Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 799 นักทำลายโลกทัศน
“ผลกระทบจากผู้สังเกต!” ในขณะเดียวกันนั้นเอง ภายในพระราชวังเมเปิลขาว นครแอนทิฟเฟอร์ อดีตราชันย์แห่งสุริยา และปัจจุบันคือรูดอล์ฟที่สองแห่งจักรวรรดิ ผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์พลางก้าวพริบตามาอยู่หน้าจอภาพ แววตาของเขาดูลึกล้ำและตึงเครียด แต่ก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี
ในตอนนั้นเอง เขาดูราวกับจะเข้าใจถึงกุญแจสำคัญในการกลับไปเป็นมนุษย์ครึ่งเทพอีกครั้ง!
แม้ว่าการทดลองในตอนนี้จะไม่มีช่องเปิดคู่และสัญญาณเตือน ทั้งยังใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบมาอย่างใหม่เอี่ยม ซึ่งทำตามเป้าหมายในการบันทึกและลบได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่ก่อนนี้ ดักลาสกับลูเซียนได้สาธิตให้เห็นถึงความทัดเทียมกันของทั้งสองการทดลอง ตามที่ลูเซียนว่าไว้ การทดลองในตอนนี้ได้ตัดเอา ‘สิ่งรบกวน’ ที่ไม่จำเป็นหลายๆ อย่างออกไป ดังนั้น ‘ผลกระทบ’ เล็กๆ น้อยๆ จึงไม่เข้าไปบ่อนทำลาย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมการทดลองนี้ถึงทำได้หลังจากที่ดักลาสเลื่อนขึ้นสู่ระดับมนุษย์ครึ่งเทพแล้ว
ด้วยเหตุนี้ สิ่งมีชีวิตมากสติปัญญาทั้งหมดที่มีความรู้แม้เพียงน้อยนิด ต่างก็รู้สึกว่าร่างกายตนเองสั่นสะท้าน การสังเกตการณ์ของพวกเขาคือกุญแจที่ทำให้คุณสมบัติความเป็นคลื่นหายไปและทำให้คุณสมบัติความเป็นอนุภาคปรากฏขึ้นอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้น โลกใบนี้ยังเป็นรูปธรรมและจริงแท้อยู่หรือไม่
นี่ก็คือผลกระทบจากผู้สังเกตที่ลูเซียน อีวานส์ เคยนำเสนอใช่หรือไม่
ที่หน้าโต๊ะทดลอง มือที่ยกค้างไว้ของดักลาสสั่นเทาชัดเจน เห็นได้ชัดว่าตัวเขาพบว่าผลลัพธ์เป็นที่ยอมรับไม่ได้ ทว่า เขาคือผู้ออกแบบและทำการทดลองทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยไม่หลงลืมหรือได้รับอิทธิพลแต่อย่างใด ผลที่ออกมานั้นจึงป็นความจริงและเชื่อถือได้
ลูเซียนเสนอการทดลองทางความคิดในตอนต้นก็เพื่อพิสูจน์ผลกระทบจากผู้สังเกต!
แม้ว่าเหตุผลอื่นๆ นอกเหนือไปจากผลกระทบจากผู้สังเกตจะยังตัดทิ้งไปไม่ได้ จอมเวททุกคนกลับถูกบีบบังคับให้คิดถึงความน่าจะเป็นที่ว่าผลกระทบจากผู้สังเกตนั้นมีอยู่จริง อย่างน้อยที่สุด จนกว่าพวกเขาจะค้นพบคำอธิบายเชิงทฤษฎีแบบอื่น พวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามผลกระทบจากผู้สังเกตได้อีกต่อไป!
ดักลาสบังคับมือที่ดูคล้ายกับจะสลายตัวให้กลับมาเสถียรแล้วทำการทดลองซ้ำ แต่ริ้วของการแทรกสอดที่ถูกแปลงสภาพก็ยังคงชัดเจนเหมือนก่อนหน้านี้
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…หลังจากทำอีกเป็นครั้งที่ห้า ดักลาสก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวด้วยเสียงเคร่งเครียดแผ่วเบา “ความสามารถในการทำซ้ำบ่งชี้ว่าผลการทดลองถูกต้องเชื่อถือได้ หลังจากวันนี้เป็นต้นไป จอมเวททุกคนสามารถลงชื่อเพื่อทำการทดลองกับเครื่องมือเหล่านี้ด้วยตนเองได้”
ภายในห้องชุดพลันเงียบงัน ซาแมนธา หลุยส์ และสมาชิกสภาสูงสุดบางคนยังคงสับสน เหลือเชื่อ และมีอาการต่อต้าน บรูก เฟอร์นันโด แฮทธาเวย์ เฮลเลน โอลิเวอร์ และนักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ ต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด หลังจากที่ตกตะลึงอึ้งงันไป พวกเขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงคำอธิบายอื่นๆ นอกเหนือจากผลกระทบจากผู้สังเกต
ภายในสถาบันอะตอม แอนนิคส่ายศีรษะแรงๆ และเดินกลับไปกลับมา มินำพาว่าตนจะกำลังเดินอยู่บนเศษแก้ว ปากเขาอ้าๆ หุบๆ อยู่ตลอด เหมือนอยากจะเสนอแนะเหตุผลอื่น ส่วนสปรินต์นิ่งงันไปแล้ว มิมีผู้ใดบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ผลกระทบจากผู้สังเกต…ผลกระทบจากผู้สังเกตมีอยู่จริงหรือนี่” ไฮดี้พึมพำออกมา
การทดลองนี้ถูกออกแบบมาเพื่อพิสูจน์ยืนยันผลกระทบจากผู้สังเกต และผลลัพธ์ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามันใช้การได้
ภายในโรงเรียนสายสามัญ อาลีหันไปมองสหายร่วมชั้นและเอ่ยถามทั้งสหายและตนเอง “มันเป็นไปไม่ได้ หากว่าความเข้าใจของเราคือเหตุผลของทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วโลกเราจะยังเป็นรูปธรรมและแท้จริงอยู่หรือไม่ นี่มันไม่สอดคล้องกับอาร์คานาเลยสักนิด…”
การเปรียบเทียบทั้งสองการทดลองได้เผยบทสรุปที่น่าหวาดหวั่น
“อย่างน้อยที่สุด มันก็เกิดจากการสังเกตของเราเอง มิใช่ของพระเจ้า โชคชะตายังคงอยู่ในมือเรา” หัวหน้าห้องชาร์ล็อตตอบออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว
“อืม…เอ่อ…” นักเรียนที่อยู่ข้างๆ เขา ต่างสับสนท่วมท้นเสียจนรู้สึกว่าอาร์คานาที่พวกเขาได้เรียนรู้นั้นได้ถูกโค่นล้มไปโดยสิ้นเชิง แล้วอะไรกันที่ถูกต้อง
บนจอถ่ายทอดสด ดักลาสหาได้มีท่าทีเคร่งเครียดดั่งก่อนหน้านี้แล้วไม่ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลระคนเคร่งขรึม “การทดลองยางลบควอนตัมจบลงแล้ว ต่อไป เราจะทำการทดลองที่สองหรือก็คือการทดลองสุดท้าย ซึ่งเป็นทดลองทางเลือกล่าช้าของลูเซียน เราจะปรับเปลี่ยนการทดลองช่องเปิดคู่ต้นฉบับอีกครั้ง เพื่อที่จะขับเน้นผลลัพธ์ได้ดีขึ้น”
เขาแทนที่การทดลองช่องเปิดคู่ด้วยการทดลองอีกรูปแบบหนึ่งแล้วเริ่มสาธิตให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ทัดเทียมกัน
“การทดลองช่องเปิดคู่ก่อนหน้านี้ทำให้เราได้รู้ว่า หากเราเลือกคุณสมบัติความเป็นคลื่นและออกแบบการทดลองให้เป็นไปตามนั้น ท้ายที่สุด เราก็จะได้เห็นลวดลายการเลี้ยวเบนของภาพ แต่หากเราอยากจะเห็นคุณสมบัติความเป็นอนุภาคและติดตั้งสัญญาณเตือนเข้าไป มันก็แสดงให้เห็นเพียงจุดแสงที่ปรากฏขึ้นซ้อนทับกันอยู่บนจอ”
“ในกรณีเช่นนี้ ทางเลือกของเราและการจัดเตรียมที่เกี่ยวข้องจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่าง”
ดักลาสรอบคอบมากพอที่จะไม่พูดถึงผลกระทบจากผู้สังเกต กลับพูดว่า ‘ทางเลือก’ และ ‘การจัดเตรียมที่เกี่ยวข้อง’
เหล่าจอมเวทที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่นั้นพากันพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ว่าคำอธิบายเชิงทฤษฎีจะเป็นอย่างไรก็ช่าง สิ่งที่ท่านประธานเพิ่งจะสาธยายไปนั้นคือข้อเท็จจริงของการทดลองนี้ เรื่องนั้นไม่มีทางผิดแน่
ดักลาสพูดต่อ “จะเป็นอย่างไรหากเราหน่วงทางเลือกให้ช้าลง ในการทดลองก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าอิเล็กตรอนจะเคลื่อนผ่านช่องเปิดทั้งสองช่องและสองเส้นทาง จึงก่อให้เกิดการทับซ้อนกันเอง ยามที่พวกมันมีพฤติกรรมของคลื่น และยามที่มีพฤติกรรมของอนุภาค พวกมันจะต้องเคลื่อนผ่านเพียงช่องทางเดียวอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากเราตัดสินใจเลือกหลังจากที่อิเล็กตรอนเลือกเส้นทางแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงจอแสดงผล เราจะได้เห็นอิเล็กตรอนเคลื่อนออกมาจากสองเส้นทางหรือเพียงเส้นทางเดียว”
เป็นเพราะการทดลองช่องเปิดคู่ถูกปรับเปลี่ยนไป ดักลาสจึงใช้คำว่าเส้นทางแทนช่องเปิดเพื่อกล่าวถึงกระบวนการในระหว่างนั้น
“ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใด เส้นทางของอิเล็กตรอนก็ถูกกำหนดไว้ก่อนหน้าทางเลือกแล้ว และมันไม่มีทางเปลี่ยน…” คนธรรมดาๆ อย่างอาลีเพิ่งจะฟื้นตัวจากอาการตกตะลึงเพราะการทดลองยางลบควอนตัมเมื่อครู่นี้ พวกเขาเริ่มสันนิษฐานด้วยความรู้ทางอาร์คานาอันตื้นเขินว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
แอนนิคสะบัดหน้าเพื่อสลัดตนเองให้หลุดจากคำอธิบายอื่นๆ เกี่ยวกับการทดลองยางลบควอนตัม แล้วเพ่งสมาธิไปที่การทดลองตรงหน้า
การทดลองใหม่ที่อาจารย์ของเขาเป็นผู้นำเสนอก็เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากผู้สังเกตเช่นกัน แต่แอนนิคไม่คิดว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเข้าทางข้อสันนิษฐานผู้สังเกต อย่างไรเสีย ไม่ว่าอิเล็กตรอนจะมุ่งหน้าไปยังสองหรือหนึ่งเส้นทาง มันก็ถูกกำหนดไว้ก่อนทางเลือกแล้ว ‘การสังเกต’ จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ใช่หรือไม่
พระสันตะปาปาไวเค็นในนครศักดิ์สิทธิ์สะกดข่มความยินดีปรีดาลงไปแล้วเฝ้ามองดักลาสเตรียมการทดลองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
‘การทดลองนี้พยายามจะพิสูจน์อะไรกัน’
เขาไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นอีกหลังจากมีเรื่องน่าตื่นตะลึงอย่างใหญ่หลวงเมื่อครู่ก่อน การทดลองรอบใหม่ดูจะเป็นเหมือนการทำเพื่อยืนยันว่าข้อสันนิษฐานอันบ้าระห่ำนั้นเป็นเรื่องผิด
รูดอล์ฟที่สองนั่งอยู่บนบัลลังก์ภายในพระราชวังเมเปิลขาวและรับชมการทดลองอยู่เงียบๆ แต่ไม่ทราบอย่างไรเขาจึงรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเลย
สมาชิกสภาสูงสุดที่อยู่ในห้องชุดกับซาแมนธา หลุยส์ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ต่างมีท่าทีมึนงงเล็กน้อย นี่ลูเซียน อีวานส์ พยายามจะพิสูจน์ว่าการสังเกตการณ์ ณ เวลาปัจจุบัน สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้เช่นนั้นหรือ มันเป็นความคิดที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าการย้อนคืนเวลาเสียอีก!
อดีตถูกกำหนดไว้แล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรกัน
ดักลาสเปิดใช้งานอุปกรณ์การทดลอง เครื่องตรวจจับส่งสัญญาณออกมา บ่งชี้ว่าอิเล็กตรอนเคลื่อนผ่านไปบนเส้นทางหนึ่ง
เขาทำการทดลองซ้ำไปซ้ำมา พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอิเล็กตรอนแทรกสอดผ่านเพียงเส้นทางเดียวหลังเริ่ขั้นตอนเบื้องต้น
ฉับพลันนั้น เมื่ออิเล็กตรอนเสร็จสิ้นขั้นตอนเบื้องต้นแต่ยังไปไม่ถึงเครื่องตรวจวัด ดักลาสก็รีบเพิ่มอุปกรณ์สำหรับการทดลองตัวใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเลือกคุณสมบัติความเป็นคลื่นเข้าไป
ในตอนนั้นเอง เครื่องตรวจวัดที่อยู่อีกทิศทางหนึ่ง กับเครื่องตรวจวัดที่ใช้การในตอนนี้ ต่างก็ส่งเสียงดังปิ๊บๆ พร้อมกันอย่างไม่หยุดยั้ง
ใบหน้าดักลาสพลันซีดเผือด เพราะเขารู้ดีว่านี่มันหมายความอย่างไร!
มันหมายความว่า หลังจากที่เขาตัดสินใจเลือก อิเล็กตรอนที่ตอนแรกเคลื่อนไปตามเส้นทางเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย กลับกลายเป็นสองเส้นทาง อดีตถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว!
‘การสังเกตการณ์’ ของพวกเขาเปลี่ยนแปลงอดีตของอิเล็กตรอนไปแล้ว!
ตึกๆๆ
ซาแมนธาก้าวถอยร่นไปจนหลังแนบกับผนัง สีหน้าของนางดูสิ้นหวัง และดวงตาที่เบิกโพลงก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆ นี่มันหมายความว่ากฎของเหตุและผลที่แสนเข้มงวดใช้การกับห้วงเวลาไม่ได้อย่างนั้นน่ะหรือ สาเหตุเกิดขึ้นหลังผลลัพธ์ได้หรือ ปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้อย่างนั้นรึ
ตุบๆ แกร๊กๆ
สมุดจดและปากกาขนนกในมือสมาชิกสภาสูงสุดส่วนใหญ่ร่วงลงกับพื้น ความเย็นยะเยียบชวนสั่นสะท้านจากก้นบึ้งดวงวิญญาณทำให้พวกเขาไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้ มันน่าเหลือเชื่อและมหัศจรรย์เสียยิ่งกว่าเวทมนตร์!
ในเวลานี้ กระทั่งมหาจอมเวทอย่างบรูกและเฟอร์นันโดยังมึนงงเล็กน้อย มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ทางเลือก ณ ปัจจุบันเป็นตัวตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเช่นนั้นหรือ
เสียงข้าวของแตกหักดังก้องไปทั่วหอคอยอัลลินอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครกล่าวอันใด ดุจดั่งเมืองแห่งความเงียบ
ย่อมไม่มีจอมเวทคนใดที่ไม่รู้อึดอัดท่วมท้นกับการทดลองพรรค์นี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าโลกกำลังพังทลายลงและทุกอย่างก็เป็นเพียงภาพมายา!
หลายๆ คนถูศีรษะตนเองอย่างแรงจนแทบจะอยากขย้ำมันทิ้งเสีย จะได้ไม่เจ็บปวดและสิ้นหวังถึงเพียงนี้ หากมิใช่เพราะความจริงที่ว่ามันหาได้เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่างๆ ภายในโลกแห่งปัญญาของพวกเขา ป่านฉะนี้ บนพื้นคงเต็มไปด้วยซากศพ แอ่งเลือด และเศษสมองกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่งแล้ว จอมเวทที่มีอยู่สูงกว่าระดับกลางจำนวนน้อยนักที่จะมีชีวิตรอดจากมัน
ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความเชื่อที่พังทลายลง รู้สึกว่าตนเองไม่รู้จักโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว ในสายตาพวกเขาไม่หลงเหลือสีสันใดนอกจากสีเทาทึม
เหล่านักเรียนที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ เช่น อาลีและลองแมน ยิ่งพบว่ามันเป็นเรื่องที่มิอาจยอมรับได้ มันช่างตรงกันข้ามกับสามัญสำนึกและสัญชาตญาณทางธรรมชาติของพวกเขา!
มิมีใครสามารถพูดอะไรออกมาได้ขณะเฝ้ามองดักลาสทำการทดลองซ้ำ
Boom!
ตูม!
พระราชวังเมเปิลขาวภายในนครแอนทิฟเฟอร์บังเกิดเสียงระเบิดรุนแรง มันรุนแรงเสียจนพระราชวังแสนโอ่อ่างดงามถูกทำลายลงจนเหลือเพียงซาก รูดอล์ฟที่สองที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล พึมพำกับตนเองราวกับคนเสียสติ “นิยัตินิยม กฎของเหตุและผล…นิยัตินิยม กฎของเหตุและผล…”
เขาหาได้สงบลงจนกระทั่งล่วงเลยมาเป็นเวลานาน แต่เขารู้ดีว่าตนคงทำได้เพียงพึ่งพาปาฏิหาริย์ หรือ ‘หุบเขาวิมาน’ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของไวเค็น เพื่อจะกลับไปสู่ระดับมนุษย์ครึ่งเทพ เพราะโลกทัศน์ของเขาถูกทำลายสิ้น
ธานอส อัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุดในยุคของจักรวรรดิเวทมนตร์และเป็นผู้มีพลังชั้นสูงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ค้นพบเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ‘นักทำลายโลกทัศน์’ หมายความว่าอย่างไร!
ภายในนครศักดิ์สิทธิ์ ไวเค็นเองก็นิ่งอึ้งและรู้สึกท่วมท้นพอๆ กันในทีแรก แต่แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งออกมา “ผู้สังเกตการณ์ กฎของเหตุและผลในเรื่องการย้อนคืนเวลา และปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอดีต ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าเข้าใจมันแล้ว!
……………………………..