Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 660 อัญเชิญ
ภายในเขตอีเกรต…
บัคเดินนำไฮดี้ผ่านกระท่อมหลังเตี้ยดูโกโรโกโสไปยังสถานที่แสนชำรุดทรุดโทรมและเงียบงันซึ่งมีหญ้าขึ้นรกครึ้ม มันดูน่าขนลุกขนพองแม้แต่ในยามกลางวันแสกๆ
“ที่ตรงนี้มีคนไร้บ้านมาใช้อาศัยซุกหัวนอน แต่ช่วงกลางวันพวกเขาจะออกไปหางานทำ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ขอรับ” บัคชี้ไปทางกำแพงโทรมๆ ขณะอธิบาย
หลังจากเดินลัดเลาะมาตามห้องที่สร้างจากดินโคลนสภาพจะพังแหล่มิพังแหล่มาสองสามห้อง ไฮดี้ก็ได้เห็นสถานที่เกิดเหตุในรูปถ่าย น้ำสกปรกยังคงไหลเอื่อย และแมลงวันยังคงบินวนเวียนไปทั่วท่ามกลางกลิ่นเหม็นโฉ่
“คนไร้บ้านพวกนี้ไม่คิดจะทำนุบำรุงบ้านเลยสักนิด ทางเข้าท่อระบายน้ำอยู่ใกล้มากแท้ๆ แต่พวกเขาก็ยังทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง” บัคสบถ แม้แต่นายตำรวจมากประสบการณ์อย่างเขายังขมวดคิ้วกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แล้วจอมเวททจากสถาบันอะตอมอย่างท่านหญิงไฮดี้เล่าจะรู้สึกเช่นไร!
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไฮดี้ไม่ถนัดนัก แต่นางก็ผ่านประสบการณ์การผจญภัยมาอย่างโชกโชน นั่นต้องขอบคุณภารกิจบังคับของสภาเวทมนตร์ล่ะนะ เทียบกับรังของโทรลล์และยักษ์แล้ว ที่แห่งนี้ดูสะอาดและสะดวกสบายประดุจสวนหลังบ้านของสตรีชนชั้นสูงสักนางเลยทีเดียว ดังนั้นนางจึงเดินตรงไปมองหาเบาะแสด้วยเวทมนตร์โดยมิแสดงอาการขมวดคิ้วเลยสักนิด
“พายุคราวก่อนทำลายเบาะแสไปมากทีเดียว…” ไฮดี้ได้รับการยืนยันความคิดคาดเดาจากเวทมนตร์
บัคมองนางด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง “ใช่ขอรับ ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอความช่วยเหลือจากทางสภา ท่านหญิงพอจะทำอะไรกับมันได้ไหมขอรับ”
เขามิได้พูดชื่อเต็มของ ‘สภาเวทมนตร์’ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาคือหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุนนักเวท
ไฮดี้ดูไม่มีท่าทางเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนยามปกติเมื่อนางอยู่ในสถานที่ที่เกิดการฆาตกรรม นางกลับนำเอาเศษชิ้นส่วนของเหยื่อออกมาและร่ายเวทระบุตำแหน่งของสำนักโหราศาสตร์
เศษเนื้อในมือนางพลันหลอมละลายและหยดลงไปบนพื้น ก่อนจะชี้ไปยังที่ไหนสักหน่อยไกลออกไป
“แต่เดิมแล้ว เวทมนตร์บทนี้จะใช้ระบุตำแหน่งได้เพียงสิ่งมีชีวิต แต่หลังจากการปรับปรุง มันก็สามารถสะกดรอยตามผู้ตายได้ ตราบใดที่ฆาตกรยังเก็บเครื่องในเอาไว้ เวทมนตร์ก็จะนำเราไปที่นั่น” หยาดโลหิตชั้นหนึ่งขยับยุกยิกอยู่บนมือซ้ายของไฮดี้
บัครู้สึกทึ่งกับเวทมนตร์แสนยอดเยี่ยมและยิ่งมุ่งมั่นที่จะส่งลูกชายตนไปเรียนในโรงเรียนสายสามัญเพื่อรับการศึกษาทางด้านเวทธาตุ
คราวนี้ เป็นไฮดี้ที่เดินนำบัค ทั้งสองเดินตัดผ่านเขตอีเกรตเพื่อตามหาฆาตกร
ทว่า หลังจากที่พวกเขามาถึงทางแยก หยาดโลหิตในมือไฮดี้ก็หยุดเดือดพล่าน ราวกับว่าเส้นสายสุดท้ายแห่งชีวิตได้ถูกกำจัดไปแล้ว จากนั้นมันก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็นออกมา
“ท่านหญิง เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” บัคถามอย่างเป็นกังวล
ไฮดี้มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางเคร่งเครียด “สายสัมพันธ์ของ ‘ตระกูล’ ถูกตัดขาด ซึ่งมีเพียงเวทมนตร์ พลังศักดิ์สิทธิ์ หรือพละกำลังของอัศวินเท่านั้นที่จะทำได้”
“อะไรนะ” บัคประหลาดใจอย่างยิ่ง ‘นักเวทหรืออัศวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมผู้ยากไร้เช่นนั้นน่ะหรือ พวกเขาต้องการอะไรกันแน่’
ไฮดี้สูดจมูกฟุดฟิด “ข้าเคยถามว่าเหตุใดฆาตกรจึงไม่ทำลายร่างของเหยื่อทิ้งเสีย ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เพราะพวกมันไร้สามารถ แต่เป็นเพราะพวกมันมีจุดประสงค์อื่นอยู่”
“จุดประสงค์อื่นเช่นนั้นหรือขอรับ” บัครู้ข้อมูลในเอกสารลับทั้งหลาย แต่เขาก็ยังคงขาด ‘กึ๋น’ เมื่อเทียบกับไฮดี้ นักเวทมากประสบการณ์
ไฮดี้มองไปรอบๆ พลางเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ “พูดง่ายๆ ก็คือ มันเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมชั่วร้ายหรือพวกลัทธิ พวกมันต้องแน่ใจว่าร่างตั้งต้นยังคงมีอยู่ในตอนที่พวกมันใช้เครื่องใน…”
“เช่นนั้น ข้าจะส่งข้อสรุปของท่านหญิงให้กับหัวหน้าขอรับ” บัคลังเล นี่มันมากเกินไปสำหรับเขา ปล่อยให้อัศวินระดับสูงของกรมตำรวจ หรืออาจจะนักเวทระดับสูง มาจัดการเรื่องนี้เถิด!
เขามองไปที่ทางแยก ถนนสายหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่ตัวเมือง และอีกสายนั้นนำไปยังอีกฟากฝั่งของเขตอีเกรต เขาเอ่ยขึ้น “พวกฆาตกรคงจะหนีออกนอกเมืองไปแล้ว ตอนนี้คงตามตัวพวกมันได้ยากเป็นแน่ไ
ไฮดี้ดูท่าทางตื่นเต้นที่จะได้พบเจอพวกลัทธิชั่วร้าย นางหยิบเอาลูกแก้วออกมาอย่างกระตือรือร้นขณะกล่าวตอบ “ข้าไม่แน่ใจในเรื่องนั้น ขอพิสูจน์ดูก่อนนะเจ้าคะ”
อยู่ในเรนทาโต นางไม่กลัวว่าจะพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง ผู้มีพลังชั้นสูงที่อารักขาพระราชวังเนคโซอยู่ย่อมพบเห็นการต่อสู้รุนแรงกินวงกว้างได้อย่างแน่นอน
ลูกแก้วใสแจ๋วพลันมืดทึบด้วยพลังเวทมนตร์ จากนั้น หมู่ดวงดาวก็เปล่งแสงเจิดจรัส เชื่อมต่อกับสายพันรัดแห่งแสงที่ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“พวกมันตรงไปที่อีกฟากหนึ่งของเขตอีเกรต…” นั่นคือผลลัพธ์ที่ไฮดี้ได้จากการใช้เวทพยากรณ์ “เราลองไปดูที่นั่นกันเถิด”
บัคใจเสียเล็กน้อย แต่มิกล้าปฏิเสธ เขาจึงทำได้เพียงเดินตามไป
‘ท่านหญิงไฮดี้คือนักเวทที่ใกล้จะเลื่อนขั้นเป็นระดับสูงแล้ว และเป็นลูกศิษย์ของผู้มีพลังชั้นตำนานอีกด้วย นางต้องมีของวิเศษที่ทรงอำนาจเป็นแน่ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดแม้ว่าเราจะเผชิญหน้ากับนักเวทชั่วร้ายหรือพวกสาวกลัทธิ…’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น จิตใจเขาก็ค่อยๆ สงบลง
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นว่าไฮดี้คอยแตะเหรียญตราทำจากเงินที่สลักสัญลักษณ์ต่างๆ ของธาตุ มันดูเหมือนตารางธาตุฉบับย่อส่วน แม้แต่สามัญชนทั่วไปยังรู้จักมัน และคิดว่ามันมีพลังเวทมนตร์ที่ต้านทานความชั่วร้ายได้
ไฮดี้หัวเราะขัน “มันเป็นสื่อในการทำพิธีกรรมเวทมนตร์น่ะเจ้าค่ะ”
“พิธีกรรมเวทมนตร์…” ด้วยความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ที่บัคมี มิใช่ว่าต้องเตรียมสิ่งของบางอย่างล่วงหน้าเพื่อทำการนี้หรอกหรือ
ขณะพูดคุย ทั้งสองก็มาเดินตามถนนมาถึงหัวมุมหนึ่งของเขตผู้ยากไร้ มันเป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวิตและอุ่นหนาฝาคั่งยิ่ง
“หากเป็นพวกสาวกลัทธิ มันย่อมต้องมีพรรคพวกเป็นแน่ ฉะนั้น เราไปถามคนในพื้นที่ก็ได้ว่าบ้านหลังใดที่มีคนแปลกหน้าเข้าออกบ่อยๆ หรือมีเสียงแปลกๆ ดังออกมาในตอนกลางคืน แบบนั้น เราก็น่าจะหาเบาะแสบางอย่างได้ขอรับ” บัคเสนอความเห็นตามประสบการณ์
ไฮดี้แย้มยิ้ม “ต้องรบกวนท่านแล้ว ท่านสายสืบบัค”
ที่หน้ากระท่อมง่อนแง่นมีหญิงชราผู้หนึ่งกำลังตากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จอยู่
“ข้าขอรบกวนสักหน่อยสิขอรับท่านยาย ข้าชื่อบัค มาจากกรมตำรวจ ข้าอยากจะถามอะไรท่านสักหน่อยขอรับ” บัคชูเหรียญตราประจำตัวอย่างมีมารยาท
หญิงชราเช็ดมือด้วยท่าทางอึ้งๆ “เชิญเจ้าค่ะท่านสายสืบ”
นั่นถือเป็นปฏิกิริยาปกติเมื่อผู้ยากไร้พบเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ บัคพยักหน้าก่อนจะถามว่า “ท่านคงจะคุ้นเคยกับแถวนี้ดีใช่ไหมขอรับ มีบ้านหลังใดที่มีคนแปลกหน้าแวะเวียนมาหาบ่อยๆ หรือมีเสียงอึกทึกดังออกมาในยามกลางคืนบ้างไหมขอรับ”
หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ไม่เลยนะ ข้าไม่เห็นความผิดปกติอะไรนี้เลย และตัวข้าเองก็แทบไม่ได้ไปที่อื่นเลยด้วย”
บัคเก็บเหรียญตรากลับไป “ท่านพอจะรู้จักใครที่รู้เรื่องเกี่ยวกับละแวกนี้ดีบ้างไหมขอรับ”
“ข้ารู้ๆ ท่านมอนโรแห่งภราดรนิลกาฬ” หญิงชราเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับว่านางกำลังหวาดกลัวท่านมอนโรผู้นี้
บัคพยักหน้า “พาเราไปหาเขาทีสิขอรับ”
“ไม่นะ ขอร้องล่ะท่านเจ้าหน้าที่ ไปขอให้ผู้อื่นทำนางเถิด” หญิงชราโบกมือไปมาด้วยความตื่นตระหนก
แต่บัคมิยอมอ่อนข้อ หญิงชราปิดประตูบ้านแล้วนำทางไฮดี้กับบัคไปตามคำสั่งของเขา
ด้านล่างบ้านหลายๆ หลัง เหล่าสตรีกำลังซักเสื้อผ้า พวกบุรุษกำลังผ่าฟืน และเด็กๆ ก็กำลังมองมาทางคนแปลกหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ช่างรื่นเริงนัก” บัคออกความเห็น
ไฮดี้ขมวดคิ้วขณะมองไปรอบๆ และไม่เอ่ยตอบอันใด
ตอนนั้นเอง หญิงชราก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านสองชั้นที่ดูโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางสลัม “พวกท่าน ท่านมอนโรอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”
นางเคาะประตูไปด้วยขณะพูด
แต่แล้วไฮดี้ก็โพล่งออกมา “เราจะมาเยี่ยมเยียนท่านมอนโรกันวันอื่น ยังมีอีกงานที่เราต้องไปทำ”
“อะไรนะขอรับ” บัคถามด้วยความสับสน แต่แล้วเสียงของไฮดี้ก็ดังก้องอยู่ในหัวเขา ‘ถอยไปก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง มิเช่นนั้นข้าอาจดูแลท่านไม่ได้’
“เหตุใดกัน” บัคเริ่มประหม่ากลัว นี่คือกระแสจิตในตำนานอย่างนั้นน่ะหรือ
ไฮดี้หัวเราะ ‘คนยากไร้ในสลัมต้องทำงานสิบชั่วโมงเพื่อให้มีชีวิตรอด ดังนั้นจึงมีเพียงเด็กและสตรีบางคนที่จะพบเห็นได้ในพื้นที่เช่นนี้ในช่วงกลางวัน แต่ดูเถิด มีบุรุษกี่ผู้กี่คนกันที่อยู่กับบ้าน พวกเขาหาเลี้ยงครอบครัวอย่างไรกันนะ’
เหงื่อกาฬเย็นเยียบไหลชุ่มโชกตัวบัค เขามิได้มีประสบการณ์ภาคพื้นสนามโดยตรง หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไปภายใต้การบังคับบัญชาของเขา พวกเขาคงสังเกตเห็นความผิดปกตินี้นานแล้ว เขาจึงพูดตอบกลับไปว่า “จริงด้วย เราต้องกลับไปที่กรมตำรวจกันแล้ว ไว้เราจะมาเยี่ยมเยียนท่านมอนโรใหม่วันพรุ่งนี้”
“เหอะๆ เจ้าอยากจะจากไปทั้งๆ ที่สังเกตเห็นสิ่งต่างๆ แล้วอย่างนั้นรึ” เสียงแหบแห้งเย็นเยียบดังก้องออกมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวโลหิตรุนแรง
ภายในห้องอันโอ่โถง กองหัวใจ ลำไส้ ตับ และอวัยวะอื่นๆ ถูกวางไว้ตามตำแหน่งที่รูปแบบดูแปลกประหลาด ไม่เพียงพวกมันจะมีสีแดงฉานราวกับยังมีชีวิตเท่านั้น แต่พวกมันยังยุบและพองเป็นจังหวะอีกด้วย
เหล่าบุรุษ สตรี และเด็กๆ พลันผุดลุกขึ้นยืน ปากของพวกเขาแยกออกกว้าง เผยให้เห็นคมเขี้ยวแหลม ดวงตาของพวกเขากลายเป็นสีแดงสดฉายแววเยียบเย็น พร้อมกับแผ่บรรยากาศชั่วร้ายชวนให้ตัวแข็งทื่อออกมา
จู่ๆ หญิงชราข้างกายทั้งสองก็เนื้อตัวซูบผอม ราวกับลูกโป่งมีรูรั่ว แต่แล้วตัวนางก็กลับมาพองขยายขณะเอ่ยด้วยเสียงของบุรุษเพศ “พวกเจ้าจะกลับแล้วหรือ”
นางยกนิ้วหนึ่งขั้นมา บัคพลันรู้สึกว่าเขาไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้อีก
‘ดัชนีแห่งความตายงั้นรึ’ บัคได้ยินเสียงของไฮดี้ดังขึ้นผ่านทางกระแสจิต
ในตอนที่ควันดำพุ่งเสียดแทงเข้าใส่เขาราวกับเข็ม บัคก็คิดอย่างอ่อนแรง ‘ข้ากำลังจะตายเช่นนั้นหรือ’
ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากลายเป็นเพียงภาพมายา ก่อนที่เขาจะกลับมาเป็นร่างเนื้อหนักแน่นอีกครา และปรากฏตัวขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน
“นี่มัน…” ขณะตกตะลึงอยู่นั้น เขาก็ยังรับรู้ได้ว่าไฮดี้ได้พาตัวเขาหลบหนีจากการโจมตีด้วยการก้าวพริบตา
ในขณะเดียวกันนั้น ‘เวทกำแพงดูดซับดักลาส’ ก็ปรากฏขึ้นมาสกัดกั้นลำแสงสีแดงเข้มจากเจ้าสัตว์ประหลาด
“เจ้ามิใช้ผู้มีพลังระดับสูง เหตุใดเจ้าจึงใช้ชนวนเวทได้กัน” เสียงบุรุษนั้นโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับที่จู่ๆ ร่างหญิงชราของมันก็สลายหายไป
ในตอนนั้นเอง อวัยวะมนุษย์ภายในห้องโถงก็เริ่มขยับเขยื้อนมารวมตัวกันเป็นรูปทรงของมนุษย์ผู้หนึ่ง
ไฮดี้หัวเราะขบขัน “ข้ามิใช่ผู้มีพลังระดับสูง แต่ใครบอกกันเล่าว่ามีเพียงผู้มีพลังระดับสูงเท่านั้นที่ใช้ชนวนเวทได้ พอดีว่าเวทมนตร์ที่ร่ายคาถาเก็บไว้ล่วงหน้าและเรียกใช้ได้ด้วยเงื่อนไขแตกต่างกันบังเอิญเป็นความถนัดของข้าน่ะนะ มันคือการประยุกต์ใช้ที่ครอบคลุมทั้งการเก็บ ควบคุม คำนวณ ใส่ข้อมูลและดึงข้อมูล ข้าไม่สามารถทำให้ทั้งหมดนั้นมีความซับซ้อนน้อยลงได้ แต่ข้าพอจะลดเกณฑ์การวัดบางส่วนลงได้…บางที หลังจากนี้ เวทมนตร์ระดับห้าอาจเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับนักเวทระดับสูงก็ได้!”
นางดูมิมีท่าทีเร่งร้อนแต่อย่างได้ แต่นางกลับยกมือซ้ายขึ้นกดเหรียญตราเงินไม่หยุด ราวกับว่านางกำลังร่ายเวทมนตร์ที่มีความซับซ้อนยิ่ง
เจ้าสัตว์ประหลาดที่รวมร่างจากชิ้นส่วนอวัยวะคำรามด้วยความโกรธา “ข้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าจักต้องตาย! เจ้าใช้เวทมนตร์ระดับสูงได้สักบทไหมเล่า”
ร่างของมันกำลังจะประกอบเสร็จสมบูรณ์ ส่วนสัตว์ประหลาดปากอ้าเหล่านั้นก็คอยขวางทางบนถนนและปิดกั้นทางหนี
ขณะจ้องมองดวงตาสีแดงฉาน บัคก็ให้รู้สึกแข้งขาสั่นเทา เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับไฮดี้
หลังจากที่มือซ้ายทำหน้าท่เสร็จ จู่ๆ ไฮดี้ก็ยืนเหรียญตราเงินออกไป ก่อนที่นางจะร่ายคาถาแปลกๆ “เสียงคำรามจากอวกาศอัญเชิญจักรวาลอะตอม…”
เจ้าสัตว์ประหลาดพุ่งตัวทันทีที่ได้ยินคาถาบทนั้น ร่างของมันยืดขยายกลายเป็นม่านโลหิตเหยียดยาว ทำให้ทุกสิ่งรอบๆ นั้นปั่นป่วน
มันรู้ดีว่าผู้มีพลังชั้นตำนานส่วนใหญ่จะแข็งแกร่งเทียบเท่าพระเจ้า พิธีกรรมเวทมนตร์มากมายจึงจำต้องใช้วิธีการอัญเชิญและสื่อสารกับมิติพิเศษของแต่ละชั้นตำนาน เช่น พิธีกรรมทั้งหลายของหัตถ์ไร้ชีวาที่ต้องได้รับพลังเสริมจาก ‘นรกเงียบงัน’ ‘ดินแดนโครงกระดูก’ และ ‘หลุมฝังศพ’ สรุปง่ายๆ ก็คือ คนผู้หนึ่งจะหยิบยืมพลังของผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งหลายได้ก็ต่อเมื่อทำตามกฎเกณฑ์ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะจงใจปิดกั้นไม่ให้ยืมพลังจากมิติพิเศษของพวกเขา
แต่สิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับมันก็คือ พิธีกรรมเวทมนตร์นี้ช่างสั้นนัก
พิธีกรรมนี้ก็ร่ายคาถาเก็บไว้ล่วงหน้าอย่างนั้นหรือ
คาถาจบลงแล้ว ทั่วทั้งบริเวณพลันตกอยู่ในความเงียบงันอย่างที่สุด ท้องนภาสีดำมาเยือนพร้อมกับภาพมายาของดาวเคราะห์แห่งธาตุทั้งหลาย
‘แสงแห่งอาร์คานา’ ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้างของไฮดี้ และภาพมายาสะท้อนภายในจักรวาลอะตอมก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ดาวเคราะห์ที่หลอมรวมกันปรากฏกายออกมาราวกับดวงอาทิตย์
ด้วยความช่วยเหลือจากพวกมัน แสงสว่างร้อนแรงท่วมท้นพลันกวาดล้างไปทั่วทั้งสลัม หลอมละลายเหล่าสัตว์ประหลาดดวงตาสีแดงปากอ้าค้างไปเสียสิ้น
“ไม่!!!” สัตว์ประหลาดเครื่องในกรีดร้องโหยหวน