Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 804 แลกเปลี่ยนในสิ่งที่ต้องการ
ขณะที่เมมฟิสต์ ดยุกแห่งน้ำแข็ง ก้าวเข้ามาภายในร้าน ที่แห่งนั้นก็พลันเงียบสงัด ราวกับที่ราบน้ำแข็งที่ถูกพายุหิมะเข้าถล่ม มันทั้งเย็นเยียบ เงียบงัน และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“สามสิบปีทำได้ดีกว่าสามหมื่นปีอย่างนั้นรึ” ชายชราที่น่าจะเป็นนักเวทชั้นตำนานผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณ หัวเราะขัน เห็นได้ชัดว่า เขาคิดว่าเจ้าแห่งสิ่งลี้ลับกำลังแสดงความสามารถพิเศษของปีศาจ และพูดข่มคนอื่นด้วยความจริงที่ถูกเสริมเติมแต่ง ซึ่งไม่ควรเชื่อถือ “สิบปีที่ผ่านมา เจ้าแทบมิได้ก้าวเท้าออกไปจากธารน้ำแข็งเงียบงันเลย จนข้าเกือบจะคิดว่าเจ้าลอบออกไปยังโลกหลักอย่างเงียบๆ เสียแล้ว แล้ววันนี้ร้านเล็กๆ ของข้ามีอะไรที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องมาเยือนงั้นรึ”
เขากำลังเตือนลูเซียนว่าเจ้าแห่งสิ่งลี้ลับอาจมีแผนการเลวร้ายที่เกี่ยวเนื่องกับโลกหลักในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เพื่อที่ลูเซียนจะไม่โดนหลอก
เมมฟิสต์หัวเราะลั่นขณะนั่งลงข้างลูเซียน เขาคว้าขวด ‘สุราเพลิง’ กับ ‘ไวน์ธาราจิต’ มาผสมกันให้ได้เครื่องดื่มสุดโปรดของเขา “เจ้าถามอีวานส์ดูก็ได้ว่าคำพูดข้าเกินจริงหรือไม่ ความจริงแล้ว เขาน่ะคือหลักฐานที่ดีที่สุดเชียวล่ะ”
เขาแสดงท่าทางราวกับเป็นสหายสนิทของลูเซียน
จากวงผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งสาม หนึ่งคนกำลังผสมสุราอยู่เบื้องหลังเคาน์เตอร์บาร์ และอีกสองนั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงหน้าบาร์ บนเคาน์เตอร์บาร์มีเครื่องดื่ม ถ้วย และเทียนไขเปล่งแสงสลัวลาง ดูเหมือนกับร้านเหล้าทั่วๆ ไป ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าทั้งสามเป็นถึงผู้มีพลังชั้นตำนาน
“หือ?” ชายชราให้ความสนใจกับคำพูดนั้นหลังจากได้ยินเมมฟิสต์พูดซ้ำ “ในช่วงสามหมื่นปีแรกของจักรวรรดิเวทมนตร์ มนตราคาถาชั้นตำนานมากมายถูกคิดค้นขึ้น สำนักต่างๆ ได้รับการจัดสรรแบ่งแยก ระบบเวทมนตร์ในขั้นต้นถูกก่อตั้งขึ้น ความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์และโหราศาสตร์ก็ได้ข้อสรุป ทั้งยังลองสร้างอุปกรณ์แปรธาตุได้สำเร็จ และพลังโลหิตก็ถูกสังเคราะห์ขึ้น สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ภายในสามสิบปีเช่นนั้นรึ”
ด้วยเกิดมาในยุครุ่งเรืองช่วงสุดท้ายของจักรวรรดิเวทมนตร์ เขาจึงเป็นเหมือนขุนนางเฒ่าที่ยึดติดกับความรุ่งโรจน์ในอดีต ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะให้ความสนใจในสภาเวทมนตร์และความก้าวหน้าของอาร์คานา แต่เขาก็มิได้เข้าร่วมด้วยจริงๆ นอกจากนี้ เขาไม่อาจยอมรับได้ว่า ‘อาร์คานา’ สามารถทำในสิ่งที่ยุคจักรวรรดิเวทมนตร์ทำสำเร็จในช่วงสามหมื่นปีได้ภายในเวลาเพียงสามสิบปีเท่านั้น
ดยุกแห่งน้ำแข็งหันไปมองลูเวียน ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ราวกับเรื่องนี้มิได้เกี่ยวอะไรกับเขา แล้วหัวเราะออกมา “ในช่วงสามสิบปี ความสำเร็จใหญ่ๆ นั้นมีทั้งการค้นพบความลับของแรงโน้มถ่วงและการค้นพบตำแหน่งที่ตั้งของดวงอาทิตย์…”
เขาหาใช่จอมเวท จึงไม่แปลกที่ถ้อยคำของเขาจะไม่ถูกต้องแม่นยำนัก หากเป็นลูเซียน เขาคงเอ่ยเพียงว่ามีความสำเร็จเรื่องธรรมชาติของแรงโน้มถ่วงในเบื้องต้น
“อะไรนะ ดวงอาทิตย์ถูกค้นพบแล้วงั้นรึ” ชายชราทิ้งผ้าที่เขาใช้เช็ดถ้วยลง พลางเอ่ยแทรกเมมฟิสต์และมองเขากับลูเซียนด้วยความตกตะลึง
ตำแหน่งและการมีอยู่ของดวงอาทิตย์ถือเป็นปริศนาที่กวนใจผู้คนในจักรวรรดิเวทมนตร์มานับหมื่นๆ ปี ไม่มีนักเวทคนใดที่ไม่อยากไขปริศนานี้ เขาเองก็มิใช่ข้อยกเว้น แต่กระทั่งอัจฉริยะผู้โดดเด่นอย่างราชันย์แห่งสุริยา ศาสดาพยากรณ์อย่างท่านมาสเกลีน และผู้มีพลังชั้นสูงที่แข็งแกร่งเทียบเท่าเหล่ามนุษย์ครึ่งเทพอย่างกุนซือดาราจำรัส ซึ่งเป็นคนแรกของจักรวรรดิเวทมนตร์ที่ทะลวงขั้นขึ้นสู่ชั้นตำนานระดับสูงสุด ทุกคนต่างต้องยอมจำนนก้มหน้าให้กับปริศนานี้และยอมรับว่าเส้นทางสู่ความจริงของโลกยังอีกยาวไกลนักกว่าที่พวกเขาจะไปถึง
แต่ยามนี้ ดวงอาทิตย์ถูกค้นพบแล้วกระนั้นหรือ
ดยุกแห่งน้ำแข็งมิได้เอ่ยถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาที่นี่เลยสักนิด ราวกับว่ามาที่นี่ก็เพื่อเพลิดเพลินไปกับอาการตกตะลึงของชายชราโดยเฉพาะ เขาชี้ไปทางลูเซียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วกล่าวตอบ “อันที่จริงแล้ว เจ้ากำลังมองผู้ค้นพบดวงอาทิตย์และผู้ก่อตั้งระบบสัมพัทธ์อยู่นะ”
“เจ้าเป็นผู้ค้นพบดวงอาทิตย์งั้นหรือ ระบบสัมพัทธ์เช่นนั้นรึ” ชายชราถามอย่างเร่งร้อน อะไรคือระบบสัมพัทธ์กันเล่า
ตอนที่เขาจากโลกหลักมา ทางสภาเวทมนตร์ยังไม่เคยใช้ศัพท์ประเภทนี้เลย เพียงผ่านไปสามสิบปี โลกกลับแปลกไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ลูเซียนไม่ได้ให้คำตอบไปตรงๆ กลับตอบด้วยท่าทีเข้มงวดสมกับเป็นจอมเวท “ในทางเทคนิคแล้ว เหตุผลสำคัญในการค้นพบดวงอาทิตย์หาใช่ระบบสัมพัทธ์ มันเป็นเพียงปัจจัยรองเท่านั้นขอรับ”
‘ข้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับอาร์คานา เจ้าหนุ่มนี่ต้องล้อข้าเล่นแน่…’ ชายชราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนจมอยู่ใต้น้ำ เขารีบหยิบลูกแก้วที่มีฝุ่นจับอยู่นานหลายปีขึ้นมา
เป็นเพราะเขาอยู่ภายในมิตินรกเงียบงัน ผลของเวทพยากรณ์ของเขาจึงถูกจำกัด ทว่า ดยุกแห่งน้ำแข็งกลับเคาะโต๊ะและปลดปล่อยพลังสะกดข่มของมิติพิเศษของตน ชายชราจึงได้ข้อสรุป “ดวงอาทิตย์ถูกค้นพบแล้วจริงๆ…เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่”
ดวงอาทิตย์นั้นมีตำแหน่งพิเศษในทางโหราศาสตร์ และยังเป็นสัญลักษณ์พิเศษในขอบเขตความรู้ด้านจิตวิญญาณอีกด้วย
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้เช่นกัน แต่ในเมื่อยามนี้ ชั้นตำนานระดับสูงสุดได้มาเยือนมิตินรกเงียบงัน ข้าจึงจำต้องมาดูเขาเสียหน่อย เผื่อว่าธารน้ำแข็งเงียบงันจะถูกโจมตีสักวันในอนาคตแต่ข้ากลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย” เจ้าแห่งสิ่งลี้ลับกล่าวด้วยท่าทางรื่นเริง ราวกับว่าเขามิได้มาเพื่อตรวจสอบศัตรู แต่มาทำธุรกิจกับลูเซียน
“ชั้นตำนานระดับสูงสุดรึ” ชายชราหันไปจ้องลูเซียนอีกครา แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักนักเวทระดับสูงกับผู้วิเศษทุกคนในสภาเวทมนตร์ แต่เขาก็รู้จักกับสมาชิกสภาสูงสุดแทบทุกคน สามสิบปีก่อน ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีทางเป็นหนึ่งในชั้นตำนาน แต่หลังจากผ่านไปสามสิบปี เขาก็เลื่อนขั้นมาถึงชั้นตำนานระดับสูงสุดเลยเชียวหรือ นี่มันน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าบรูกเสียอีก!
“เท่าที่ข้ารู้มา เพียงผ่านไปไม่กี่สิบปีเท่านั้นนับแต่ที่อีวานส์เริ่มศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ ก็นะ เขายังมิใช่นักเวทที่แท้จริงด้วยซ้ำจนกระทั่งปีที่ดยุกแห่งน้ำแข็งคนก่อนสิ้นชีพ” ดยุกแห่งน้ำแข็งคนปัจจุบันกล่าวเสริม ก่อนจะตั้งข้อสังเกต ขณะที่ชายชรายังอึ้งงัน “บัดนี้มิใช่ยุคโบราณที่คนใหญ่คนโตสามารถซ่อนตัวได้นานนับสิบๆ ปี แต่ยังคงความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ทุกวันนี้ ผู้ใดก็ตามที่อยู่อย่างสันโดษและไม่สนใจวิวัฒนาการของอาร์คานา เขาผู้นั้นจะล้าหลังไปภายในสิบปี แทนที่จะเป็นผู้บงการหลักหรือกองกำลังสำคัญ เขาจะถูกบดขยี้ด้วยวงล้อแห่งกาลเวลา”
ท่าทางเขาดูเหมือนกำลังเยาะหยันชายชราที่ดูสับสนมึนงงหลังจากใช้ชีวิตอย่างสันโดษมาสามสิบปี
“ไม่กี่สิบปี…” ตอนนี้ ชายชราไม่อาจแสดงความเห็นใดๆ เป็นคำพูดออกมาได้ เพียงไม่กี่สิบปีจะสร้างความสำเร็จอันใดได้บ้าง หลังจากที่เขาเริ่มเรียนเวทมนตร์ เขาก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อเลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับห้า
หลังจากยืนยันข้อมูลที่ลูเซียนไม่คิดปกปิดด้วยลูกแก้วของตนอีกครั้ง ชายชราก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “การมีอยู่ของเจ้านี่แลที่เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของวิวัฒนาการของอาร์คานาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา”
เมื่อเอ่ยจบ แววตาของเขาก็พลันมีเปลวไฟลุกโหม ก่อนจะจดจ้องไปที่ลูเซียน “เมื่อครู่นี้ เจ้าบอกว่าสภาเวทมนตร์เกือบจะสร้างความก้าวหน้าได้อย่างสะเทือนวงการของผู้ศึกษาเรื่องวิญญาณ ใช่หรือไม่”
“ในทางเทคนิคแล้ว ใช่ขอรับ” ลูเซียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดดยุกแห่งน้ำแข็งจึงช่วยโน้มน้าวชายชรา เขาจึงค่อนข้างระมัดระวังคำพูด “ท่านมีความเห็นอย่างไรกับธรรมชาติของดวงวิญญาณขอรับ เช่น หากว่าดวงวิญญาณสูญเสียความทรงจำในอดีตไปและไม่อาจรื้อฟื้นคืนกลับมา และมันก็ไม่มีวิธีการคิดหรือบุคลิกเหมือนก่อน แล้วคลื่นกับกลิ่นอายของพลังจิตยังเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เราจะยังบอกว่าวิญญาณดวงนี้ก็เหมือนกับวิญญาณในอดีตหรือไม่ขอรับ”
“อืม…” ชายชราลังเล เขาเคยคิดถึงคำถามเช่นนี้มาก่อน ภรรยาที่อยู่ข้างๆ เขาก็นับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแต่ไม่ถึงกับสุดโต่ง สัญลักษณ์พิเศษของเขาป้องกันมิให้คลื่นวิญญาณเปลี่ยนแปลงไป
มันเป็นทั้งคำถามเชิงปรัชญาและคำถามที่แตะเข้าไปในธรรมชาติของวิญญาณ เห็นได้ชัดว่ามันตอบไม่ได้ง่ายๆ เลย เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก่อนที่ชายชราจะตอบกลับในที่สุด “ข้าไม่คิดเช่นนั้นนะ หลังจากที่คุณสมบัติหลักทั้งห้าของวิญญาณเปลี่ยนแปลงไป มันก็ถือเป็นวิญญาณดวงใหม่”
“เช่นนั้น หากเรามอบความทรงจำในอดีตให้กับดวงวิญญาณ ปลูกฝังวิธีคิดและบุคลิกเดิม และเปลี่ยนพลังจิตกับกลิ่นอายเวทมนตร์ของมันไปตลอดกาล เช่นนั้นมันจะกลายเป็นดวงวิญญาณดวงเดิมหรือไม่ขอรับ วิญญาณเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและไม่สุงสิงกัน หรือว่ามันจะเกาะกลุ่มเป็นสังคมและสามารถ ‘เลี้ยงดู’ แบบปลอมๆ ได้กันแน่” ลูเซียนถามคำถามที่ยากจะตอบได้ “อีกกรณีหนึ่ง หากว่าวิญญาณอีกดวงถูกหลอมรวมเข้ากับวิญญาณดวงนี้และรับเอาความทรงจำ การคิด บุคลิก และคลื่นความถี่ในขณะที่ยังคงเก็บความทรงจำเดิมเอาไว้ มันจะยังเท่ากับวิญญาณดวงปัจจุบันหรือไม่”
“เช่น หากดยุกเมมฟิสต์ครอบครองวิญญาณของภรรยาท่านและกระตุ้นความทรงจำของนาง รวมถึงคุณสมบัติอื่นๆ นั่นเท่ากับว่าท่านดยุกคือภรรยาของท่านใช่หรือไม่ อะไรคือคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดของดวงวิญญาณกันแน่”
เมื่อหันไปมอง ‘ภรรยา’ ที่อยู่ข้างๆ ตน ชายชราก็พลันมีสีหน้าเศร้าหมองและแทบเอ่ยตอบมิได้ ดยุกแห่งน้ำแข็งจึงตั้งใจทำให้บรรยากาศดีขึ้น “บอกตามตรง สำหรับข้าแล้ว คุณสมบัติพื้นฐานที่สุดของดวงวิญญาณก็คือแก่นพลังปีศาจ”
“ข้าอยากรู้ว่าท่านอีวานส์มีความเห็นอย่างไรกับคำถามนี้กัน” ชายชรามองไปทางลูเซียนด้วยท่าทางกระตือรือร้นและคาดหวัง
ลูเซียนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเคยไปที่โลกแห่งวิญญาณ ที่ที่ข้าได้เห็นเตาหลอมวิญญาณขอรับ”
“โลกแห่งวิญญาณ? เตาหลอมวิญญาณ?” ชายชรายิ่งรู้สึกว่าตนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเพราะเวลาที่ล่วงเลยไป
ลูเซียนแนะนำโลกแห่งวิญญาณกับตาหลอมวิญญาณอย่างคร่าวๆ และแทนที่จะบอกเล่าถึงงานศึกษาวิจัยหลัก เขากลับสรุปแต่ประเด็นสำคัญ “ข้าเชื่อว่าวิญญาณควรจะมีคุณสมบัติที่อยู่ในระดับสูงกว่านี้และมีหลักเบื้องต้นมากกว่านี้ มันเกี่ยวข้องกับเตาหลอมวิญญาณอย่างลึกซึ้ง ส่วนเรื่องเงื่อนไขจำเพาะนั้น ข้าเกรงว่าข้าคงทำได้เพียงพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเหล่าจอมเวทด้วยงานเขียนหลังจากที่ข้ากลับออกไปจากนรกโบราณแล้วขอรับ”
ชายชราจ้องมองขวดสุราเพลิงตรงหน้าตนอยู่เงียบๆ และไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีกเป็นนาน “ข้าพอจะมีงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวิญญาณอยู่ ข้าอยากจะขอแลกเปลี่ยนงานของเรา”
‘สมกับเป็นนักเวทชั้นตำนาน เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าข้าหมายถึงอะไร’ ลูเซียนยิ้มด้วยความพึงพอใจ แล้วเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนกับชายชราถึงความเข้าใจในเรื่องวิญญาณ ณ ปัจจุบันของเขาอย่างยุติธรรม โดยละทิ้งส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับองค์ความรู้ทางอาร์คานาและแบบจำลองบางอย่างที่ต้องรอการยืนยันจากการเดินทางครั้งนี้เสียก่อน
เอกสารเรื่องวิญญาณของชายชรานั้นละเอียดมาก มันรวบรวมผลงานของเขาในเรื่องวิญญาณและยังมีเวทมนตร์ชั้นตำนานที่เกี่ยวกับวิญญาณอีกสองบท การทดลองบางอย่างโหดร้ายเกินกว่าที่ลูเซียนจะลงมือทำได้ด้วยตนเอง เขาคอยมองหาวิธีการอื่นเพื่อยืนยันผลลัพธ์มาโดยตลอด จนกระทั่งมาได้ข้อมูลจากที่นี่ นอกจากนี้ ชายชรายังมอบความรู้เกี่ยวกับอนุสรณ์สถานโบราณที่อยู่ลึกสุดของขุมนรก ซึ่งนั่นยิ่งเสริมความมั่นใจให้กับลูเซียน
ชายชรายังครุ่นคิดอย่างหนักขณะอ่านเอกสารที่ลูเซียนมอบให้ เขาลูบหน้าผากไม่หยุด ราวกับเนื้อหาบนนั้นได้หักล้างบางสิ่งบางอย่างที่เขาเชื่อถือมาโดยตลอด เขาพึมพำกับตนเอง “…ในกรณีเช่นนี้ การฟื้นคืนชีพ เครื่องรางกักพลัง และอิทธิฤทธิ์ของดาบแห่งสัจธรรมก็สามารถอธิบายได้อย่างสอดคล้องกับตัวมันเอง…”
ข้างๆ เขา ดยุกแห่งน้ำแข็งมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะหันมามองลูเซียนและกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อชอความช่วยเหลือจากเจ้า ลูเซียน ข้าจะมอบเอกสารเกี่ยวกับนรกโบราณที่ละเอียดกว่านี้ให้”
ลูเซียนประสานนิ้วมือเข้าด้วยกัน มิได้ตอบกลับไปในทันที นี่เป็นท่าทีของเขาเอง หรือของเจ้าแห่งนรกกันแน่
………………………………