Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 692 พลังศักดิ์สิทธ
“ปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่แม้แต่เจ้าก็แก้โจทย์ไม่ได้เช่นนั้นรึ” นาตาชารู้สึกสนใจขึ้นมาโดยพลันหลังจากได้ยินลูเซียนพูดเช่นนั้น นางหยิบปึกกระดาษตรงหน้าลูเซียนขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้นอย่างคนเขลาลืมกลัว เมื่อพลิกเปิดเร็วๆ นางก็พบกับปริศนาสิบข้อที่อยู่หน้าสุดท้าย
“ทฤษฎีบทสี่สี…ข้อความคาดการณ์ของลูเซียน…ปฏิทรรศน์ช่างตัดผม” นาตาชาอ่านปริศนาเหล่านั้นเสียงแผ่วเบา ก่อนที่นางจะนิ่งเงียบไปนาน
ลูเซียนมองนาตาชาด้วยความขบขัน “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามีความเห็นหรือไม่”
นาตาชาพลันตื่นจากภวังค์ ท่าทางดูราวกับเพิ่งพบเจอกับฝันร้าย นางยกมือขึ้นเกาคางอย่างติดเป็นนิสัยขณะเอ่ยตอบ “เป็นปริศนาที่ยากมาก ใช่ พวกมันคือปริศนาที่ยากมากๆ ที่จอมเวททุกคนในสภาต้องพยายามแก้โจทย์ให้แตก อ้อ ใช่ ลูเซียน เจ้าคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเพิ่งถามคำถามนี้กับข้าไปนะ” ลูเซียนเคาะนิ้วไปบนโต๊ะพลางแย้มยิ้มยวน
นาตาชาเชิดหน้าขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าพูดอยู่ตลอดมิใช่หรือว่าสิ่งต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ว่าความนิ่งสงบนั้นเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงคือสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน ผ่านมาหลายวันแล้วนับแต่ที่ข้าถามเจ้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย เช่น เกิดการระเบิดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นและการแปรสภาวะของเทวภาพขึ้น ความเห็นของเราเกี่ยวกับสถานการณ์ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน!”
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะพูดเรื่องเหล่านี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันๆ นะ” ลูเซียนเอ่ยเย้า
นาตาชายกมือขวาขึ้นทาบบนอกซ้ายและค้อมกายด้วยท่าทางราวกับสุภาพบุรุษ นางแย้มยิ้มกว่างขณะเอ่ยตอบ “ข้าต้องขอบใจเจ้าที่ชี้แนะ ศาสตราจารย์ ความรู้ความเข้าใจอันยอดเยี่ยมในหลายๆ แง่มุมของเจ้าได้เปิดโลกใหม่ให้กับข้า ฮ่าๆๆ”
ขณะที่นางพูดใกล้จะจบประโยค ก็ดูเหมือนว่านางจะนึกถึงมุกตลกขึ้นมาได้ จึงหัวเราะออกมาอย่างขบขันเสียจนนางแทบจะยืนตัวตรงมิได้
ริมฝีปากลูเซียนกระตุกยิก ในใจอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ที่ตนบอกมุกตลกสองแง่สามง่ามให้นาตาชารู้ “…จริงๆ แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ทั้งชัดเจนและซับซ้อนในขณะเดียวกัน นับแต่ที่ไวเค็นเผยแพร่วิธีการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เราก็เข้าสู่ยุคสมัยแห่งแข่งขันแย่งชิงแล้ว ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดต่างหวังที่จะได้เป็นมนุษย์ครึ่งเทพ และผู้มีพลังชั้นตำนานทั่วไปก็พยายามจะเลื่อนขั้นสู่ระดับสูงสุด และนักเวทระดับอื่นๆ ก็พยายามจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้มีพลังชั้นตำนาน”
“การแข่งขันแย่งชิงมิได้เกิดขึ้นระหว่างตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในหมู่เผ่าพันธุ์ กองกำลังและองค์กรต่างๆ อีกด้วย หากเจ้าล้าหลังไปแม้เพียงนิด เจ้าก็อาจถูกสังหารได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะรอดมาได้ แต่เจ้าก็ยังอ่อนแอลงอยู่ดี และเจ้าก็ต้องพยายามอีกเป็นร้อยเท่าเพื่อตามคนอื่นให้ทัน อีกอย่าง วิธีการของไวเค็นต้องใช้พลังศรัทธา ซึ่งนั่นหมายถึงการแข่งขันกันอย่างรุนแรงโหดเหี้ยม ทุกคนอาจเป็นมิตร และอาจเป็นศัตรูได้เช่นกัน”
รอยยิ้มของนาตาชาเลือนหายไปหลังจากได้ยินถ้อยคำของลูเซียน “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวิธีการของธานอสกับไวเค็นคือวิธีปกติ มันมีปัญหาและโหดร้ายเกินไป ตอนนี้อาจเป็นยุคสมัยแห่งการแข่งขันอันดุเดือด แต่ข้าจักไม่มีวันยอมแพ้เพราะเรื่องนี้เป็นแน่ ข้าจะค้นหาหนทางด้วยตัวเอง”
“ข้าเองก็เช่นกัน” ลูเซียนไม่พูดอะไรมาก
นาตาชาตบไหล่ลูเซียน “มันค่อนข้างง่ายสำหรับข้าที่จะเลื่อนขั้นขึ้นจากชั้นตำนานระดับหนึ่ง แต่เจ้าน่ะเลื่อนขึ้นเป็นระดับสูงสุดได้ยากยิ่ง ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรอยู่จริงๆ และไม่ว่าเจ้าจะเดินไปบนเส้นทางของไวเค็นหรือไม่ หลายๆ คนก็ยังมองว่าเจ้าเป็นคู่แข่งของพวกเขาอยู่ดี”
ลูเซียนเข้าใจดีว่านาตาชาต้องการจะสื่อถึงอะไร เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เพื่อตัวข้าและเจ้า ข้าจะไม่มีวันหยุดเดินหน้าต่อไป อุปสรรคใดๆ ไม่อาจขวางกั้นการเลื่อนระดับพลังของข้าได้!”
หลังจากได้เห็นปริศนาอมตะ ลูเซียนก็พอจะคาดเดาถึงความแตกต่างและความเหมือนของโลกทั้งสองใบได้ แต่มันยังต้องได้รับการยืนยันจากปรากฏการณ์อื่นๆ อีก ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าเลื่อนระดับพลังด้วยการนำเสนอทฤษฎีสนามควอนตัมและแบบจำลองมาตรฐานของอนุภาค เพราะศีรษะของเขาอาจระเบิดโพลงเอาได้หากว่ามีอะไรขัดแย้งกันขึ้นมา!
“ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสามกว่าสิบคน และระดับสูงสุดอีกนับสิบ ‘คู่แข่ง’ ของเจ้าหาได้อ่อนด้อยเลยสักนิด” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ดวงตาของนาตาชากลับเปล่งประกายด้วยความมั่นใจในตัวลูเซียน
ขณะที่ทั้งสองมองหน้ากัน บรรยากาศก็เริ่มอบอวลด้วยไออุ่น ลูเซียนรั้งตัวนาตาชาเข้ามากอดและพร้อมจะมอบจุมพิต แต่แล้วนาตาชาก็โพล่งขึ้นมาว่า “อ้อ ใช่ แล้วเรื่องมลพิษที่เกิดจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นเล่า เจ้าจะจัดการกับมันอย่างไรงั้นรึ”
ลูเซียนมองหน้านางด้วยความขบขัน “เจ้าช่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำลายบรรยากาศจริงๆ…”
นาตาชาหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ข้าห่วงเรื่องปัญหามลพิษร้ายแรงในฐานะผู้ครองอาณาจักรที่ดี!”
“สรุปแล้วเจ้าจงใจสินะ…” ลูเซียนยกมือขึ้นนวดขมับและตอบกลับยิ้มๆ “ข้าเสนอให้ใช้เวทเปลวไฟนิรันดร์ที่ลดระดับพลังลงในการชะล้าง แต่อาจารย์ข้ากลับปฏิเสธ ดังนั้น ตอนนี้ท่านจึงเป็นคนจัดการเรื่องนี้”
…
ตูม!
ภายในสถาบันอะตอม ไฮดี้ ผู้อุทิศตนให้กับการผลิตหลอดสุญญากาศด้วยวงแหวนเวทและวัตถุดิบแปรธาตุทั้งหลายอยู่นั้น แทบจะล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่โชคดีที่นางร่ายเวทให้ตนเองกลับมายืนอย่างมั่นคงได้ในทันที
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดนครลอยฟ้าจึงสั่นสะเทือนอีกแล้วเล่า” ด้วยไม่ทันตั้งตัว ไอริสทีนและโนดาเนียลย์จึงทำได้เพียงคว้าจับท่อเหล็กบนผนัง
กว่าภาคเรียนใหม่จะเปิดนั้นยังอีกครึ่งเดือน ไอริสทีนจึงถือโอกาสนี้เยี่ยมเยียนอัลลินพร้อมกับโนดาเนียลย์เพื่อผูกมิตรกับนักเวทผู้เก่งกาจโดดเด่นผ่านไฮดี้
ขณะมองไปทางเชลีย์และผู้ช่วยทั้งสองอย่างโลวี่กับอัลฟาเรียที่ล้มลงไปกองกับพื้นเพราะแรงสั่นสะเทือนแล้วไฮดี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างทดท้อ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า ที่นี่คือนครลอยฟ้านะ มันไม่ควรจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นได้เลย สายลมบนท้องฟ้ายังฝ่าปราการที่เปิดใช้การเพียงครึ่งหนึ่งไม่ได้สักนิดด้วยซ้ำ”
แต่ทันใดนั้น นางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ “อาจารย์บอกว่าแรงสั่นสะเทือนที่เรารู้สึกได้ในคราวก่อนเกิดจากการระเบิดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่น หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกแล้ว นี่มันไม่ถูกต้อง เครื่องปฏิกรณ์ตัวอื่นถูกปิดการใช้งานไปแล้วหลังจากเกิดอุบัติเหตุคราวก่อน”
ด้วยเคยประสบพบเจอกับความน่ากลัวของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นมาแล้ว นางจึงพูดถึงการระเบิดของตัวเครื่องได้ราวกับมันเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กๆ จากวงแหวนเวทบางส่วนในห้องทดลองของนางเอง
“เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่น…ข้าหวังว่ามันจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะร้ายแรงขึ้นนะ…” ไอริสทีนเอ่ยเสียงแผ่วอย่างเป็นกังวล
ณ ห้องแกนพลังของนครลอยฟ้า…
หลังจากกวาดตามองห้องโถงใต้ดินที่มลพิษถูกขจัดออกไปเกือบหมด และผนังกับพื้นที่ดูจะถูกหลอมละลายเสียหายกว่าเดิม เฟอร์นันโดก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เวทเปลวไฟนิรันดร์ได้ผลกว่าจริงๆ ด้วย…”
เขาปฏิเสธข้อเสนอของลูเซียนและมองหาวิธีการชะล้างคำสาปกับมลพิษทั้งหลายวิธีอื่น แต่วิธีการเหล่านั้นกลับต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนจึงจะเห็นผล ส่วนวิธีที่ดีกว่านี้ยังมิมีการคิดค้นขึ้น ด้วยความใจร้อนและยุ่งอยู่กับการศึกษาว่าเหตุใดเครื่องปฏิกรณ์จึงหลุดจากการควบคุม เขาจึงโมโหจนปลดปล่อยเวทเปลวไฟนิรันดร์ที่พลังถูกลดระดับลงออกมาภายในห้องอันกว้างใหญ่นี้ ซึ่งนั่นไปกระตุ้นให้ปราการคุ้มกันของอัลลินเปิดใช้งานอีกครั้ง
หลังจากเกิดระเบิดดังตูมใหญ่ โลกทั้งใบพลันสะอาดสะอ้าน…
…
หนึ่งเดือนให้หลัง ภายในเขตของนครเรนทาโตที่เหล่าคนแคระมาอยู่รวมกัน…
ออกัสตุสกำลังนำฮาโรลด์ เมอร์นา และกลุ่มผู้นำของเผ่าคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้น ‘ระเบิดนิวเคลียร์’ สีเงิน โดยถือของเส้นไหว้บูชาประจำสัปดาห์อยู่ในมือ
แม้ว่าแฮม ทูตของ ‘พระเจ้าแห่งช่างฝีมือ’ จะหายตัวไปอย่างลึกลับ และสิ่งที่ออกัสตุสกับฮาโรลด์กังวลจะไม่เกิดขึ้น แต่เรื่องเช่นนี้ก็อาจเกิดขึ้นอีกได้ในเมื่อบัดนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว เหยื่อตัวอ้วนพีและไร้การคุ้มกันย่อมเป็นที่สนใจของนักล่าอย่างไม่หยุดหย่อน ดังนั้น ด้วยสังหรณ์ใจรุนแรงถึงภัยร้าย พวกเขาจึงคิดเสริมความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าแห่งไอน้ำที่แท้จริงผ่านพิธีการและกิจกรรมอันหลากหลายเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้มากกว่านี้ เผื่อว่าพวกเขาอาจถูกผู้อื่นล่อหลอกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์จนติดตามฝ่ายนั้นไป
พวกเขาไม่เป็นกังวลถึงพระเจ้าเทียมเท็จตนอื่นๆ เลย แต่พระเจ้าแห่งช่างฝีมือ ผู้เป็นคนแคระเช่นเดียวกัน อาจบดขยี้รากฐานที่คล้ายกับจะมั่นคงของพวกเขาได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ อย่างไรเสีย สำหรับคนแคระผู้มาจากมิติภูเขารัตติกาลแล้ว มันมิใช่การเปลี่ยนความศรัทธาเมื่อพวกเขาค้นพบ ‘ร่างจุติของพระเจ้าแห่งไอน้ำบนโลกมนุษย์’! คำอวดโอ่นั้นแทบจะไร้หนทางต้านทานหากมิมีคำพยากรณ์จากพระผู้เป็นเจ้ามาบอกปัด!
“พระผู้ทรงอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง พระองค์คือเจ้าแห่งเขตแดนระหว่างความเป็นและความตาย พระองค์คือมหาราชเหนือราชันย์ทั้งปวง พระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง”
ออกัสตุสยกมือขวาขึ้นปิดดวงตาและก้มลงกราบกราน น้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจังของเขาแฝงไว้ซึ่งความวิตกกังวลและความคิดคาดหวัง ‘พระเจ้าแห่งไอน้ำผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดดลบันดาลให้เหล่าผู้มีศรัทธาแก่กล้าได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยเถิด เพื่อที่เราจะปกป้องเกียรติแห่งเรา ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระองค์ และสร้างนครแอตแลนติสบนโลกมนุษย์นี้ได้’
ไม่ว่าสภาเวทมนตร์จะฉีกกระชาก ‘โฉมหน้าที่แท้จริง’ ของพระเจ้าแห่งสัจธรรมและพระเจ้าเทียมเท็จองค์อื่นๆ ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาได้อย่างน่าเชื่อถือเพียงใด แต่ตราบใดที่พลังศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีอยู่ รากฐานของความศรัทธาย่อมไม่มีทางสั่นคลอนได้ ผู้ศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนยังเชื่อมั่นในการมีอยู่ของพระเจ้าเที่ยงแท้!
ในศาสนาที่ไร้ซึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ สายสัมพันธ์ภายในจะแผ่วบางเสียจนสามารถพังทลายลงทันทีที่สายลมกรรโชกโถมเข้าใส่เป็นครั้งแรก! หลังจากที่พวกเขาออกมาจากมิติภูเขารัตติกาลและมาถึงนครเรนทาโต คนแคระแทบทุกคนต่างหลงใหลในโลกที่แสนมหัศจรรย์นี้ ทั้งยังถูกความบันเทิงกับความรุนแรงกลืนกิน และยึดติดกับคริสตจักรแห่งโฮล์มและสภาเวทมนตร์
‘พระผู้เป็นเจ้า เรามิใช่ไม่เคารพนับถือพระองค์ แต่กระทั่งศรัทธาอันลึกล้ำก็ยังต้องรักษาไว้ด้วยพลังอำนาจ…’
ออกัสตุสสวดภาวนาในใจอย่างเอาจริงเอาและเต็มไปด้วยความคาดหวังอีกครา
พิธีกรรมมาถึงส่วนสุดท้ายแล้ว และก็เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา พระเจ้าแห่งไอน้ำหาได้สำแดงปาฏิหาริย์ให้เห็น
ฮาโรลด์ค่อนข้างผิดหวัง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติภูเขารัตติกาลก็ทำให้เขามิกล้าออกปากบ่น
ออกัสตุสเองก็รู้สึกแย่ไม่แพ้กัน แต่ในตอนที่เขากำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง จู่ๆ ในหัวเขาก็ได้ยินเสียงดังหึ่ง และรู้สึกเหมือนว่าสีสันต่างๆ รอบกายได้เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงแสงสีขาวงาช้างแสนเจิดจ้าและรูปปั้น ‘ระเบิดนิวเคลียร์’ สีเงินตรงหน้าเขาเท่านั้น!
จากนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันท่วมท้นที่เอ่อล้นออกมาจากระเบิดนิวเคลียร์ ก่อนจะเชื่อมเข้ากับดวงจิตของเขา
ดวงจิตของเขาสั่นไหว ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตอันสูงส่งทรงอำนาจ เหมือนกับท้องนภายามราตรีที่เขาเงยหน้าขึ้นมองทุกๆ วัน!
“สิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าคือปริศนาแห่งไอน้ำและแก่นแท้แห่งจักรกล หลังจากที่เจ้าเข้าใจทั้งหมดนี้ พวกมันจะน่าคร้ามเกรงเทียบเท่าพลังศักดิ์สิทธิ์…”
ออกัสตุสรู้สึกว่าดวงจิตของเขากำลังลอยละล่องและหลอมละลายเข้ากับแสงสีขาวงาช้างใกล้ๆ กันนั้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มแสงอันบริสุทธิ์สูงส่ง!
“…ข้ามอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เจ้าเพื่อที่เจ้าจะเอาชีวิตรอดท่ามกลาง ‘ยามค่ำคืนของเหล่าพระเจ้า’ ที่ใกล้จะบังเกิดขึ้น และเพื่อให้เจ้าเรียนรู้ว่าไอน้ำคือตัวแทนของอะไร และความหมายที่แท้จริงของแอตแลนติสคืออะไรผ่านการเปรียบเทียบ…”
“…ผู้ใดบังอาจแพ่งพลายความลับแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์นี้จักสูญเสียพลังและถูกลงทัณฑ์!”
เสียทุ้มลึกดังกึกก้องอยู่ข้างหูออกัสตุส ทำให้หัวใจเขาพองโตด้วยความปีติยินดี
ฮาโรลด์ เมอร์นา และคนแคระคนอื่นๆ ต่างเงยหน้าขึ้นมองตรงมาด้วยความมึนงงและตกตะลึง เพราะรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์สีเงินกำลังปล่อยแสงสว่างนวลตาอันสูงส่งออกมา
แสงสว่างนวลตาอันสูงส่งนั้นเข้าโอบล้อมรอบกายผู้เฒ่าประจำเผ่า ทำให้ตัวเขาเดี๋ยวยุบเดี๋ยวพองไม่หยุด!
ฉับพลันนั้น ออกัสตุสก็ยืนขึ้น แล้วแสงสีงาช้างรอบกายเขาก็แผ่ออกมาเป็นระลอกคลื่นทีละชั้นๆ ส่งผลให้ฮาโรลด์ เมอร์นา และคนแคระคนอื่นๆ รู้สึกสดชื่นเบาโหวง มีชีวิตชีวาและสุขสงบยิ่ง!
‘นี่…นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ’
ออกัสตุสยกมือขวาขึ้นบดบังดวงตาขณะที่น้ำตาไหลอาบหน้า ก่อนที่เขาจะตะโกนออกมาว่า
“พระองค์คือหนึ่งเดียว และทุกผู้ทุกนาม!”
ฮาโรลด์ เมอร์นา และคนที่เหลือต่างคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้งและสวดภาวนาด้วยความปลื้มปีติและอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น
“เราจักปกป้องหลักคำสอนของพระองค์ เพื่อที่พระนามแห่งไอน้ำอันศักดิ์สิทธิ์จักขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง!”
…………………………………………..