้วย
การประชุมดำเนินต่อไป และหัวข้อการประชุมเปลี่ยนเป็นเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สถาบันอะตอมก่อตั้งขึ้น ทุกคนผลัดกันรายงานข้อมูลการทดลองและผลสรุปการวิจัยของตน
…
‘เมแคนทรอน’ ‘ราชาทูตสวรรค์’ เดินอยู่ภายในทวารานาจักรด้วยขุ่นมัว ทันใดนั้น คลื่นพลังสีเทาก็ก่อตัวขึ้นต่อหน้าเขากลายเป็นชายชราผมหงอกขาวที่กำลังยิ้มให้เขา “กลับมาจากนครศักดิ์สิทธิ์แล้วรึ?”
‘เมแคนทรอน’ มอง ‘ปีศาจไวเค็น’ แล้วพูดขึ้น “มีคนบุกเข้าไปในหุบเขาวิมานได้ยังไง? เจ้าเลือกคนที่เข้าตา แทนที่จะสังหาร แปลงพวกเขา และฉายภาพสะท้อนและโยนมาให้ข้า เหมือนที่เจ้ากับทำซาร์ดหรือเปล่า?”
“ซาร์ดมองภาพรวมจากเบาะแสไม่ออก ข้าทำได้เพียงส่งต่อให้ท่าน ‘นำทาง’ เขา แต่ครั้งนี้ ไม่เหมือนกัน ลูเซียน อีวานส์ มีเครื่องรางมงกุฎสุริยัน เขาสามารถเชื่อมโยงเบาะแสเข้ากันได้ง่าย ๆ หลังจากข้าสั่งให้มาสเกลีนไปพบเขา เขาไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง” ‘ปีศาจไวเค็น’ มีสีหน้าบูดบึ้ง “ไม่ดีรึไง? คู่หูใหม่คนนี้มีแววมากกว่าซาร์ด คนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็มีอำนาจ”
“เพราะงั้น ข้าถึงเป็นกังวล แล้วสภาเวทมนตร์จะกักตัวนักบุญแห่งสัจธรรมและปล่อยให้เราได้เผยแพร่ความเชื่อ หลังจากพวกเขากำจัดไวเค็น? ข้ากลัวว่าพวกเขาจะอยากยึดเอาหุบเขาวิมานด้วย…” ‘เมแคนทรอน’ ยังมีสีหน้ากลัดกลุ้ม “ทำไมเจ้าไม่แฝงเข้าไปควบคุมร่างเขาจากภายใน?”
“จันทราสีเงินงั้นเหรอ?” เมแคนทรอนถามด้วยความประหลาดใจ
ฝ่ายปีศาจพยักหน้า “เป็นไปได้ยังไงที่จันทราสีเงินจะไม่อยากรู้ปริศนาแห่งความเป็นอมตะ เมื่อมีโอกาส? คนจากนรกก็อยู่เบื้องหลังด้วย! ก็เพราะข้าหวังว่าจะให้มีคนเห็นปริศนาแห่งความเป็นอมตะมากที่สุดที่ไม่รบกวนพวกเขา”
เมแคนทรอนยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “เจ้าแห่งนรก็มาที่นี่ด้วยงั้นรึ?”
“เมแคนทรอน เจ้าคิดว่าลูเซียน อีวานส์ ตั้งใจมาที่นี่เองเหรอไง? เจ้าไม่คิดเหรอว่านักเวทชั้นตำนานของสภาเวทมนตร์จะโชคร้ายขนาดนั้น? แม้มาสเกลีนจะแอบไปถึงเตาหลอมวิญญาณได้ แต่ก็ ‘บังเอิญ’ เข้าไปยังห้องแห่งพระจิต… เหตุบังเอิญต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยง” เจ้าปีศาจเย้ยหยัน เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่อารามแห่งวิญญาณดี แม้ว่าจะไม่เคยออกนอกทวารานาจักร
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เมแคนทรอนก็พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ดูเหมือนปีศาจชั้นตำนานในโลกแห่งวิญญาณไม่เพียงเกี่ยวข้องกับศาสนจักรฝ่ายเหนือเท่านั้น แต่ยังร่วมมือกับเจ้าแห่งนรกด้วย…”
“พวกมันมีพรรคพวกมากเกินไป ศิษย์ ‘ของข้า’ ทั้งเพลิงต้นกำเนิด หัตถ์ไร้ชีวาในสภาเวทมนตร์ สภาแห่งความมืด ตระกูลวลาดิเมียร์ในจักวรรดิชาชราน พระแม่แห่งปฐพี…” เจ้าปีศาจพูดขึ้นลอย ๆ “ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องสภาเวทมนตร์ เมื่อไวเค็นถูกปลุก ข้าจะแข็งแกร่งขึ้น!”
“รอดูกัน ข้าจะเยียวยาบาดแผลในหุบเขาวิมานเสียก่อน” เมแคนทรอนพยักหน้าและผ่านเข้าไปยังโถงทางเดินสีเทา ผลักเปิดประตูหุบเขาวิมาน
เมื่อมองไปยังโลกที่สว่างจ้าไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และคิดถึงปีษ่จที่อยู่ข้างนอกนั้น เมแคนทรอนก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา
แล้วปีกสีขาวทั้งสามสิบหกปีกก็กางออก เขาบินกลับไปยังชั้นเจ็ดภายใต้การต้อนรับของทูตสวรรค์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุกเข่าอยู่ข้างพระบาท ‘พระเจ้าแห่งสัจจธรรม’ แล้วเขาก็ผล็อยหลับไปอย่างเป็นสุข
ณ ปราสาทของเขาในนครแอนทิฟเฟอร์ รูดอล์ฟที่สองลืมตาขึ้น อากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไป เขาแสดงความเห็นด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ข้ากลับสู่จุดสูงสุดของชั้นตำนานได้สักที”
ภายในอารามแห่งวิญญาณ ‘อีวาน’ สันตะปาปาฝ่ายเหนือ กลับมายังห้องแห่งพระจิตด้วยความเกรี้ยวกราด แม้จะประทับใจกับความสยองขวัญของปีศาจ เขาเดินเข้าไปยังโลงศพ ขณะที่ถามด้วยความสับสน “มันปกป้องอะไรกันแน่? หุบเขาวิมานรึ เหมือนที่ราชันเทพอสูรลิชว่าไว้?”
ฝาโลงเลื่อนถอยออกไป และห้องแห่งพระจิตก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง อย่างไรเสีย ไม่มีใครรู้ว่าโลงศพของ ‘นักบุญจีโน’ นั่นว่างเปล่า
ผ่านไปสักพักใหญ่ กลุ่มควันลอยเข้ามาอย่างไร้เสียง และคืบคลานเข้าไปยังโลงศพของยนักบุญจีโนโดยไม่รบกวนผู้ใด
ณ นครศักดิ์สิทธิ์ หลังจากยืนยันว่าราชาทูตสวรรค์จะยังไม่กลับมา เบเนดิกต์ที่สองก็สั่งการนักบวชชุดแดงที่รอคำสั่งอยู่ภายในห้องสมุด “แจ้งพระคาร์ดินัลหลวงว่าจะมีประชุมฉุกเฉิน”