Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 737 การลงทัณฑ์ของพระเจ้า
เตาไฟที่เพลิงลุกโชนในห้องโถงขับไล่ความหนาวเหน็บของเดือนแห่งน้ำแข็ง (ธันวาคม) ออกไปจนหมดสิ้น ไฮดี้กับบรรดาเพื่อนๆ นั่งพิงเก้าอี้เอนกายพร้อมหนังสือในมือ ทุกคนอ่านหนังสือไปด้วยขณะที่อิ่มเอมกับของหวานมื้อพิเศษ
แม้ว่ามีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศเวทมนตร์อยู่ในห้อง ซึ่งทำให้อากาศอุ่นในฤดูหนาวและอากาศเย็นในฤดูร้อน ไฮดี้ชื่นชอบเตาผิงไฟมากกว่า เพราะไฟฟืนในเตาผิงให้ความอบอุ่นกับหัวใจนาง มันเป็นสัญลักษณ์ของครอบครัวสำหรับนาง
“เวทมนตร์เป็นสิ่งวิเศษจริงๆ ข้าไม่ต้องกลัวอ้วนเลยสักนิดถึงจะกินของหวานเท่าไหร่…” ไฮดี้ลูบท้องของนางด้วยความพอใจ “เวทเผาไขมัน” ไม่ได้เอาไว้ใช้แรงงานศัตรูเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเวท หากสามารถควบคุมได้ดี
เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง นางหายตัวไปอยู่ข้างหน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และเห็นดาวตกกำลังพุ่งลงมาจากฟ้าราวกับห่าฝน ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง
“ดูนั่น ฝนดาวตก!” ไฮดี้ตกอยู่ในมนต์สะกดของภาพอันงดงามนั้น นางร้องเรียกเพื่อนๆ
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ นางก็รู้สึกเย็นเฉียบในดวงตา ด้วยความรู้ในด้านโหราศาสตร์และสนามพลัง จุดตกของอุกกาบาตนี่ก็น่าจะเป็น…
“อัลลิน!” นางตะโกนออกมา
นักเวทที่เฝ้าสังเกตดวงดาวอยู่ที่หอคอยต่างก็อ้าปากค้าง จากการเฝ้าสังเกตและการพยากรณ์ครั้งก่อน ฝนดาวตกน่าจะตกลงที่มหาสมุทรไร้พรมแดนมิใช่หรือ? หลังจากนั้น นักเวทจำนวนมากต่างออกตามหาอุกกาบาตเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการวิจัยและการเล่นแร่แปรธาตุ ทำไมดาวตกเปลี่ยนวิถีเส้นทางโคจร จนเขาถล่มอัลลินเหมือนพายุ?
“อัลลิน…” บรูคและแฮททาเวย์ซึ่งรับหน้าที่ปกปักรักษาเมืองลอยฟ้าแห่งนี้ แผนที่ของเฮลเลน สังเกตุเห็นก่อนนักเวทคนอื่นๆ
บรูคตั้งใจจะบินขึ้นไปและทำลายอุกกาบาตให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ในตอนที่มันยังอยู่บนฟ้า แต่ฝนดาวตกมีขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่จุดตกของฝนดาวตกเปลี่ยนทิศทางอย่างน่าประหลาด เขาจึงรู้สึกหวั่นเกรงและไม่ผลีผลามออกไปป้องกัน
“เตือนภัยระดับหนึ่ง ระบบป้องกันอัลลินทำงานเต็มกำลัง” แฮททาเวย์ เปิดใช้งานวงเวทป้องกันอย่างใจเย็น “เราจะเน้นการป้องกันและทำลายดาวตกที่อาจเป็นภัยต่อเรนทาโตและเขตชุมชนใกล้เคียงด้วยลำแสงเลเซอร์”
เหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้นางเพิ่มระดับการเตือนภัย มิฉะนั้นแล้ว ภัยธรรมชาติเช่นนี้ อย่างมากก็จะใช้เพียงการเตือนภัยระดับสองเท่านั้น
อีกฝ่ายหนึ่ง บรูคพูดกับมิติพิเศษของเขาที่ยังเชื่อมต่อกันอยู่ “เปิดวงเวทป้องกันหอคอยเวทมนตร์ที่สำนักสาขาต่างๆ เต็มกำลัง นักเวทชั้นตำนานจะขยายระยะการเตือนภัย ให้นักเวทชั้นตำนานคนอื่นกลับไปที่อัลลินทันที เตรียมรับมือการโจมตีและกำลังเสริม”
“แจ้งนักเวทชั้นตำนานที่ออกไปทำภารกิจ และรวบรวมกำลังทั้งหมดของเรา…” แฮททาเวย์พูดเสริมขึ้น
ทั้งสองยังคงรับมือกับฝนดาวตกอย่างใจเย็น และได้ติดต่อไปยังดักลาส ลูเซียน และนักเวทคนอื่นๆ ในดินแดนตอนเหนือ
“เม็ดฝน” ขนาดใหญ่ยักษ์เปล่งแสงเรืองรอง ส่วนทางสว่างไสวเป็นทาง พุ่งเข้าปะทะอัลลิน
ขณะเดียวกัน หมอกหนาก็กระจายตัวไปทั่วอัลลิน จนเมืองลอยฟ้าเหมือนอยู่ในความฝัน มากกว่าความเป็นจริง
ดาวสลัวๆ ผุดขึ้นมาจากหมอกแล้วเชื่อมต่อกันเป็นหมู่ดาวกลางท้องฟ้าขนาดใหญ่รอบอัลลิน ดาวแต่ละดวงประจำตำแหน่งของตัวเองและโคจรตามเส้นโคจร กลายเป็นวงเวทรูปแบบต่างๆ วงเวทพวกนี้ทับซ้อนและรวมเป็นหนึ่งกับวงเวทขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังทรงอานุภาพ
นี่เป็นรูปแบบการป้องกันขั้นสูงสุดของอัลลิน
“เม็ดฝน” ส่องแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่อุกาบาตยักษ์ที่ไฟลุกโชนปะทะเข้ากับอาณาเขตท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวและหมอกหนาอย่างรุนแรง
ดวงดาวกับส่องแสงสว่างยิ่งขึ้น และคลื่นพลังก็กระจายตัวไปทั่วม่านหมอก แต่กลับไม่เหลืออุกกาบาตให้เห็น
เม็ดฝนของดวงดาวถล่มลงไม่หยุดหย่อนด้วยความรุนแรงที่พร้อมจะทำลายโลกได้ หมอกในระบบป้องกันอัลลินสั่นไหว ดาวบางดวงสลายไป!
หากต้องเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติของจริง บรูคกับแฮททาเวย์อาจใช้เวทมนตร์บทอื่น ทั้งเวทต้านแรงโน้มถ่วงและเวทหันเห ด้วยวิธีดังกล่าว ฝนดาวตกก็ไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆ กับอัลลิน อย่างไรก็ตาม วิธีดังกล่าวจะทำให้อุกกาบาตเบี่ยงเบนทิศทางและทำลายผืนดินด้านล่าง และเนื่องจากเรนทาโต ซึ่งมีประชากรอยู่หนาแน่น ตั้งอยู่ไม่ไกล ทั้งสองจึงตัดสินใจป้องกันด้วยวิธีที่ยากเช่นนี้
ด้วยความรุนแรงของพายุฝนลูกนี้ อุกกาบาตทะลุผ่านระบบป้องกันของอัลลิน และตกในหมู่บ้านรอบๆ และเรนทาโต!
ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางท้องฟ้าหมู่ดาวม่านหมอกรอบๆ อัลลิน เสาสีแดงสดต้นหนึ่งก็ปล่อยลำแสงที่เข้มข้นยิงอุกกาบาตดวงหนึ่งอย่างแม่นยำ
อุกกาบาตดวงนั้นสลายไปไม่เหลือราวกับถูกเผาไหม้เป็นจุลอย่างไร้เสียง
แสงเลเซอร์สีแดงสดและลำแสงสีเขียวยิงออกมาจากระบบป้องกัน ทำลายอุกกาบาตที่อาจตกสู่พื้น
และในตอนนั้น ชาวเมืองเรนทาโตก็รู้ตัวแล้วว่าระบบป้องกันเมืองกำลังทำงาน พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ แล้วเห็นฉากที่อุกกาบาตกำลังตกลงมา และถูกแสงเลเซอร์ยิงทำลาย ทุกคนตื่นตระหนกจนไม่อาจพูดอะไรออกมา ภาพที่เห็นน่าตื่นตาตื่นใจเสียยิ่งกว่าสงครามเวทมนตร์ที่นักกวีและบทละครเล่าไว้เป็นหมื่นเท่า
แม้อุกกาบาตจำนวนมหาศาลก็ไม่อ่านช่วยให้พายุคงอยู่ตลอดไป หลังจากการโจมตีระลอกแรก อุกกาบาตก็เบาบางลง เมื่อนักเวทในอัลลินเริ่มเบาใจขึ้น ดาวตกดวงหนึ่งที่เหมือนกำลังเผาไหม้ตัวเองก็ทะลุผ่านชั้นบรรยากาศ แสงศักดิ์สิทธิ์สีงาช้างบนดาวตกดาวนั้นก็ส่องแสงสว่างเรืองรองไปครึ่งท้องฟ้า
พลังที่เก็บอยู่ในดาวตกดวงนั้นทรงอานุภาพยิ่งกว่าดาวตกทุกดวงก่อนหน้านี้รวมกัน มันเหมือนกับการลงทัณฑ์จากสวรรค์และพระเจ้า!
“เบเนดิกต์ที่สาม!”
“ไวเค็น…”
บรูค แฮททาเวย์ และโอลิเวอร์ ขานชื่อเวทต่างๆ ออกมา การโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ย่อมมาจากมนุษย์ครึ่งเทพเท่านั้น แม้แต่สันตะปาปาของศาสนจักรฝ่ายเหนือ ซึ่งมีพลังพระสิริแห่งพระเจ้า ก็ไม่อาจทำเรื่องนี้ได้!
“เวทธาตุอารักขา!”
“เวทสนามแม่เหล็กสลาย!”
“พลังทำลายล้าง!”
“สนามต้านแรงโน้มถ่วง!”
…
ทุกคนต่างตกตะลึง แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของแต่ละคนไม่ได้เชื่องช้า พวกเขาใช้เวทมนตร์ระดับตำนานและเปิดวงเวทป้องกัน ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในอัลลินเพื่อต่อต้าน “การลงทัณฑ์ของพระเจ้า” จากมนุษย์ครึ่งเทพไวเค็น!
ทันใดนั้น วงเวทที่อยู่ตรงหน้าบรูคและแฮททาเวย์ก็ทำงานและฉายภาพออกมา ภายในฉากนั้นเป็นภาพของวงโคจรดาวเคราะห์ จุดแสงสีงาช้างปรากฏขึ้นและกลายเป็นเมลแม็กซ์ ฟิลิป และพระคาร์ดินัลหลวงคนอื่นๆ พวกนั้นกำลังบินพุ่งเข้ามาหาบรูคและแฮททาเวย์
ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายจากดาวเทียม ฉะนั้น เป้าหมายของพวกนั้นไม่ใช่ “บรูคกับแฮททาเวย์” แต่เป็นดาวเทียมนั่นเอง!
สร้างความวุ่นวายเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและแบ่งกำลังศัตรูออกไป แล้วชิงลงมือโจมตีอย่างรวดเร็ว จนศัตรูไม่มีเวลาเรียกกำลังเสริมเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นแผนของฟิลิป เรียบง่าย แต่ได้ผลดี ไม่มีใครเพิกเฉยต่อการโจมตีของมนุษย์ครึ่งเทพได้!
และแน่นอน ด้วยเหตุฉุกเฉินจากเจตจำนงแห่งอเวจีในแดนตอนเหนือทำให้เขายิ่งฮึกเหิมและเชื่อมั่นว่าแผนนี้ต้องสำเร็จ
ดาวตกดวงนี้ดูเหมือนจะมีพลังเจตจำนงแห่งพระเจ้า มันพุ่งลงอย่างไม่มีใครหยุดได้ มาดหมายจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง บรูคกับแฮททาเวย์กำลังสาละวนกับการป้องกันและไม่อาจออกจากเขตป้องกันมิได้
ตู้ม!
ดาวตกพุ่งชนอัลลิน เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ชั้นเกราะป้องกันธาตุอารักขาที่มีสีสันหลากหลายแตกออกเป็นเสี่ยงในทันที สนามต้านแรงโน้มถ่วงก็หายวับไปในอากาศอันเบาบางภายใต้แสงศักดิ์สิทธิ์สีงาช้าง
สนามแม่เหล็กที่มืดมิดและบิดเบี้ยวแตกออกไม่เหลือชิ้นดี ไม่ต่างกับดวงดาวที่สว่างไสวและวงเวทต่างๆ แม้แต่ม่านหมอกก็กระจัดกระจายออกเป็นหลายส่วน
แม้ไม่มีความเสียหายร้ายแรงระบบป้องกันอัลลินและนักเวทชั้นตำนานทั้งสองคน แต่ปฏิกิริยาของทั้งสองก็ยังกระอักกระอ่วน บรูคมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับว่าเขาเห็นโป๊ปยืนอยู่ที่สุดขอบของดาวเคราะห์ผ่านชั้นบรรยากาศและความมืดมิด ชายคนนั้นก้าวเดินอย่างช้าๆ พร้อมถือคทาทองคำขาวในมือ และหายตัวไปก่อนที่แสงของดวงจันทร์สีเงินจะส่องถึง
“แจ้งดักลาสกับนักเวทชั้นตำนานที่อารักขาสำนักสาขาอื่น…” แฮททาเวย์สั่งพรอสเปลล์โดยไม่เสียแม้แต่น้อย ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้
ภายในป่าใหญ่ดึกดำบรรพ์ทางตอนเหนือ…
หลังจากลูเซียนร่ายเวทน้ำแข็งอันเย็นเฉียบและควบคุมประตูโลหิตได้ ทั้งป่าก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ราวกับว่าแม้แต่สัตว์ร้ายป่าเถื่อนของเมืองเหนือก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลกปกติ พวกมันจึงไม่ผลีผลามทำอะไร ด้วยเกรงว่าความเย็นยะเยือกนั้นจะกระจายตัวออกไป
การควบคุมอุณหภูมิต่ำขนาดนั้นเป็นเรื่องยาก แล้วความมืดที่ถูกแช่แข็งก็ค่อยๆ ละลายและระเหยกลายเป็นหมอกบริสุทธิ์
ต้นไม้ที่รูปร่างบิดเบี้ยว ถ้ำใต้ดิน และเปลวเพลิงสีขาวซีดและแดงสดใกล้กับประตูโลหิตก็สลายกลายเป็นหมอกก่อนจางหายไปทั้งหมด ประตูโลหิตหดเล็กลงจนแทบมองไม่เห็น และกำลังจะสลายไปไม่เหลือซากเช่นกัน
ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามที่ชั่วร้ายและอลหม่านที่สุดก็ดังกึกก้องจากด้านหลังประตูอีกครั้ง เปลี่ยนหิมะให้กลายเป็นหมอกสีเลือด ส่วนอีกทางหนึ่ง ประตูโลหิตก็เต็มไปด้วยความมืดมิดที่น่าสะอิดสะเอียนและเคลื่อนไหวยวบยาบ มันขยายตัวอย่างรวดเร็วและระเบิดออกในทันที!
ตู้ม!
ราวกับนรกอเวจีทั้งหมดแตกสลาย ณ ที่นี่ ความโกลาหลและโลหิตชโลมไปทั่วบริเวณ ประตูถูกทำลายจนสิ้นซาก แต่ก็ยังปล่อยพลังทำลายทิ้งทวนไว้อย่างน่าเกรงขาม
“บ้าชัดๆ!” ลูเซียนกับนักเวทคนอื่นๆ พากันสบถ เจตจํานงแห่งอเวจีไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย มัน “ระเบิด” อเวจีไปชั้นหนึ่ง โดยไม่คิดใคร่ครวญว่าจะเหลือพลังเท่าไหร่ หลังข้ามมิติมาและจะเสียหายอย่างไร!
“คทาอวกาศ!” คลื่นแสงปรากฏขึ้นในมือของลูเซียน พาตัวลูเซียนและราชาแห่งชะตากรรมที่อยู่ข้างๆ หลบไปในอวกาศต่างๆ อันไกลโพ้น
ความชั่วร้ายอันโกลาหลกัดกินที่นี่ เป็นการประกาศการมาถึงของความเงียบงันอันน่าสะพรึงกลัวที่สุด
…
บนเส้นวงโคจร พระคาร์ดินัลหลวงสองสามคนกระจายตัวออกตั้งอยู่ในที่มั่น ป้องกันไม่ให้ใครเข้ามายับยั้งกลางอวกาศและโจมตีพวกเขา ขณะที่ฟิลิปและนักบุญเมลแม็กซ์บินตรงเข้าไปยังดาวเทียมสีเงินดวงหนึ่ง
ดาวเทียมดวงนี้เต็มไปด้วยรูปแบบเวทมนตร์ที่ซับซ้อนและคลุมเครือ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแกนกลางของมัน
“พามันกลับไป” ฟิลิปดีอกดีใจ แล้วเขาก็หยิบกางเขนแห่งสัจธรรมออกมาอย่างรอบคอบ
ไม้กางเขนไม่ได้ส่องแสงเรืองรอง และไม่ได้ชวนมองราวกับทำขึ้นจากหินธรรมดา มีรอยสลักตราสัญลักษณ์นักบุญแห่งสัจธรรมและดวงดาวที่เป็นเหมือนตัวแทนของทูตสวรรค์
“ทำลายล้าง!” ฟิลิปยกกางเขนขึ้น สีดำขมุกขมัวส่องแสงแวววาวบนกางเขนด้วยกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์
ความมืดนี้ ซึ่งแตกต่างกับความมืดโดยรอบอย่างสิ้นเชิง แผ่กระจายไปทั่วดาวเทียม แล้วก็กำจัดคลื่นพลังเวทมนตร์พร้อมกับวงเวทสีเงินออกไป
นี่คืออุปกรณ์ชั้นตำนานที่สอดคล้องกับพลังโลหิต “ทำลายล้าง”! ฟิลิปเกรงว่าจะมีกับดักอื่นอยู่บนดาวเทียมอีก จึงตัดสินใจกำจัดให้สิ้นซากเสียในครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่วงเวทวงสุดท้ายสิ้นพลังลง ก็ดูเหมือนมีพลังบางอย่างถูกปลุกให้ตื่น แกนกลางของดาวเทียมไม่ได้รับความเสียหายจาก “พลังทำลายล้าง” แม้แต่น้อย และเริ่มตอบโต้ด้วยตัวเอง จนเกิดการระเบิดไม่ทันที
ตู้ม!
แสงเรืองรองที่รู้สึกเหมือนกับดวงอาทิตย์สว่างไสว และพายุพลังงานกลืนกินบรรยากาศโดยรอบ!
“เฮ้ย…” ฟิลิปไม่มีเวลาเหลือพอให้ตอบโต้ แล้วเขาก็เห็นเมลแม็กซ์หายตัวมาอยู่ตรงหน้าตั้งรับการระเบิด
…
ในป่าแห่งดินแดนตอนเหนือ ลูเซียนกับเหล่านักเวทก็ช่วยกันกำจัดพลังแห่งอเวจีจนหมดสิ้น และในตอนนั้นเอง ก็มีบางอย่างสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรี
ขณะมองที่แสงประหลาดนั้น ลูเซียนก็ยิ้มให้กับเฟอร์นันโด “เห็นประโยชน์ของเตาปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่สูญเสียการควบคุมทุกครั้งที่ถูกกระตุ้นแล้วขอรับ ปัญหาเดียวตอนนี้คือดาวเทียมยังดวงใหญ่ไม่พอ…”
ด้วยการแสดงออกที่วางท่าสง่างามของเขา เฟอร์นันโดถึงไม่เสนอความเห็นใด
……………………………………………………