Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 668 จดหมายจากพงไพร
ภายในห้องโถงเวทมนตร์ ณ ชั้นบนสุดของหอคอยบาเบล…
อิฐสีดำเข้มหนาหนักสะท้อนแสงของดาวเคราะห์ธาตุทั้งหลายที่อยู่ด้านนอก แผ่ชั้นสีหลากหลายแปลกตา และเส้นสายสีเงินจากวัสดุไม่ทราบชื่อ ณ ใจกลางก็ให้ความรู้สึกของลูกบาศก์ ราวกับว่าโครงสร้างบางส่วนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดหย่อน จนไปรบกวนกระแสเวลาและอวกาศยามปกติ
ลูเซียนยืนอยู่ตรงใจกลางวงแหวนเวท เขาหยิบนาฬิกาพกเรือนงามลวดลายซับซ้อนออกมาดูเวลา ก่อนที่เขาจะหมุนตัวหันไปมองแสงวูบวาบจากคมดาบภายในจักรวาลอะตอมที่นอกหน้าต่าง
ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนหลังจากที่เขาส่ง ‘สมการลูเซียน’ ซึ่งผสมผสานทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและกลศาสตร์ควอนตัมเข้ารับการพิจารณา พลังชั้นตำนานระดับสามของเขามั่นคงดีแล้ว และต้องขอบคุณเขา ที่ทำให้นาตาชาได้เห็นความลี้ลับแห่งการก่อเกิดและทำลายล้างของสสาร บัดนี้นางจึงใกล้จะเลื่อนขั้นสู่ชั้นตำนานแล้ว ขณะนี้นางกำลังเตรียมตัวในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อทะลวงผ่านระดับชั้น
ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงมิได้บอกนาตาชาในตอนที่เขาสร้างวงแหวนเวทสำหรับการกระโดดข้ามอวกาศ เผื่อว่านางจะเสียสมาธิ เขาเพียงเตรียมมันไว้ให้พร้อมอย่างเงียบๆ
‘โชคดีที่ฉันแค่จะเข้าไปในอวกาศใกล้ๆ ไม่ได้ไปสำรวจหาดาวเคราะห์ผ่านการกระโดดข้ามอวกาศระยะไกลขั้นสุด หรือไปถึงวงโคจรประจำที่สักแห่ง ไม่อย่างนั้นฉันคงใช้เวลานานมากกว่าจะเตรียมการให้แล้วเสร็จ…’ ลูเซียนเก็บนาฬิกาพกไว้ในกระเป๋าด้านในเสื้อสูทแบบกระดุมสองแถว ในขณะที่เขาครุ่นคิดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาเตรียมการสำหรับเวทกระโดดข้ามอวกาศโดยตั้งเป้าที่อวกาศชั้นนอกแทนที่จะเป็นที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ เขาพบเจอปัญหามากมาย แต่ต้องขอบคุณที่เป้าหมายของเขาแตกต่างไปจากการกระโดดข้ามอวกาศทั่วๆ ไป เขามิได้ต้องการความแม่นยำอะไรมากมาย และระยะห่างก็คือภายในหนึ่งปี เขาเพียงตั้งใจจะทำการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับอวกาศให้สำเร็จลุล่วงก็เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่เขาเตรียมการให้แล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็ว
ต้องบอกก่อนว่า ดักลาสและโอลิเวอร์มักจะต้องใช้เวลาเตรียมการสำหรับการกระโดดข้ามอวกาศระยะไกลขั้นสุดมากถึงสองหรือสามเท่าเวลาที่ทั้งสองออกค้นหาดาวเคราะห์ ส่วนการกระโดดข้ามวงโคจรนั้นต้องอาศัยความแม่นยำสูงมาก แม้ว่ามันจะมิใช่เรื่องใหญ่อันใดสำหรับดักลาส แต่เขาก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนทีเดียวเพื่อฝึกฝนให้คล่องแคล่ว
‘แต่ว่า ประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้ฉันเข้าใจเรื่องเวลาและอวกาศมากขึ้นเยอะเลย การจะสร้างวงแหวนเวทกระโดดข้ามอวกาศที่คล้ายคลึงกันนี้ในอนาคตจะกลายเป็นเรื่องง่ายดายมากสำหรับฉัน…’ ลูเซียนปัดหูกระต่ายของตนให้สะอาด เส้นสายสีเงินรอบกายเขาถูกแสงเจิดจ้าละลานตาอาบไล้ แล้วทั้งหอคอยก็เริ่มดูดซับพลังของมิติพิเศษ
แสงสว่างมารวมตัวกันเป็นปราการคุ้มกันสีใสขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะแตกสลายอย่างฉับพลันโดยมีลูเซียนเป็นจุดศูนย์กลาง
ลูเซียนรู้สึกว่าร่างกายเดี๋ยวหนักอึ้งเดี๋ยวเบาหวิว ความโค้วของอวกาศเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เวทคุ้มกันกายที่เขาร่ายใส่ตนเองโดยใช้ ‘คทาอวกาศ’ ถูกโจมตีและทำลายลงครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ลูเซียนก็พลันรู้สึกว่าเขาสูญเสียน้ำหนักในร่างกายทั้งหมดไป ขณะล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าอันมืดมิด ลูเซียนก็พบกับรังสีจำนานนับไม่ถ้วนซึ่งแฝงไว้ด้วยคำสาปรุนแรงหมายเอาชีวิตที่หลั่งไหลเข้ามาหาเขา
“เวทธาตุอารักขา” ขณะที่เสียงอันแปลกประหลาดและยากจะเข้าใจของลูเซียนสั่นสะเทือนและแผ่ออกมาส่งผลกระทบต่อวกาศรอบกายเขา จุดแสงหลากสีสันก็พลันปรากฏขึ้น พวกมันมารวมตัวกันเป็นเกราะคุ้มกันกายโปร่งแสงชั้นหนึ่งท่ามกลางเส้นโคจรแสนลึกลับ สกัดกั้นรังสีอันตรายมากมายได้ทันท่วงที
ลูเซียนสูดหายใจด้วยความโล่งอก รู้ได้ในทันทีว่าตนเข้ามาในอวกาศได้สำเร็จ บัดนี้เขาได้ปรากฏกายขึ้นต่อหน้ารังสีคอสมิกที่บรรจุอนุภาคอันน่าทึ่งไว้มากมาย
ฉับพลันนั้น สีหน้าลูเซียนก็เปลี่ยนไป เขาร่ายคาถาขณะอยู่ภายในเกราะคุ้มกันของ ‘เวทธาตุอารักขา’ ว่า “คทาอวกาศ!”
รังสีคอสมิกบางส่วนเมินใส่ ‘เวทธาตุอารักขา’ และทะลวงผ่านมันเข้ามา!
ระลอกคลื่นแห่งแสงมารวมตัวกันกลายเป็นคทาที่ดูราวกับสร้างขึ้นมาจากหยดน้ำในมือทั้งสองข้างของลูเซียน เขาชี้มันไปข้างหน้าเล็กน้อย อวกาศรอบๆ นั้นพลันบิดเบี้ยว รังสีคอสมิคอันพิสดารบางส่วนโฉบวูบผ่านตัวเขาไปในระยะประชิด
‘ที่นี่ช่างเต็มไปด้วยอันตรายจริงๆ…’ ลูเซียนไม่แน่ใจว่ารังสีเหล่านี้จะสร้างความเสียหายให้กับร่างกายหรือวิญญาณของเขาหรือไม่ แต่เขาก็ไม่กล้าประมาท
เขามิได้เดินทางมาในอวกาศเพื่อค้นหาเบาะแสที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของดาวเคราะห์ทั้งหลาย แต่เพื่อการค้นพบ ‘โพซิตรอน’ (หรือแอนติอิเล็กตรอน) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อให้ ‘เวทปืนใหญ่โพซิตรอน’ เวทมนตร์ชั้นตำนานของเขาสมบูรณ์ไร้เทียมทานและสำแดงแสงยานุภาพได้อย่างเต็มพิกัด
ปฏิยานุภาคนั้นเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับอนุภาค และปฏิสสารที่สร้างจากปฏิยานุภาคก็เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับสสาร เมื่อสองสิ่งตรงกันข้ามเผชิญหน้ากัน พวกมันก็จะเข้าปะทะเสียดสีและหักล้างกันและกัน ปลดปล่อยพลังงานที่น่าคร้ามเกรงออกมา หากว่ากันตามสมการมวลสาร-พลังงานแล้ว ประสิทธิภาพของพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากปฏิกิริยานั้นรุนแรงกว่าปฏิกิริยาฟิวชั่นมากนัก ผลที่ได้ก็คือ ปฏิสสารที่มีมวลน้ำหนักปานกลางก็เพียงพอต่อการกระตุ้นพลังทำลายล้างได้อย่างน่าเหลือเชื่อแล้ว เพียงปฏิสสารจำนวนไม่มากก็สามารถทำลายล้างโลกทั้งใบได้
ด้วยเหตุนี้ ‘เวทปืนใหญ่โพซิตรอน’ (หรือเวทปืนใหญ่ปฏิสสาร ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องยิ่งกว่า) ที่มีพื้นฐานจากกลไกประเภทนั้นจึงถือเป็นเวทมนตร์โจมตีเป้าหมายเดี่ยวที่ทรงพลังที่สุดของลูเซียน หากมันต้องเผชิญหน้ากับเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด มันก็จะ ‘ลบล้าง’ ทั้งเกราะป้องกันและตัวบุคคลด้านหลังเกราะไปพร้อมๆ กัน
ในเมื่อเขาต้องใช้เวลานานมากในการสร้าง ‘ความเมตตาของเทพธิดาหิมะ’ ให้สำเร็จโดยยึดหลักจาก ‘ความพิโรธของเทพธิดาหิมะ’ ลูเซียนย่อมไม่มีทางคิดประมาทกับความปลอดภัยในชีวิตตน เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องเดินทางมาในอวกาศเพื่อค้นหา ‘แอนติอิเล็กตรอน’ ให้ได้โดยเร็วที่สุด!
หลังจากนำเครื่องมือแปรธาตุออกมา ลูเซียนก็เริ่มร่ายเวทมนตร์คาถา ปล่อยให้รังสีคอสมิคโฉบวูบผ่านสนามแม่เหล็กไฟฟ้าภายในเครื่องมือ ในขณะที่เขาสังเกตการณ์ความคลาดเคลื่อน
มันคือภารกิจที่ต้องใช้ความอดทนสูงมาก เพราะเขาต้องมองหาร่องรอยของสิ่งที่ต้องการจากอิเล็กตรอนนับหลายล้านตัว นอกจากนี้ มันยังมีความเป็นไปได้ที่ ‘แอนติอิเล็กตรอน’ จะไม่มีอยู่รอบๆ นี้เลย
หลายวันผ่านไป ลูเซียนได้เปลี่ยนตำแหน่งที่อยู่ไปแล้วหลายครั้ง
ร่องรอยของความคลาดเคลื่อนปรากฏในห้องหมอก ลูเซียนจำแนกแยกแยะและคำนวณพวกมันอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงก้าวพริบตาหลังจากรวบเอาเครื่องมือแปรธาตุมากอดแน่น จากนั้น ก้อนหินซึ่งมีขนาดเท่าเนินเขาลูกหนึ่งก็โผล่ออกมาจากความมืดมิดแล้วพุ่งเข้ากระแทกจุดที่เขาเคยอยู่ด้วยความเร็วสูงเหนือจินตนาการ
‘ดาวเคราะห์น้อย…’ ลูเซียนคิดในใจ สิ่งที่ท่านประธานและจอมเวทคนอื่นๆ ไม่อาจค้นพบก็คือดาวเคราะห์ทั่วๆ ไป แต่กับดาวเคราะห์น้อยจำพวกนี้ซึ่งล่องลอยไปทั่วจักรวาล กลับถูกค้นพบอยู่เนืองๆ พวกมันถือเป็นหนึ่งในภัยอันตรายในอวกาศ
ลูเซียนส่ายศีรษะแล้วเลิกสนใจมัน เขานำเอาลูกแก้วคริสตัลออกมาและยืนยันสถานการณ์กับเวทพยากรณ์ ก่อนที่เขาจะทำการทดลองต่อไป
เส้นโคจรแสนงดงามถูกรวบรวมเก็บไว้ในห้องหมอก ซึ่งเส้นโค้งคุ้นตากับทิศทางตรงกันข้ามช่างดูน่ารักน่าสนใจอย่างยิ่งในสายตาลูเซียน!
มันคืออิเล็กตรอนประจุบวก!
ท้องนภาเต็มไปด้วยดวงดาวดารดาษที่เป็นตัวแทนของโลกแห่งความเป็นจริงได้มาเยือนประดุจภาพมายาอีกครั้ง มันเพิ่มลวดลายสัญลักษณ์เวทมนตร์แสนซับซ้อนเข้าไปในโลกแห่งปัญญาของลูเซียน ไม่นานพวกมันก็เชื่อมต่อกันทุกส่วน
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ลูเซียนที่ล่องลอยไปตามสุญญากาศ ก็ยื่นมือขวาออกมาและร่ายคาถายาวเหยียดยากจะเข้าใจ
“เวทปืนใหญ่โพซิตรอน!”
สิ่งที่เหนือคำบรรยายจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน เสาแห่งแสงที่ผสมผสานสีสันของเปลวเพลิงมายาพลันขยายแผ่พุ่งออกมา ก่อนจะกระแทกเข้ากับดาวเคราะห์น้อยอีกหนึ่งดวงที่ลอยผ่านมา
ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีขนาดใหญ่และน่ากลัวเสียยิ่งกว่าดวงก่อนหน้า แต่มันกลับระเบิดแสงเจิดจ้าดุจดวงดาวหลังจากถูก ‘เวทปืนใหญ่โพซิตรอน’ ของลูเซียนเข้ากระแทก รังสีรุนแรงน่าหวาดหวั่นพลันไหลทะลักออกมา
หลังจากนั้นครู่สั้นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบลง แต่ ณ จุดนั้นกลับมิหลงเหลือแม้แต่เศษซากของดาวเคราะห์น้อย มันถูกลบล้างไปจากอวกาศโดยสิ้นเชิง
ลูเซียนพยักหน้าเมื่อเห็นพลังอันแข็งแกร่งนั้น เขากระตุ้นใช้จุดปักหลักกาล-อวกาศบนตัวเขา แล้วดวงดาวเจิดจำรัสมากมายก็พลันเปล่งแสงรอบๆ กาย ก่อนที่เขาจะหายตัวไป
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ภาพในครองสายตาของลูเซียนก็เริ่มกลับมาชัดเจน เขากลับมายังชั้นบนสุดของหอคอยบาเบลแล้ว!
ลูเซียนหยิบนาฬิกาจันทรากาลออกมาขณะครุ่นคิดอย่างหนัก ‘การเดินทางไกลตามความโค้ง? รูหนอน? การเดินทางผ่านมิติที่อยู่สูงขึ้นไป?’
เมื่อลบยี่สิบวันที่เขาใช้ไปกับการทดลอง เขาก็คำนวณดูเวลาที่ใช้ไปในระหว่างกระโดดข้ามอวกาศ ด้วยใจหวังว่าจะไขปริศนาลี้ลับของมันได้
แต่ทันใดนั้น ลูเซียนก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาเบนสายตาไปที่นอกหน้าต่าง แล้วก็พบกับคมดาบสีเงินที่โฉบวูบพร้อมกับแผ่รังสีมายาที่สามารถตัดผ่าทุกสิ่งทุกอย่างได้
หลังจากเกิดแสงวูบวาบ ดาวเคราะห์ธาตุก็พลันถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ก่อนที่มันจะกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยจากรอยแยกนั้น
ภายในจักรวาลอะตอมพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่น ราวกับว่าแหล่งกำเนิดแห่งการทำลายล้างกำลังแผ่รังสีทรงพลังไร้ที่สิ้นสุดมาจากศูนย์กลาง ดาวเคราะห์ธาตุทยอยแตกเป็นเสี่ยงๆ ทีละดวงๆ และดวงดาวทั้งหลายต่างก็ดับแสงไป มันดูราวกับว่าจุดจบของจักรวาลแห่งนี้ได้มาเยือนแล้ว!
ลูเซียนยกมุมปากขึ้น รู้สึกปีติยินดีอย่างแท้จริง เขาเรียกใช้พลังจิตและฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่างภายในจักรวาลอะตอมให้กลับมาเป็นปกติ
ร่างสูงในชุดเกราะสีเงินก้าวเข้ามาจากทางหน้าต่าง ใบหน้าของนางฉายชัดถึงความตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ลูเซียน ข้าได้เป็นอัศวินชั้นตำนานแล้ว!”
“ข้ารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่ข้าไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้” ลูเซียนส่งยิ้มให้นาตาชา
นาตาชาเดินไปเดินมาด้วยความดีใจ แต่แล้วนางก็หัวเราะอย่างซุกซนเพราะกำลังอารมณ์ดี “เช่นนั้น เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้าในคืนนี้”
ลูเซียนเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าเคยบอกว่าข้าควรจะให้กำลังใจและปลอบใจเจ้าด้วยการเชื่อฟังเจ้าเพราะการเลื่อนระดับขึ้นเป็นอัศวินชั้นตำนานนั้นยากลำบากยิ่ง และในเมื่อมันฟังดูสมเหตุสมผลดี ข้าจึงมิได้คัดค้านอะไร แต่เหตุใดตอนนี้ข้าถึงยังต้องเชื่อฟังเจ้า ทั้งๆ ที่เจ้าทะลวงผ่านได้สำเร็จแล้วน่ะ”
นาตาชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าไม่ดีใจกับข้าที่ข้าเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จเช่นนั้นหรือ เรื่องนี้มีความหมายเสียยิ่งกว่าวันเกิดและของอย่างนี้มันต้องฉลอง!”
“…เจ้ามัก ‘มีเหตุผล’ เสมอเลย” ลูเซียนส่ายหน้าด้วยความขบขัน
นาตาชาเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน ข้าคือผู้ที่สมเหตุสมผลที่สุดในปฐพี!”
…
หลายวันหลังจากนั้น สภาสูงสุดก็ได้เรียกประชุมวิสามัญ
ภายในห้องประชุม บรรยากาศภายในห้องมิได้แปลกไปเพราะคำอธิบายเกี่ยวกับผลกระทบจากผู้สังเกตของลูเซียน ทั้งดักลาสและเฟอร์นันโดต่างเป็นผู้อาวุโสที่ผ่านการโต้วาทีมามากเกินไป และลูเซียนเองก็เป็นสุภาพบุรุษผู้รอบคอบ การโต้เถียงทางวิชาการจะไม่ข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในยามปกติของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่พวกเขามีเพียงข้อสันนิษฐาน แตกต่างจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในตอนที่บรูกพิสูจน์ทฤษฎีคลื่นโดยสรุปและโค่นล้มทฤษฎีอนุภาคด้วยการทดลองช่องเปิดคู่ จนกลายเป็นการปูทางอย่างแน่นหนาให้กับชัยชนะในสงครามครั้งที่สองระหว่างคลื่นกับอนุภาค
ดักลาสกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ราชินีเอลฟ์แห่งป่าสรู๊ปเขียนจดหมายถึงข้า”
“จดหมายงั้นหรือ” โอลิเวอร์ถาม ด้วยรู้สึกว่ามันแปลกๆ ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงเขียนจดหมายเพื่อทำการสื่อสารอย่างนั้นน่ะหรือ ทำอย่างกับว่านางไม่อาจได้ยินเสียงคำรามของเฟอร์นันโดอย่างไรอย่างนั้น!
ดักลาสพยักหน้า “เพราะมันเป็นจดหมายขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น สมาชิกสภาสูงสุดทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมก็พลันมีท่าทีตึงเครียด เพราะชาวเอลฟ์คือกลุ่มชนเผ่าพันธมิตรที่สำคัญที่สุดสำหรับสภาเวทมนตร์
ดักลาสพูดต่อ “อะเกลียยา ราชินีเอลฟ์ ค้นพบว่าชาวเอลฟ์ส่วนหนึ่งได้รับสารพิษเจือปนมาสักพักแล้ว แม้แต่ต้นไม้เอลฟ์ก็ยังได้รับความเสียหายโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนผู้เฒ่าชาวดรูอิดนั้น มีสมาชิกบางส่วนหายตัวไปเช่นกัน เนื่องจากนางจำต้องควบคุมต้นไม้เอลฟ์ และเรื่องทั้งหมดนี้ก็ค่อนข้างแปลกประหลาด นางจึงขอให้เราช่วย ด้วยหวังว่าเราจะสามารถส่งนักเวทชั้นตำนานไปช่วยเหลือสักคนสองคน อย่างไรเสีย เวทมนตร์ก็อาจมีประโยชน์มากๆ ในบางแง่มุม”
เขามองไปรอบๆ “มีใครอยากอาสาไปหรือไม่”
หลังจากเกิดความเงียบขึ้นครู่สั้นๆ ลูเซียนก็ยกมือขึ้น “ข้าบังเอิญว่างอยู่ขอรับ”
เขาเลื่อนขึ้นเป็นชั้นตำนานระดับสามแล้ว แต่จันทรากาล อุปกรณ์ชั้นตำนานพิเศษของเขานั้นยังต้องใช้วัตถุดิบอีกมากเพื่อที่จะตามระดับพลังของเขาในยามนี้ได้ทัน วัตถุดิบด้านกาล-อวกาศระดับตำนานนั้นพบได้ยากเสียจนแทบหาไม่เจอ ด้วยเหตุนี้ เขาก็น่าจะลองเสี่ยงโชคจากเหล่าเอลฟ์ที่มีประวัติยาวนานนับแสนๆ ปีดู