Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 780 คำประกาศของจันทราสีเงิน
หน้าต่างในหอคอยเวทมนตร์ของนาทราวอสนั้นเป็นแบบดั้งเดิมตามยุคสมัยจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ พวกมันจะมีอยู่บริเวณใกล้เพดานแต่ละชั้น ทั้งเล็กแคบและไม่มีกรอบหน้าต่าง ราวกับถูกฝังไว้บนกำแพงโดยตรง บนบานกระจกนั้นมีลวดลายเวทมนตร์แสนลี้ลับซับซ้อนทุกรูปแบบ
กระทั่งยามกลางวัน ดวงอาทิตย์ยังแทบส่องแสงเข้ามาภายในหอคอยเวทมนตร์มิได้เพราะตำแหน่งและขนาดของหน้าต่างและไหนจะบานกระจกที่คอยปิดกั้นนั้นอีก ด้วยเหตุนี้ ภายในหอคอยเวทมนตร์จึงมืดทึบอึมครึมและน่าหวาดกลัวอยู่เสมอ เหมือนกับภาพลักษณ์ของเหล่านักเวทโบราณในความคิดของคนทั่วๆ ไป
ทว่า ในยามนี้ แสงจันทร์อันเย็นเยียบกลับทำลายความมืดทึบตลอดกาลภายในหอคอยเวทมนตร์ แล้วสาดส่องแสงสีเงินบริสุทธิ์ชวนให้สงบใจเข้ามากระทบกับผนังผุพัง พื้นที่เหลืออยู่ และร่างกายของทุกคน
แสงจันทร์ตกกระทบบนจุดที่ดานิซอสอยู่พอดี ร่างมังกรยาวหลายร้อยเมตร ในขณะที่มันกระพรือปีกใหญ่ยักษ์ พร้อมกับที่วงแหวนเกล็ดสีดำหมุนวน และอ้าปากร่ายคาถาอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ แผ่นหลังที่อยู่ใกล้กับศีรษะกลับแผ่แสงสีเงินภายใต้จันทรา
โฮกกกกกกก!
เวทมนตร์ภาษามังกรของมังกรบรรพกาลแห่งกาลเวลาถูกขัดขวางโดยตรง ลำคอของมันยกสูงขณะคำรามด้วยความเจ็บปวด
บนหลังของมัน ที่ที่แสงจันทรามารวมตัวกันนั้น ปรากฏ ‘เด็กสาว’ ผู้งดงามที่ผมยาวสีบลอนด์ถูกมัดเอียงไปด้านหนึ่ง ขณะกึ่งนั่งยองๆ นางก็เงื้อดาบยาวสีเงินขึ้นและจ้วงแทงไปบนหลังของดานิซอสอย่างไร้ปราณี โดยที่นัยน์ตาสีแดงโลหิตของนางไม่แสดงถึงอารมณ์ใดๆ
จุดที่ดาบยาวสีเงินจ้วงแทงลงไปนั้น พลันมีโลหิตสีใสพวยพุ่งออกมา ดูราวกับน้ำพุเลื่องชื่อในจัตุรัสแห่งนครเรนทาโต
เมื่อหยาดโลหิตหยดลงกระทบพื้น มันกลับไม่ผสมปนเปื้อนกับฝุ่นผงแต่อย่างใด กลับกลิ้งไปบนพื้นราวกับสารปรอทที่ไร้สิ่งใดปนเปื้อน!
โฮกกกกกกก!
เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของดานิซอสคือการดิ้นรนครั้งสุดท้าย ร่างของมันสั่นสะท้านรุนแรง และเกล็ดสีเทาทั้งหมดของมันก็แผ่แสงออกมาเป็นระลอกคลื่น วงแหวนสีดำที่ดูเหมือนกับวงล้อแผ่ขยายออกแล้วตั้งขึ้น ฉับพลันนั้น กาลและอวกาศรอบๆ ตัวมันก็เชื่องช้าลงจนถึงจุดต่ำสุด ผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งหมดเคลื่อนไหวช้าลงราวกับว่าพวกเขากำลังแสดงละครกันอยู่ ม่านหมอกและสายฟ้าแปลบปลาบต่างก็ถูกแช่แข็งจนดูเหนียวข้นเหมือนเจล
แต่ไม่ว่าดานิซอสจะดิ้นรนและต่อต้านเพียงใด แสงของจันทราสีเงินก็ยังคงเปล่งประกายอยู่บนแผ่นหลังของมัน เงาร่างเลือนลางที่แสนงดงามยังคงนั่งย่อตัวอยู่บนนั้น มือทั้งสองข้างของนางที่จับดาบยาวสีเงินไว้แน่นไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เปลวไฟสีดำเริ่มปรากฏขึ้นบนดาบยาวเล่มนั้น แล้วสัญลักษณ์แสนซับซ้อนเหนือจินตนาการก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของดานิซอส!
เป็นอัลเทอร์นา พระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน!
ดวงตาของเดโมกอร์กอนแห่งความมืดที่เปลี่ยนสีไปมาอยู่ตลอดพลันหยุดนิ่ง เขาถือเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดและเป็น ‘เจ้าของ’ มิติพิเศษแห่งนี้ และเขาก็อยู่ห่างจากสมรภูมิต่อสู้ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้รับอิทธิพลจากการระเบิดพลังก่อนตายของดานิซอส แต่เขาก็สามารถสัมผัสถึงความไม่แยแสอย่างเท่าเทียมโดยตรง แม้ว่าอัลเทอร์นาจะไม่ได้มองมาที่เขา แต่นัยน์ตาสีแดงโลหิตอันเยียบเย็นกลับปรากฏขึ้นในหัวของเขา
‘เจ้างั่งแดรกคูลา เจ้าบอกว่าจันทราสีเงินอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวๆ มหาสมุทรไร้พรมแดนมิใช่รึ มิใช่ว่านางกำลังร่วมมือกับเจ้าแห่งนรกเพื่อรับมือกับพระสันตะปาปาไวเค็นหรอกรึ’
‘แล้วเหตุใดจันทราสีเงินจึงช่วยเหลือเดโมกอร์กอนแห่งดวงตากับผู้ไต่สวนหกกรกันเล่า ฝ่ายข้ามีเจ้าชายแวมไพร์ถึงสามตน ซึ่งเป็นผู้ศรัทธาแสนซื่อสัตย์ของนาง การสังหารศัตรูย่อมไม่ส่งผลอันใดต่อตัวนาง! แม้ว่านางจะอยากช่วยเหลือพวกมนุษย์หมาป่า นางก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำรุนแรงถึงเพียงนี้เลยนี่’
‘ดูจากจังหวะในการโจมตีแล้ว ดูเหมือนว่านางจะเป็นฝ่ายอยู่เหนือกว่ามาตลอด!’
กอนไฮล์มไม่นึกกังขาเลยว่าจันทราสีเงินจะมาเยือนด้วยตนเองในยามนี้!
เขาควรทำอย่างไรดี
ขอให้แดรกคูลารั้งตัวลูเซียน อีวานส์ ไว้ เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเหลือดานิซอสและร่วมมือกันต้านทานจันทราสีเงินงั้นหรือ ตราบใดที่พวกเขาสามารถหยุดยั้งนางไว้ได้สักสองสามนาที มันก็เพียงพอแล้วที่ ‘เจ้าแห่งจิต’ จะครอบครองร่างของจิตอาวุโสและสังหารผู้มีพลังชั้นตำนานคนอื่นๆ ทั้งหมด
ทว่า ดานิซอสต้องคมดาบแห่งต้นกำเนิดและโชคชะตาของจันทราสีเงินอย่างจัง หากไม่ตายก็พิกลพิการเป็นแน่ เขาจะยันจันทราสีเงินได้นานเพียงใดหลังจากได้รับความช่วยเหลือ หากกอนไฮล์มมัวแต่ต่อสู้พัวพันอยู่ที่นี่ เขาคงไม่มีทางหลบหนีไปได้อีกแล้ว!
เช่นนั้น เขาควรจะทิ้งโอกาสแล้วหนีไปบัดเดี๋ยวนี้ดีหรือไม่
ในฐานะปีศาจที่มีความคล้ายคลึงกับมาร กอนไฮล์มย่อมมีลักษณะนิสัยของมาร เขาชอบไตร่ตรองข้อดีกับข้อเสีย เมื่อใดที่มีภัยร้ายหรือเหตุจูงใจมากกว่า เขาย่อมละทิ้งหรือหักหลังผู้ร่วมแผนการได้โดยไม่ลังเล ส่วนเรื่องสัญญากับคำสาบานนั้น เขาย่อมเจ้าเล่ห์พอที่จะเปิดช่องโหว่ให้กับตนเองไว้เสมอ นอกจากนี้ ยังมีพยานรู้เห็นไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถการันตีสัญญาเช่นนั้นได้ เขาอาจไม่สูญเสียอะไรเลยก็ได้หากเขาเลือกที่จะหักหลัง
กอนไฮล์มครุ่นคิดช่างน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงกับสิ่งตอบแทนอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเขารู้ดีว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเขาก็ต้องตัดสินใจให้ไวว่าจะหนีหรือช่วยพันธมิตรดี
แต่ในตอนนั้นเอง เดวิดที่สลบไปเพราะพลังในการต่อสู้ของเหล่าผู้มีพลังชั้นตำนานอยู่เบื้องล่างหน้าต่างบานเล็กแคบ จู่ๆ ก็ลอยตัวขึ้น เส้นผมของเขากลายเป็นสีเงินดุจดวงจันทร์ ก่อนที่เขาจะส่งยิ้มให้เดโมกอร์กอนแห่งความมืด
เป็นไรห์น ผู้สังเกตการณ์!
กอนไฮล์มเห็นว่าใบหน้าของเดวิดแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าหล่อเหลาดูแปลกประหลาด ทั้งยังมีปีกค้างคาวขนาดมหึมาสองข้างกางออกจากแผ่นหลัง เขาก็คือเคานต์เนตรเงิน!
“เขาสลับตัวกับเดวิดตอนไหนกัน” กอนไฮล์มถามด้วยความเคร่งเครียด
เดวิดถือเป็นส่วนสำคัญของแผนการเขา ดังนั้น เขาจึงจัดการครอบงำชายหนุ่มไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่เขาหยุดให้ความสนใจอีกฝ่ายไปหลังจากที่นาทราวอสถูกสังหารและสั่งให้เขาทำหน้าที่ส่งสาร เขาไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง เดวิดจะกลายเป็นไรห์นเสียได้
ไรห์นแย้มยิ้มแต่ไม่พูดอันใด เขายกมือขวาขึ้น ราวกับกำลังควบคุมวงดนตรี พร้อมกันนั้น ดวงจันทร์สีเย็นเยียบลอยสูงก็ออกจากหน้าต่างบานเล็กแคบมาอยู่ด้านหลังของเขา
ครั้งนี้ แทนที่จะอัญเชิญจันทราสีเงินมา เขากลับสร้างดวงจันทร์ขึ้นด้วยพลังของตนเอง
‘พลังอำนาจของเขาก็รุดหน้าไปมากเช่นกัน…’ เดโมกอร์กอนแห่งความมืดตัดสินใจได้หลังจากที่เห็นเช่นนั้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะฝ่าผ่านไรห์นไปและหนีกลับไปยังมิติอเวจี
ด้วยเหตุนี้ ความมืดจึงมาเยือน แสงที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าลุกโชติช่วงอยู่ภายใน สร้างความเย็นชาที่ให้ความรู้สึกดั่งวันสิ้นโลก มันเป็นความมืดที่ทั้งโดดเดี่ยว ไร้ชีวิตชีวา และไร้อุณหภูมิใดๆ มันคือความมืดที่บริสุทธิ์และชวนให้สิ้นหวังอย่างที่สุด!
ไรห์นโบกมือขวา เสียงซิมโฟนีพลันดังกึกก้อง ดวงจันทร์ถล่มลงจากฟากฟ้าและร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิด ปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าอันไร้ขอบเขตออกมาจนสายตาทุกคนพร่าเลือน
ขณะที่กอนไฮล์มสู้กับไรห์น ลูเซียนก็มองเจ้าชายแดรกคูลาด้วยใบหน้ายิ้มๆ “ข้าจะมาที่นี่ทำไมหากข้าไม่ได้กลิ่นอายของจันทราสีเงิน”
แดรกคูลาทั้งริษยาและเกลียดชัง เหตุใดเขาจึงไม่ได้กลิ่นอายของบรรพชนแห่งยุคแรกทั้งๆ ที่มนุษย์นักเวทผู้นี้กลับได้กลิ่น
‘นี่ข้าทำอะไรพลาดไปงั้นหรือ’
ด้วยโทสะแก่กล้า ร่างของเขาพลันแตกสลายกลายเป็นค้างคาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินทะลักเข้าใส่ลูเซียน
ค้างคาวเหล่านั้นมีขนาดเท่าหัวกะโหลก และปากของพวกมันก็มีคมเขี้ยวแหลมดูกระหายเลือด พวกมันดูน่ากลัวชวนสยองอย่างยิ่ง
ด้วยรู้ดีว่าค้างคาวที่แดรกคูลากลายร่างนั้นสามารถดูดซับพลังงานได้โดยตรง ลูเซียนจึงไม่กระตุ้นใช้ ‘เวทธาตุอารักขา’ ทำเพียงกดนิ้วลงบนนาฬิกาจันทรากาล
นาฬิกาจันทรากาลยังเดินอยู่ในตอนที่ลูเซียนกดนิ้วลงไป จากนั้นมันก็พลันหยุดนิ่งหลังจากเกิดเสียงดังแกร๊ก ส่งผลให้สีสันรอบๆ จางหายไป และทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกปกคลุมด้วยสีเทาทึมไร้ชีวิตชีวา ค้างคาวเหล่านั้นกลายเป็นแมลงในอำพัน ถูกแช่แข็งค้างอยู่กลางอากาศ
ลูเซียนไม่ได้ร่ายคาถา ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ อย่างที่มักจะทำ เขากลับร่ายคาถา ‘เวทเพ่งพยาบาท’ ที่เสริมด้วย ‘เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ ตาข้างขวาของเขาพลันกลายเป็นแก้วสีใส สะท้อนความงดงามราวกับทับทิมก่อนที่ลำแสงจะพุ่งออกมา
ลูเซียนทำเช่นนี้ก็เพราะแดรกคูลานั้นเก่งกาจการใช้พลัง ‘ท่องราตรี’ เป็นพิเศษ และมีพลังต้านทานทั้งกาลและอวกาศ แม้ว่าเขาจะไม่มีภูมิคุ้มกัน ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ แต่การแสดงผลย่อมสลายหายไปเร็วกว่าปกติหลายวินาที
ฉับพลันนั้น ค้างคาวที่ถูกแช่แข็งก็ถูกเงากลืนกินและแตกสลายคาที่ ท่ามกลางความทึมเทาไร้ชีวิตชีวา เงาของนาฬิกาแดดที่สร้างขึ้นจากทองคำก็ปรากฏขึ้น ทุกตำแหน่งบอกเวลานั้นมีอันญมณีประเภทต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ และตรงกลางนั้นคือเสาทองคำที่สูงแต่แคบ
เงาของเสาทองคำหมุนวนอย่างรวดเร็วอยู่บนพื้นผิวด้านหน้าของนาฬิกาแดด แล้วกาลเวลากับอวกาศที่ถูกแช่แข็งก็พลันกลับสู่ปกติ แดรกคูลาในชุดสูทหางยาวสีดำกับเสื้อคลุมสีแดงดำปรากฏกายขึ้นอีกครา ในตอนนั้นเอง ‘เวทเพ่งพยาบาท’ ก็พุ่งมาถึงตัวเขาแล้ว
ใบหน้าของแดรกคูลาซีดเผือด และนัยน์ตาสีแดงโลหิตของเขาก็เปี่ยมล้นด้วยโทสะอันลึกล้ำ เขาปล่อยให้เวทเพ่งพยาบาทกระแทกโดนตัว
แต่ทันทีที่ ‘เวทเพ่งพยาบาท’ แตะโดนตัวเขา หมอกมืดมัวก็พลันพวยพุ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลำแดงสีแดงฉานก็หายลับไปในอากาศ
นั่นคือพลังของ ‘พรกำจัด’ งั้นหรือ
ลูเซียนค่อนข้างตกตะลึงทีเดียว แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าชายแดรกคูลาสามารถริบและขโมยพลังเหนือธรรมชาติของใครสักคนมาได้อย่างหนึ่ง เขาก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะขโมย ‘พรกำจัด’ มาด้วยเช่นกัน ส่วน ‘นาฬิกาแดด’ ที่ใช้ทำลายฤทธิ์ของ ‘เวทหยุดเวลา’ เมื่อครู่นี้ก็คงไม่ใช่ของวิเศษ แต่เป็นทักษะพิเศษ
แม้ว่าทักษะความสามารถที่ถูกขโมยมานั้นจะมีระดับต่ำกว่าพลังที่แท้จริงของเขา แต่มันก็จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าชายแดรกคูลาจะน่าหวาดกลัวเพียงใดยามที่ทักษะความสามารถทั้งหมดถูกนำมาใช้รวมกัน ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะอยู่ในสามอันดับแรกของบัญชีกวาดล้างมาโดยตลอด
ทว่าลูเซียนหาได้หวาดกลัวไม่ ขณะเผชิญหน้ากับเงาที่เจ้าชายแดรกคูลาแปลงกายเป็นนั้น เขาก็ยกมือทั้งสองขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“เปลวไฟนิรันดร์!”
‘ใช้เวทเปลวไฟนิรันดร์ในที่ปิดแบบนี้เลยรึ นี่เขาไม่กลัวว่าจะเป็นการสังหารตนเองเลยรึ’ กอนไฮล์มที่กำลังพยายามหลบหนี ตื่นตกใจอย่างที่สุด
เขารู้ดีว่าเวท ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ของดักลาสนั้น ยามใช้ออกอย่างเต็มกำลัง จะทรงพลังเทียบเท่าการโจมตีของมนุษย์ครึ่งเทพ ในเมื่อระดับพลังของลูเซียนมิได้ห่างไกลจากดักลาสเสียเท่าไหร่ในยามนี้ และเวท ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ก็มาจากชั้นตำนานของเขาเอง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับโลกแห่งปัญญาของเขาอย่างลึกซึ้ง เวท ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ของเขาจึงไม่อ่อนด้อยไปกว่าของดักลาสเลย เป็นไปได้ด้วยซ้ำว่ามันจะทรงพลังเทียบเท่าการโจมตีจากมนุษย์ครึ่งเทพตัวจริง!
แสงสว่างเจิดจ้าประดุจดวงอาทิตย์ดวงเล็กพลันระเบิดออก แต่มันกลับไม่ทรงพลังมากเท่าที่กอนไฮล์มนึกจินตนาการไว้
“ไม่!”
แดรกคูลากรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานภายใต้แสงแดดอันบริสุทธิ์ท่วมท้น เงาที่เขากลายร่างเป็นได้หายไปแล้ว และใบหน้าเขาก็ปรากฏรอยพุพองร้ายแรงขึ้นเต็มไปหมด!
หลังจากที่เขาเลื่อนขั้นขึ้นสู่ชั้นตำนานระดับสูงสุด การควบคุมเวท ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ของลูเซียนก็แม่นยำขึ้นอย่างยิ่ง เขาสามารถควบคุมพลังของมันได้อย่างจำเพาะเจาะจง เมื่อครู่นี้ เขาเพียงสร้าง ‘ปฏิกิริยาฟิวชั่น’ เล็กๆ ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากอุณหภูมิร้อนสูง ลำแสงของอนุภาคทั้งหลาย และความเสียหายจากแสงแดด ตราบใดที่ศัตรูมิได้อยู่ตรงกลางและมิได้สิ้นไร้พลังคุ้มกันกายเสียทั้งหมด แม้แต่ชั้นตำนานระดับสามก็ยังต้านทานมันได้ แต่ว่า แดรกคูลานั้นต่างออกไป ในฐานะแวมไพร์แห่งบรรพกาล เขาเกลียดชัง ‘แสงแดด’ ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด!
โฮกกกกกกก!
ดานิซอสคำรามด้วยความเสียใจ ไฟสีดำจากความว่างเปล่าบนดาบแห่งต้นกำเนิดและโชคชะตากลืนกินมันแล้ว เกิด ‘สัญลักษณ์’ มากมายขึ้นทีละตัวๆ บนร่างของมัน
ทันใดนั้น อัลเทอร์นาก็ดึงดาบยาวออก ไฟสีดำพลันพวยพุ่งออกมา เช่นเดียวกับความว่างเปล่า ทำให้หอคอยเวทมนตร์ ป่าอันโกลาหล และทั่วทั้งมิติพิเศษลุกไหม้!
บรรยากาศปั่นป่วนและโกลาหลของอเวจีหายไปแล้ว และดวงจันทร์สาดแสงเจิดจ้าก็ลอยเด่นอยู่กลางนภา ส่วนดานิซอสนั้นทิ้งกายลงคุดคู้อยู่ตรงปลายเท้าของอัลเทอร์นา
เดโมกอร์กอนแห่งความมืดฉวยโอกาสนี้ รับการโจมตีจากไรห์นครั้งหนึ่งอย่างจังและหลบหนีกลับไปยังมิติอเวจี
หลังจากมองเดโมกอร์กอนแห่งดวงตา ผู้ไต่สวนหกกร และผู้มีพลังชั้นตำนานคนอื่นด้วยวงตาสีแดงโลหิตของนาง อัลเทอร์นาก็ประกาศกร้าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ข้าคือประธานของพวกเจ้า”
‘หา?’
ผู้มีพลังชั้นตำนานทุกคนในที่นั่นต่างอึ้งงัน
……………………………………..