Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 8 เมืองอัลโต้
เมื่อเปิดบันทึกเวทมนตร์ แต่ละบรรทัดนั้นเต็มไปด้วยอักขระแปลกประหลาด ซึ่งไม่ใช่ตัวอักษรที่ลูเซียนรู้จักก่อนจะทะลุมิติมาเลย และเจ้าของร่างในโลกนี้ก็เป็นเด็กจนๆ คนหนึ่ง เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่เคยเรียนรู้เลยสักคำ การพูดและเข้าใจภาษาของโลกนี้ได้ตามสัญชาตญาณโดยไม่ส่งผลอะไรต่อการสื่อสารถือว่าเป็นเรื่องโชคดีที่สุดหากนับจากความยากลำบากทั้งหมดของลูเซียนแล้ว
ดังนั้น ลูเซียนที่ตอนนี้กลายเป็นคนไร้การศึกษาอย่างแท้จริงและน่าเศร้าใจ จึงทำได้เพียงต้องมองอักขระบนหนังสือเวทและไม่เข้าใจอะไรแม้แต่คำเดียว
ลูเซียนยิ้มหยัน ‘ความรู้สึกของการไม่รู้หนังสือนี่มันน่าอึดอัดจริงๆ’
แม้ว่าวันนี้จะผ่านไปด้วยดี แต่เขาก็ต้องพบเจอกับอะไรมากมาย ทำให้ลูเซียนเติบโตขึ้นและใจเย็นลงกว่าแต่ก่อน แม้ก่อนหน้าที่เขาจะเปิดบันทึกเวทมนตร์อ่าน เขาจะยังกังวลเรื่องภัยคุกคามจากศาสนจักรและลังเลที่จะเรียนเวทมนตร์ แต่ตอนนี้ ความผิดหวังใหญ่หลวงกลับเป็นเหมือนกำปั้นที่ชกลูเซียนจนสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณ ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยยุคใหม่ผู้มีอุดมการณ์ หลักศีลธรรม มีวัฒนธรรมและได้รับการสอนสั่งมาอย่างดี ความรู้สึกของการไม่รู้หนังสือทำให้เขารู้สึกแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเนื้อหานี้ยังเกี่ยวพันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติมากกว่าพลังของมนุษย์อีกด้วย
เขาไม่ได้ลังเลอะไรมากนัก เพียงสงบใจให้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ลูเซียนก็ตัดสินใจแน่วแน่ ‘สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเรียนรู้ภาษาของโลกนี้!’
แม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ได้เลือกเรียนเวทมนตร์ เขาก็ยังต้องกำจัดเงื่อนไขในการใช้ชีวิตและหลุดพ้นจากความจนอยู่ดี การเรียนภาษาและหาความรู้ยังคงเป็นเส้นทางที่น่าปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูเซียนไม่มีพละกำลัง ร่างกายที่แข็งแรง และทักษะการใช้ดาบเลย มันแทบไม่มีทางเลยที่เขาจะหนีไปจากสถานะปัจจุบันนี้ได้ด้วยการออกรบ ออกไปผจญภัย หรือเป็นอันธพาล
ด้วยความคิดและการตัดสินใจนั้น ลูเซียนรีบปัดความผิดหวังของเขาทิ้งไป แล้วเติมแรงใจลงไปเล็กน้อย ก่อนจะมองเนื้อหาในบันทึกเวทมนตร์ต่อเพื่อดูว่ามันยังมีความลับอะไรซ่อนไว้หรือไม่ อย่างเช่นแผนที่ขุมทรัพย์อะไรแบบนั้น
เมื่อมองพิจารณานานเข้า ลูเซียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาเห็นหลายอย่างในบันทึกเวทมนตร์ที่คุ้นตา เช่น รูปทรงเรขาคณิต และลวดลายแปลกๆ ที่เกิดจากเส้นหลายๆ เส้น
‘รูปแบบวงแหวนเวทหรือว่าสัญลักษณ์เวทมนตร์กันนะ’ เขาเดาโดยยึดจากสิ่งที่เห็นจาก ‘เหรียญตรานักบุญแห่งความจริง’ จากนั้นเขาก็รีบพลิกไปหน้าหลังๆ ของบันทึกเวทมนตร์ แล้วก็ได้พบกับสูตรมากมายหน้าตาคล้ายสมการทางเคมี เว้นแต่ว่ามันไม่มีสัญลักษณ์ในสูตรเหล่านี้ กลับเป็นข้อความ ‘สมการเวทมนตร์หรือเปล่า หรือว่าสูตรน้ำยากันนะ’
ความคล้ายคลึงทั้งสองอย่างนี้ทำให้ลูเซียนรู้สึกสงสัย แต่เขาไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว จึงทำได้เพียงสงสัยเท่านั้น
หลังจากสำรวจบันทึกเล่มแรกครบทุกหน้าแล้ว ลูเซียนจึงเปิดอีกเล่มหนึ่ง ในเล่มนี้ ข้อความดูบิดเบี้ยวกว่าเดิมและตัวหนังสือก็คล้ายกับลวดลายมากกว่า
‘ไม่ใช่ตัวอักษรแบบเดียวกันงั้นเหรอ’ ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงเปิดหนังสือเล่มที่สามด้วยความอยากรู้อยากเห็น เล่มนี้มีรูปวาดพรรณพืช แร่ธาตุ และสัตว์ประหลาดเอาไว้บางส่วน จนดูคล้ายหนังสือประเภท ‘หนังสือภาพ’ เพียงแต่ตัวอักษรในเล่มนี้เป็นแบบเดียวกันกับบันทึกเวทมนตร์เล่มที่สอง
‘ภาษาที่ฉันรู้เหมือนจะมีแค่ในบันทึกเวทมนตร์เล่มแรก’ ลูเซียนเดาว่ามันคงใช้ได้ง่าย เมื่อดูจากความง่ายดายในการเขียนแล้ว
หลังจากอ่านบันทึกเวทมนตร์ทั้งสามเล่มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อไม่พบอะไรเพิ่มเติม ลูเซียนจึงทิ้งตัวลงนอนแล้วบังคับตัวเองให้หลับ
ลูเซียนปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในชีวิต เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เขาจะต้องทำงานหนักเพื่อตัวเอง ถ้าคนเรานอนไม่พอจนร่างกายอ่อนแอ ก็ไม่มีทางที่จะมีวันถัดไปที่ดีกว่าและคว้าโอกาสมาได้
แม้ว่าเวทรักษาของเบนจามินจะรักษาบาดแผลของลูเซียนจนหายดี แต่หลังจากต้องฟันฝ่าการต่อสู้แสนดุเดือด ลูเซียนจึงอ่อนล้าทั้งใจกาย และผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ภายในท่อน้ำเสีย ห้องลับของแม่มดถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
ในตอนนั้นเอง หนูสีดำตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นโดยไม่อาจทราบที่มา ดวงตาของมันแดงฉาน ไร้อารมณ์ และแปลกประหลาด
…
เช้าตรู่วันต่อมา เสียงผู้คนพูดคุย และเสียงถังตักน้ำกระทบกันค่อยๆ ดังแทรกผ่านอากาศเย็นเยียบยามราตรีของเขตอาเดรอน ปลุกลูเซียนขึ้นมาพบกับความมีชีวิตชีวาและพลังงานอันล้นเหลือ
ปกติแล้วลูเซียนมักพลิกตัวไปมาเป็นเวลานานกว่าจะยอมตื่น แต่วันนี้เขากลับบังคับตัวเองให้ลุกออกจากเตียงทันทีที่ตื่น ตรงไปจุดเตาไฟ ต้มน้ำให้เดือดและอบขนมปังสีดำก้อนสุดท้าย
ขณะกล้ำกลืนฝืนกินขนมปังรสชาติเหมือนเศษไม้ ลูเซียนก็วางแผนถึงสิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้
เวลาไม่หิว ถ้าหากไม่คิดถึงเรื่องอื่น ลูเซียนคงไม่มีทางกลืนขนมปังสีเข้มนี้ลงท้องได้แน่ๆ
‘ต้องลองไปหาดูว่าจะเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรและพื้นฐานอื่นๆ ได้จากที่ไหน อีกอย่าง ฉันจะต้องหางานทำ ไม่อย่างนั้นคงหิวตายอยู่ในบ้านก่อนจะได้เรียนภาษา’ ลูเซียนรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกนี้ไม่มาก จึงวางแผนง่ายๆ ว่า ‘คงเป็นการดีกว่าถ้าฉันจะไม่ไปเจอคนคุ้นเคย ไม่งั้นฉันอาจทำให้คนอื่นสงสัยเอาได้ว่าฉันไม่ใช่ลูเซียนตัวจริง’
หลังจากล้างปากด้วยน้ำจากเหยือก ลูเซียนก็ไปเอาเหรียญเจ็ดเหรียญจากลังไม้มาเก็บไว้กับตัว แม้มีไม่มาก แต่เขาก็รู้สึกอุ่นใจ
เขาลงกลอนประตู แล้วเดินตรงไปยังบ้านที่อะลิซ่าอาศัยอยู่ ในเมื่อเขาไม่รู้จักถนนหนทางในเมืองแห่งบทสวดนี้ เขาจึงต้องถามใครสักคน
“สวัสดี ลูเซียน” หญิงสาวผมสีเข้มทักทายลูเซียนด้วยความสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง
ลูเซียนไม่รู้ว่านางคือผู้ใด จึงทำได้เพียงส่งยิ้มและตอบว่า “ไง ข้ามีธุระต้องรีบไปบ้านท่านน้าอะลิซ่าน่ะ” แล้วเขาก็เดินผ่านหญิงสาวคนนั้นไปอย่างเร่งรีบ
“ไงลูเซียน วิญญาณที่เจ้าเจอมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรหรือ”
“ลูเซียน ได้ใช้มนตราศักดิ์สิทธิ์แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ข้าเห็นอัศวินผู้หนึ่งสูญเสียมือขวาไป เมื่อคืนอันตรายมากใช่ไหม”
อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงบ้านอะลิซ่าแล้ว แต่ลูเซียนกลับต้องเจอคำถามมากมายจากเหล่าเพื่อนบ้าน เพียงข้ามคืน ดูเหมือนว่าลูเซียนจะกลายเป็นคนดังของเขตอาเดรอนไปเสียแล้ว
ทว่าลูเซียนไม่รู้จักผู้ใดเลย จึงทำได้เพียงส่งยิ้มและตรงไปที่บ้านอะลิซ่าอันเป็นจุดหมายปลายทาง
ก่อนที่ลูเซียนจะไปถึงประตู เขาก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังออกมา “อีวานส์น้อย อรุณสวัสดิ์”
ลูเซียนรู้สึกโล่งอก “อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านลุงโจเอล”
วันนี้โจเอลแต่งกายประณีตดูดี ถือฮาร์ปคลาสสิกอยู่ในมือ “เจ้ากินมื้อเช้ามาหรือยัง เจ้าดูแข็งแรงดีแล้วนี่ แต่ไม่ต้องรีบร้อนหางานทำหรอกนะ น้าอะลิซ่าของเจ้าไม่ว่าอะไรหากเจ้าจะมากินที่นี่ทุกมื้อ”
ลูเซียนตั้งใจจะมาถามเรื่องที่ทาง เขาจึงเตรียมคำพูดมาแล้ว แต่พอโจเอลเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ก่อน เขาจึงรู้สึกโล่งอกกว่าเดิม “ขอบคุณขอรับท่านลุงโจเอล ข้ากินมาแล้ว และเมื่อวานข้าได้รับการรักษาด้วยมนตราศักดิ์สิทธิ์จากท่านลอร์ดเบนจามิน ข้าจึงสบายดีทุกประการ ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนอีก”
โจเอลพยักหน้าแล้วออกเดินเคียงข้างลูเซียนไป “ข้าโล่งอกยิ่งนักที่เจ้าได้รับการรักษาจากท่านบาทหลวง อีกสักครู่เจ้าลองไปที่ร้านมงกุฎทองแดง ถามหาเจ้าของร้านที่ชื่อโคเฮ็น เขายังติดค้างไวน์น้ำข้าวกับข้าขวดหนึ่ง เขาจะแนะนำงานดีๆ ให้เจ้า”
ลูเซียนกล่าวขอบคุณและกำลังจะผละจากไป แต่โจเอลที่มักอมยิ้มอยู่เสมอกลับหันมามองเขาด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อีวานส์น้อย เจ้าอายุสิบเจ็ดปีแล้วนะ และเจ้าก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เจ้าควรจะเริ่มคิดเรื่องอนาคตของตัวเองได้แล้วนะ”
“ท่านลุงโจเอล ความหมายของท่านคือ?” ลูเซียนถามเพื่อความชัดเจน
โจเอลถอนหายใจ “หากทำงานใช้แรงต่อไป หลังจากอายุ 40 ร่างกายก็จะแก่ชราลงอย่างรวดเร็วและคงจะหางานอื่นทำได้ยาก หากไม่มีเงินเก็บ ไม่มีบุตรหรือบุตรีดีๆ ภายในไม่กี่ปีก็ย่อมตายจากความยากจนและโรคภัย ลุงโจเอลของเจ้าเคยเห็นคนแบบนั้นมามากมาย มีเพียงไม่กี่คนที่มีชีวิตยืนยาวเกิน 45 ปี เจ้ายังหนุ่มแน่นพอจะเรียนรู้ทักษะอะไรสักอย่างได้ แม้ว่าสัญญาการเป็นลูกมือฝึกหัดจะยาวนานถึงสิบปี แต่ถ้าเจ้าเรียนรู้ได้ดี เจ้าย่อมดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่ดีในอนาคต”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน พวกเขาก็เดินผ่านประตูที่มียามรักษาการณ์ยืนเฝ้าอยู่สองคน สายตาลูเซียนพลันเปล่งประกาย เบื้องหน้าเขาคือถนนกว้างใหญ่สะอาดสะอ้าน ร้านค้าทั้งสองฝั่งถนนที่มีคนอุ่นหนาฝาคั่ง และผู้คนที่เดินผ่านไปมา พวกเขาสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส การออกแบบดูแตกต่างหลากหลาย บางคนสวมชุดกระโปรงยาวก็มี และมักจะเป็นเสื้อผ้าหรูหราละลานตา พวกชนชั้นสูงต่างสวมเพชรพลอยประดับประดา แม้แต่อากาศก็คล้ายกับมีคลื่นแห่งเสียงเพลงแสนมหัศจรรย์ และดูเหมือนโลกคนละใบกับเขตอาเดรอน
“ขอบคุณขอรับท่านลุงโจเอล” ลูเซียนสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แท้จริงจากโจเอล
โจเอลชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดติดตลกอีกครั้ง “อีกอย่างนะ บางครั้งอาจารย์ก็อาจมีลูกสาวคนเดียว ใครจะไปรู้ บางทีเจ้าอาจได้เลื่อนขั้นจากลูกมือฝึกหัดเป็นว่าที่เจ้าของร้านโดยตรงเลยก็ได้ อีวานส์น้อยของเราหน้าตาดีออกเพียงนี้”
โจเอลล้อเลียนเขา ลูเซียนทำได้เพียงยิ้มตอบอย่างเก้อเขิน
ขณะพูดคุยกัน อยู่ๆ โจเอลก็หยุดนิ่ง แล้วเดินไปตรงมุมหนึ่งของถนน วางหมวกที่เตรียมมาลงบนพื้นแล้วนั่งลง เตรียมจะเล่นฮาร์ป
‘ท่านลุงโจเอลคือศิลปินข้างถนนงั้นหรือ’ ลูเซียนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อค้นพบเรื่องนี้
โจเอลชี้ไปทางตึกทรงบาโรกดูหรูหราอลังการที่มองเห็นไกลๆ แล้วแย้มยิ้ม “เจ้าสามารถมองเห็นหอประชุมบทสวดได้จากตรงนี้ สำหรับข้าแล้ว การเล่นอยู่ตรงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนข้าได้เข้าไปเล่นในหอประชุมจริงๆ”
ก่อนที่ลูเซียนจะได้ตอบอะไร โจเอลก็พึมพำต่อไปราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ เขายังคงชี้ไปทางหอประชุมบทสวดขณะกล่าว “เมื่อ 400 กว่าปีก่อน ศาสนจักรได้ชี้นำให้จักรวรรดิเฮิร์ซศักดิ์สิทธิ์ย้ายถิ่นฐานมาทางทิศตะวันตก ยึดครองเมืองอัลโต้ เมืองหลวงแห่งสุดท้ายของจักวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาส และขับไล่ปีศาจร้ายกับสัตว์เวทไปยังบริเวณเทือกเขาไร้แสง นับแต่นั้นมา เมืองอัลโต้ก็กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่โด่งดังที่สุดจากทั่วทั้งทวีป”
“และเมื่อ 300 ปีก่อน พระสันตะปาปาชาร์ลส์ที่หนึ่ง ผู้ที่ยังคงเป็นพระคาร์ดินัลแห่งเมืองอัลโต้ในตอนนั้น คือผู้ดูแลจัดการการจัดสรรเพลงสวดและหนังสือรวมบทเพลงในอดีตทั้งหมด ทั้งยังเป็นผู้ที่ตั้งกฎเกณฑ์มาตรฐานสำหรับเพลงสวดและการขับร้อง หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นพระสันตะปาปา พระองค์ก็ได้สนับสนุนให้ทุกๆ โบสถ์ใช้เพลงประสานเสียงและบทสวดชาร์ลีอย่างเป็นทางการ เมืองอัลโต้จึงได้รับสมยานามว่าเมืองแห่งบทสวด”
“เพราะเราอยู่ใกล้เทือกเขาไร้แสง จึงมีบ่อยครั้งที่พวกเอล์ฟ คนแคระ และคนหัวสุนัขเปลี่ยนความเชื่อและเข้ามาเป็นสมาชิกในเขตการปกครองของเรา การเป็นชุมทางของดนตรีหลากหลายรูปแบบทำให้เมืองอัลโต้เป็นเมืองหลวงแห่งดนตรีของทวีป และดนตรีประสาน[1]ก็เกิดขึ้นที่นี่ ตามมาด้วยการก่อตั้งวงซิมโฟนีอย่างเป็นทางการ การคิดค้นเครื่องดนตรี เช่น ไวโอลินเกซู นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ล้วนสลักชื่อของพวกเขาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”
“สำหรับกวีขับลำนำทุกคน นักดนตรีทุกคน และศิลปินทุกคน การได้เล่นเพลงของตนในหอประชุมบทสวดถือเป็นเกียรติสูงสุด”
“ลุงโจเอลของเจ้า แม้จะเข้าไปเล่นในนั้นไม่ได้ ข้าก็ยังมีความสุขที่ได้เล่นอยู่ใกล้ๆ”
…
หลังจากบอกลาโจเอล ลูเซียนก็ถามถึงเส้นทาง ระหว่างที่เขาเดินชื่นชมเมืองอัลโต้อยู่นั้น เขาก็เพลิดเพลินไปกับเสียงจากกวีขับลำนำมากมายที่เล่นเครื่องดนตรีและทำการแสดงอยู่ทั่วทุกมุมถนน บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงเพลงและเสียงเปียโนดังมาจากในร้านและอาคารบ้านเรือน เมืองทั้งเมืองคล้ายกับถูกปกคลุมด้วยเสียงดนตรี
ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตูเมืองชั้นใน เขาก็กลับมายังเขตอาเดรอน และไม่นานลูเซียนก็มองเห็นป้ายร้านมงกุฎทองแดง
ข้างนอกร้านนั้น มีเด็กสาวและหญิงสาวมากมายเดินผ่านไปมาพลางลอบมองเข้าไปในร้าน แล้วก็จากไปอย่างผิดหวัง
————————————————
[1] ดนตรีที่มีเสียงจากแนวเสียงหลายแนวที่เป็นอิสระต่อกัน แต่บรรเลงพร้อมกัน