Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 702 การเผชิญหน้าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 702 การเผชิญหน้าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได
ภายในท้องนภายามราตรีอันไร้ขอบแขต ดวงดารามากมายกำลังเปล่งแสงเจิดจ้า ทว่า วงโคจรของพวกมันกลับขัดแย้งกับทฤษฎีทั้งหลายทางอาร์คานา ราวกับว่าพลังไม่ทรายชื่อกำลังดึงรั้งมันไป ดังนั้นพวกมันจึงอยู่ในตำแหน่งกระจัดกระจายไร้ระเบียบ ดาวบางดวงจู่ๆ ก็เลี้ยวเบนออกนอกเส้นโคจร จากนั้นก็พุ่งไปชนกับดาวดวงอื่นอย่างจัง แรงระเบิดพร้อมกับพลังขนานใหญ่จักเกิดขึ้น และพายุพลังงานที่เกิดตามมาก็สามารถสังหารสิ่งใดก็ตามที่มีระดับพลังต่ำกว่าชั้นตำนาน
ด้วยเหตุนี้ มิติจักรวาลวายป่วงจึงว่างเปล่าและอ้างว้างยิ่ง มิมีปีศาจตนใดสามารถมีชีวิตรอดได้ในที่แห่งนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมสถานที่แห่งนี้จึงผลิตแผ่นกาลเวลาขึ้นมาได้ได้ แต่กลับมิมีเจ้าแห่งปีศาจเลยแม้แต่ตนเดียว แต่เจตจำนงแห่งอเวจีคือข้อยกเว้น เพราะมันถือกำเนิดจากเจตจำนงสูงสุด ส่วนพวกปีศาจที่เหลือจำต้องฆ่าและกลืนกินพวกเดียวกันตั้งแต่ระดับล่างสุด จนกระทั่งไต่เต้าขึ้นมาสู่ระดับสูงได้ในที่สุด
ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้ามาในมิติจักนวาลวายป่วง จักรวาลมืดมิดอีกเอกภพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังลูเซียน มันดูเหมือนกับจักรวาลแสนลึกลับไร้ขอบเขต จะแตกต่างก็ตรงที่ดวงดาวภายในจักรวาลของลูเซียนนั้นมีสีสันมากมายและพวกมันก็เป็นตัวแทนของธาตุต่างๆ นี่ก็คือมิติพิเศษชั้นตำนานของลูเซียน ‘จักรวาลอะตอม!’
จักรวาลอะตอมแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็วจนซ้อนทับกับจักรวาลวายป่วง จากนั้นดาวเคราะห์ธาตุทุกดวงก็เริ่มสั่นไหว ราวกับพวกมันคืออนุภาคเล็กจิ๋วเหล่านั้น
แรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้ทั้งจักรวาลอะตอมตื่นตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อจักรวาลวายป่วงเป็นระลอกคลื่น นี่คือปรากฏการณ์ปกติที่จะเกิดขึ้นเมื่อมิติพิเศษสองมิติซ้อนทับกัน
ลูเซียนคือจุดศูนย์กลางของระลอกคลื่นนั้น และคลื่นก็แผ่วงกว้างออกไปอย่างรวดเร็วจนไปถึงจุดที่อยู่ห่างไกลที่สุดของท้องนภาประดับดวงดาวดารดาษ
นาตาชาเฝ้ามองลูเซียนลงมือทำทั้งหมดนั้น ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าประดับดาวแสนปั่นป่วนด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง นางรู้ดีว่าดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ จะไม่แผ่แสงออกมาด้วยตัวของมันเอง แต่จะสะท้อนแสงจากแหล่งอื่นเท่านั้น เพราะพวกมันไม่ใช่ดาวฤกษ์ เหมือนอย่างดวงดาวในจักรวาลอะตอมของลูเซียน
นางได้เรียนรู้พื้นฐานโหราศาสตร์จากการชี้แนะของลูเซียน ทำให้คำที่นางใช้มาจากคำศัพท์ที่เขาใช้กันในโลกเดิมของลูเซียน นางมักจะฝึกฝนอยู่ในมิติจักรวาลอะตอม ดังนั้นการวิเคราะห์ของนางถึงนับว่าถูกต้อง
มิติอเวจีนั้นคล้ายคลึงกับมิติพิเศษ ดังนั้นท้องฟ้ายามราตรีนี้จึงมิใช่ ‘ของจริง’ ในทางตรงกันข้าม ท้องฟ้ายามราตรีในมิติอื่นจะแตกต่างออกไป ซึ่งจะคล้ายคลึงกับท้องฟ้ายามค่ำคืนในโลกหลักมากกว่า และดวงดาวบนท้องฟ้าในมิติอื่นก็ยังโคจรไปตามกฎขั้นพื้นฐานของจักรวาลวิทยา
ลูเซียนได้รับผลการตอบสนองจากแรงสั่นสะเทือนรุนแรงตามที่ต้องการแล้ว จึงลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแสงดาวเจิดจำรัสที่ยังคงเปล่งประกายอยู่ในนั้น แล้วหันไปมองทางซ้ายมือ “แผ่นกาลเวลาอยู่ที่นั่น พิกัดคือ…”
แกนหลักของมิติแห่งนี้มีวิถีการสั่นไหวที่แตกต่างออกไป และนี่ก็คือวิธีที่ลูเซียนใช้หาพิกัดที่ตั้งของแผ่นกาลเวลา การทำเช่นนี้นับเป็นการเสี่ยงมิใช่น้อย เพราะมิติพิเศษของเขาอาจถูกไอพลังจากอเวจีทำให้แปดเปื้อนได้ แม้ว่าลูเซียนจะสามารถขจัดมันได้เสมอ แต่มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี
“ว้าว…นั่นยังไม่ถึงห้าวินาทีเลยนะ…” นาตาชาประทับใจอย่างยิ่ง ดวงตาสีม่วงของนางเป็นประกายด้วยความชื่นชม ต่อหน้าลูเซียน นางไม่เคยเก็บความรู้สึกเลยสักครั้ง
นอกเหนือจากเจตจำนงแห่งอเวจีและเจ้าชายปีศาจแล้ว มีเพียงนักเวทชั้นตำนานเท่านั้นที่จะทำได้ ชั้นตำนานในสายอาชีพอื่นๆ คงใช้เวลานานกว่านี้นัก
มิติพิเศษของลูเซียนเลือนหายไปเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมิติอเวจีทำให้แปดเปื้อน แต่ก่อนหน้านั้น ลูเซียนก็ได้คว้าแขนนาตาชาและกระโดดข้ามมิติโดยใช้มิติพิเศษของตนเป็นสถานีเปลี่ยนผ่าน
จักรวาลวายป่วงเป็นเพียงชั้นหนึ่งในมิติอเวจี ทั้งสองจึงใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็มาถึงอวกาศที่ดูชวนขวัญผวา
มันดูคล้ายคลึงกับจักรวาลวายป่วง แต่เมื่อสังเกตให้ดี ลูเซียนก็เห็นว่ามันมีหลุมดำมากมายที่บิดเป็นเกลียวซ่อนอยู่เบื้องหลังอวกาศ ทั้งอวกาศแห่งนี้เป็นเหมือนกับมหาสมุทรแสนอันตรายที่เต็มไปด้วยน้ำวนซึ่งพร้อมจะดับวิญญาณทุกสิ่งมีชีวิตโดยที่ไม่อาจหยั่งรู้ล่วงหน้าได้เลย
ลูเซียนไม่หวาดกลัวต่อมหาสมุทร ไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม แต่สถานที่แห่งนี้แตกต่างออกไป
หลุมบิดงอนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติจากพลังของแผ่นกาลเวลา ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงเวลาและอวกาศในที่นี้ ขัดขวางนาตาชาและลูเซียนไม่ให้เข้าไปใกล้แผ่นกาลเวลาได้โดยง่าย
ทว่า นี่เป็นการยืนยันว่าลูเซียนคิดถูก แผ่นกาลเวลาอยู่ที่นี่จริงๆ!
“ระวังตัวด้วย” ลูเซียนเอ่ยเตือน
เขาเริ่มร่ายเวทป้องกันให้กับตัวเองและนาตาชา จากนั้นจึงเรียกคทาอวกาศออกมาถือไว้
นาตาชาเองก็ยกโล่แห่งสัจจธรรมในมือซ้ายขึ้น แม้ว่าการเคลื่อนไหวของทั้งสองจะทำให้พลังป้องกันของโล่ถดถอยลง แต่พลังของมันก็ยังมากพอจะทำให้ทั้งสองบุกฝ่าอวกาศแห่งนี้ไปได้
ทั้งคู่เดินเข้าไปในอวกาศด้วยความระมัดระวังเป็นที่ยิ่ง เวทกระจกแห่งชะตาคอยนำทางลูเซียนและนาตาชา ทั้งสองจึงเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าอวกาศแห่งนี้จะดูเหมือนไร้ขอบเขต แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น อย่างไรเสีย แผ่นกาลเวลาก็เป็นเพียงเศษชิ้นส่วนวัตถุดิบระดับตำนานเท่านั้น พลังที่มันแผ่ออกมาจึงเป็นเพียงพลังระดับตำนานขั้นที่สอง
ด้วยเหตุนี้ ภายในสิบวินาที ลูเซียนกับนาตาชาก็ค้นพบเป้าหมาย มันดูเหมือนกับดาวเคราะห์ดวงเล็กแสนแปลกตาที่สร้างขึ้นจากเพชร มันดูบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามยิ่ง เพราะรอบๆ ดาวเคราะห์นั้นคือแสงเงาวับเจิดจ้า
แสงเงาวับเจิดจ้านี้มาจากแผ่นกาลเวลาสีดำที่อยู่ตรงใจกลางดาวเคราะห์ บนแผ่นกาลเวลามีแสงสว่างระยิบระยับที่แผ่ออกมาเป็นระลอกคลื่น ลูเซียนมองเห็นลวดลายลี้ลับบนตัวแผ่นได้ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับนาฬิกาจันทรากาลของเขา พลังของมันทำให้เขารู้สึกทึ่งกับเวลาที่ผ่านพ้นไป
นี่คือแผ่นกาลเวลา วัตถุดิบระดับตำนาน! ลูเซียนบากบั่นมาถึงที่นี่ก็เพื่อสิ่งนี้!
ทว่า ข้างๆ แผ่นกาลเวลานั้นกลับปรากฏชายในวัยสามสิบต้นๆ ยืนอยู่ เขามีรูปร่างสูงใหญ่และมีผมสั้นสีบลอนด์อ่อน เครื่องหน้าของเขาดูคล้ายกับคนจากจักรวรรดิชาชราน แม้ว่าเขาจะดูท่าทางดื้อดึงและไร้ความรอบคอบไปบ้าง แต่การมองเขาอาจทำให้คนที่มองรู้สึกเป็นสุขและสงบนิ่ง
แต่คางที่ยื่นออกมาเล็กน้อยของเขา ทำให้เขาดูท่าทางเป็นคนจริงจังและเด็ดเดี่ยว
‘เคลเมนต์!’ ลูเซียนและนาตาชาจำเขาได้ในคราวเดียวกัน
เขาคือนักบุญจากศาสนจักรฝ่ายเหนือ รูปลักษณ์และลักษณะไอพลังของเขามีบันทึกไว้ในรายงานข่าวกรองของสภาเวทมนตร์และอาณาจักร!
แต่ไม่มีใครหาคำตอบได้เลยว่าเหตุใดเคลเมนต์จึงมาอยู่ที่นี่เช่นกัน
ในขณะเดียวกันนั้น เมื่อได้เห็นลูเซียนกับนาตาชา เคลเมนต์ พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญระดับสาม กลับตื่นตระหนกเสียยิ่งกว่า ความจริงแล้ว ความรู้สึกประหม่ากลัวของเขากลับรุนแรงมากกว่าเสียอีก
เมื่อครู่นี้ เขาเพิ่งได้รู้ว่าลูเซียนยังไม่ได้มาเอาแผ่นกาลเวลาไป และเคลเมนต์ก็เชื่อว่าตนเองเดินนำอยู่ก้าวหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเรื่องนี้คงจบลงง่ายขึ้นเยอะ ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าชายปีศาจ เคลเมนต์คิดว่าเขาจะสามารถฉกฉวยแผ่นกาลเวลาไปก่อนที่ลูเซียนจะได้มันไป อย่างไรเสีย การจะผ่านมิติทะเลเดือดและต่อสู้กับเจ้าแห่งเพลิงบรรพกาลจะถ่วงเวลาลูเซียน อีวานส์ ได้นานพอ
เขายังถึงกับคิดว่าลูเซียนยังคงเตรียมการอยู่ในอัลลิน!
แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาต้องมายืนประจัญหน้ากันเช่นนี้ เคลเมนต์หาได้เตรียมตัวมาเพื่อต่อสู้แบบแลกชีวิตกับลูเซียนไม่ ดังนั้นเขาจึงตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง
เขากำลังลังเล ด้านข้างของเขาคือแผ่นกาลเวลา แต่ลูเซียนกับนาตาชาก็มาอยู่ในระยะโจมตีถึงแล้ว เขานึกสงสัยว่าเขาควรจะคว้าแผ่นกาลเวลามาก่อน หรือควรจะร่ายเวทคุ้มกันกายให้กับตัวเองหลายๆ ชั้นเสียก่อนดี
แต่ไม่นานเขาก็ตัดสินใจได้ เขาต้องวางแผนและเตรียมการมาอย่างหนักเพื่อให้มาถึงที่นี่ และแน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางปล่อยมือจากแผ่นกาลเวลาในตอนนี้!
แต่น่าเสียดาย ลูเซียนไม่เคยคิดจะยอมมอบโอกาสให้เขาได้ตัดสินใจ!
เคลเมนต์ได้ยินเสียงนาฬิกาเดินดังฟังชัด
ในมือขวาของลูเซียนปรากฏนาฬิกาพกสีเงินแสนประณีตขึ้น อันญมณีที่ฝังตามตำแหน่งกลุ่มดาวบนตัวเรือนคือสัญลักษณ์แทนเวลา
นาฬิกาพกเรือนนั้นต้องสะท้อนแสงสว่างบริสุทธิ์เหมือนกับแว่นตาข้างเดียวของลูเซียน จากนั้นลูเซียนก็กดนิ้วลงบนเม็ดมะยม
กริ๊ก
สีสันทั้งหมดที่เคลเมนต์มองเห็นพลันหายไป เหลือแต่เพียงสีเทา ขาว และดำ
จากนั้นลูเซียนก็เริ่มร่ายคาถาเป็นทำนองไพเราะทว่าแปลกหู
“เวทพังทลายขั้นสุดยอด!”
“เวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะ!”
เวทพังทลายขั้นสุดยอดเป็นเวทมนตร์ชั้นตำนานที่ร่ายได้ยากยิ่ง ส่วนเวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะก็เป็นเวทมนตร์น้ำแข็งและหิมะชั้นตำนานระดับสูงสุด ดังนั้นการร่ายจึงต้องใช้เวลานานมาก แต่ภายในเวลาที่มีอยู่จำกัด ลูเซียนก็ยังร่ายเวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอนและเวทหน่วงเสริมเข้าไปด้วย
จากนั้นสีสันก็คืนกลับมา
ลูเซียนมั่นใจว่าเวทมนตร์ชุดนี้จะสามารถสังหารชั้นตำนานระดับสามได้เลยทีเดียว ตราบใดที่เขาหรือนางไม่มีพลังต้านทานเวทมนตร์!
ใบหน้าของเคลเมนต์ยังฉายชัดถึงความตกตะลึง ขณะที่แสงสว่างระเบิดโพลงออกจากร่างของเขา เสาแห่งแสงที่ดูโปร่งใสราวกับแก้วคริสตัลซึ่งแผ่ไอเย็นเยียบออกมารั้งรออยู่เล็กน้อยเพื่อให้เวทพังทลายขั้นสุดยอดแผลงฤทธิ์เสียก่อน!
‘มันจบแล้ว!’
‘ลูเซียน อีวานส์ รู้จักเวทมนตร์คาถาน่าเหลือเชื่อมากมายจนเกินไป!’
ในตอนที่เคลเมนต์ตกอยู่ในความสิ้นหวังนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็เข้าปกคลุมร่างของเขา และดึงตัวเขาไปทางซ้าย ห่างออกไปประมาณไม่กี่ร้อยเมตร ซึ่งนั่นทำให้เขารอดพ้นจากเวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะมาอย่างหวุดหวิด
เขามองเห็นกับตาว่าพลังของเวทมนตร์เปลี่ยนดาวเคราะห์ให้กลายเป็นผงน้ำแข็งภายในเสี้ยววินาที!
ในตอนนั้นเอง เสียงร้องเพลงอันไพเราะก็ดังขึ้น จุดแสงเล็กๆ เต้นระบำไปมาในอากาศเหมือนกับนางฟ้าตัวน้อย และตรงกลางจุดแสงนั้นก็ปรากฏร่างสูงที่มีเส้นผมสีบลอนด์
ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบแปดคู่ค่อยๆ กางออก และไอพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ขับไล่ไอพลังสกปรกของมิติอเวจีไป
“ราชาทูตสวรรค์!”
“เมแคนทรอน…!”
นาตาชาและลูเซียนโพล่งออกมา
…………………………………………..