Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 818 เสียงกรีดร้อง
‘ประตู’ บานนั้นเต็มไปด้วยดวงตามารที่เป็นสีเหลืองขาว นัยน์ตาของพวกมันขุ่นมัวและไม่กะพริบเลยสักนิด แม้ว่าจะมีเขตแดนวิเศษกางกั้น แต่บรรดานักเวท อัศวิน และคนทั่วไปที่เงยหน้าขึ้นมองจากผืนดิน ต่างก็รู้สึกว่าจิตใจพวกตนตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล พวกเขาแทบจะควบคุมความคุ้มคลั่งของวิญญาณและความปรารถนาในการฆ่าฟันที่พวยพุ่งขึ้นมาไม่ได้
แขนซ้ายของร่างจริงของมัลติมุสหาได้งอกคืนกลับมาอย่างรวดเร็วเหมือนก่อนหน้านี้และยังคงกุดอยู่เช่นนั้น ประตูแห่งโลหิตและความโกลาหลเองก็ก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าเช่นกัน แน่นอนว่า มันย่อมดูเชื่องช้าเมื่อเทียบกับการที่ไวเค็นหลอมรวมนรกโบราณเมื่อครู่ก่อน แท้จริงแล้วมันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ในช่วงไม่กี่วินาทีนั้น ภาพสะท้อนของทั้งสองจักรวาลก็ได้ข้ามผ่านเขตแดนไปอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคง ขอบจักรวาลทั้งสองซ้อนทับกันแต่มิได้ส่งผลอันใดต่อกัน กระทั่งดาวเคราะห์น้อยสองดวงที่ดูเหมือนจะพุ่งชนกัน กลับสวนทางกันไปคนละทิศละทาง พวกมันดูเหมือนมีอยู่ใกล้ชิดกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนอยู่กันคนละโลก โดยที่ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายเลยสักนิด!
ขณะที่ขอบจักรวาลทั้งสองซ้อนทับกัน ดวงวิญญาณของลูเซียนที่มีเค้าโครงหน้าของซย่าเฟิงและดวงวิญญาณที่ดูเหมือนลูเซียนครึ่งหนึ่ง ก็ยิ่งเอนกายเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวราวกับปาฏิหาริย์!
เมื่อครู่นี้ พวกเขายังเป็นคนสองคนที่โอบอุ้มจักรวาลไว้เบื้องหน้าโดยที่แผ่นหลังชนกัน แต่ในยามนี้ พวกเขากลับเป็นเหมือนแฝดตัวติดกันที่ใช้แผ่นหลังร่วมกัน!
มันหาได้มีปรากฏการณ์เหนือจิตนาการ เสียงดังกึกก้อง หรือแสงสว่างเจิดจ้าอันใด ลูเซียนทั้งสองคนเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกันด้วยวิธีการอันแปลกประหลาดเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่ว่าพวกเขาไม่ควรจะอยู่บนโลกใบนี้ก็ยิ่งชัดเจน
ด้วยเหตุผลบางประการ เหล่าวิญญาณเร่ร่อนและปีศาจแห่งบรรพกาลเริ่มตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าพวกมันจะไม่มีร่างจับต้องได้อีกต่อไปและมิได้ถือกำเนิดจากความรู้สึกด้านลบเสียทั้งหมด พวกมันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยำเกรง
สีทอง เขียว ดำ แดง และสีสันอื่นๆ เริ่มสั่นระริก วิญญาณเร่ร่อนและปีศาจแห่งบรรพกาลถูกแยกชิ้นส่วน ปลดปล่อยพลังดึงดูดอันทรงพลังที่มีเพียงผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกด้านลบกับปีศาจแห่งบรรพกาลเท่านั้นจะรับรู้ได้
ราชินีเอลฟ์เพิ่งจะง้างคันศรธรรมชาติลงทัณฑ์เท่านั้น เมื่อร่างของนางกลับกลายเป็นเลือนรางและมีเงาดำที่กำลังจะคืบคลานออกมา
อะเกลียยาจำต้องหยุดการกระทำและหลอมรวมร่างของนางเข้ากับต้นไม้เอลฟ์ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อควบคุมเงาดำด้วยรากของมัน
บนชั้นที่สามสิบสี่ของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน…
แม้ว่าบรูกจะแข็งแกร่งกว่าเมลแม็กซ์และได้รับความช่วยเหลือจากโอลิเวอร์กับเบิร์กเนอร์ แต่เขาก็จำต้องเพ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปที่การควบคุมผลกระทบจากควันหลงเพื่อป้องกันมิให้อัลลินถูกทำลายจนไม่เหลือซาก นักเวทชั้นตำนานทั้งสามต่อสู้กับปีศาจเมลแม็กซ์อย่างดุเดือดเลือดพล่านเสียจนห้องสมุดของบรูกพังราบเป็นหน้ากลอง
หากมิใช่เพราะสนามแม่เหล็กสีเข้มดูลึกล้ำและกรงขังที่สร้างขึ้นจากงูกระแสไฟฟ้าสีเงินดูน่าหวาดหวั่น การต่อสู้ของเหล่าชั้นตำนานระดับสูงสุดคงจะทำลายหอคอยเวทมนตร์และนครอัลลินไปกว่าครึ่ง
ทว่า ถึงแม้การต่อสู้จะยากเย็นเพียงใด บรูกก็มิได้รู้สึกวิตกกังวล เพราะเขารู้ดีว่าภาพมายาสะท้อนของเมลแม็กซ์นั้นจะคงอยู่ได้มินาน กุญแจสำคัญที่แท้จริงยังคงเป็นการต่อสู้ของเหล่ามนุษย์ครึ่งเทพและชั้นตำนานระดับสูงสุดบนท้องฟ้า
แต่ทันใดนั้น เมลแม็กซ์ก็ตัวแข็งค้างไป แล้วเงากับแสงเงาดำก็พวยพุ่งออกจากร่างของเขาแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากฝีมือของลูเซียน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะต้านทานแรงดึงดูดได้ในตอนนี้ที่เขาไม่มีร่างที่แท้จริงหรือดาบยาวประจำตัว
แม้ว่าบรูก โอลิเวอร์ และเบิร์กเนอร์จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนฟากฟ้า แต่การเปลี่ยนแปลงของเมลแม็กซ์ย่อมไม่เป็นความลับสำหรับพวกเขา เมื่อเห็นว่าสบโอกาส อาณาจักรแม่เหล็กไฟฟ้าของบรูกก็พลันหดตัวลงและเหนี่ยวรั้งเมลแม็กซ์เอาไว้ ในขณะที่โอลิเวอร์กับเบิร์กเนอร์ผลักเขาเข้าไปยังมิติพิเศษด้วยเวทมนตร์ชั้นตำนานของตนเอง
ซี่ๆๆ
เมลแม็กซ์ถูกผลักเข้าไปในมิติอาณาจักรแม่เหล็กไฟฟ้า บรูกให้โล่งใจยิ่งนัก เขาย่อมไม่หวาดเกรงยามอยู่ในมิติพิเศษของตน อย่างไรเสีย ลูกศิษย์และผู้รับใช้ของเขาต่างก็ออกไปจากที่นั่นหมดแล้ว นอกจากนี้ เมื่ออยู่ในมิติพิเศษ เขาจะแข็งแกร่งเทียบเท่ามนุษย์ครึ่งเทพ
“ข้าจะจัดการเขาเอง พวกเจ้าอยู่ควบคุมวงแหวนคุ้มกันของอัลลินเถิด” บรูกกล่าวผ่านกระแสจิตขณะก้าวเข้าไปในมิติอาณาจักรแม่เหล็กไฟฟ้า
แม้ว่าแผงควบคุมบนชั้นนี้จะถูกทำลายจนเหี้ยนเตียน แต่ก็ยังมีแผงควบคุมในห้องสมุดของเฟอร์นันโด เฮลเลน และแฮทธาเวย์บนชั้นที่สามสิบสามอยู่
ด้วยความช่วยเหลือของพรอสเปลล์ โอลิเวอร์จึงเข้ามาในห้องสมุดของเฟอร์นันโด ซึ่งไม่ได้ลงกลอนไว้ แล้วทำการควบคุมปราการคุ้มกันของอัลลิน
ในช่วงเวลานั้นเอง ทั้งสองจึงมีเวลาแหงนหน้ามองการต่อสู้บนท้องฟ้า
“ลูเซียนกำลังพยายามทะลวงขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครั้งเทพ…” โอลิเวอร์ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ว่ามันแตกต่างจากวิธีการของท่านประธานโดยสิ้นเชิง มันมิใช่มิติพิเศษ ปะทะโลกแห่งปัญญาบวกกับดาวจรัสฟ้าแห่งเทวลิขิต แต่เป็นจักรวาลที่แท้จริงหนึ่ง ปะทะจักรวาลของแท้สอง”
ปีศาจแห่งบรรพกาลอาจจะมองข้ามจุดนี้ไป แต่มิใช่กับโอลิเวอร์ ในฐานะนักเวทชั้นตำนาน เขาจึงสัมผัสถึงความแตกต่างระดับพื้นฐานระหว่างสองการทะลวงขั้นได้อย่างรวดเร็ว ในระหว่างการเลื่อนระดับของลูเซียน มิติพิเศษของเขาทำหน้าที่เป็นเพียงสื่อกลาง หาใช่ส่วนสำคัญ
เบิร์กเนอร์ถามด้วยความงุนงง “มันมีพื้นฐานจากผลกระทบจากผู้สังเกตเช่นนั้นหรือ นี่การตอบสนองของโลกความเป็นจริงคือผลกระทบจากผู้สังเกตอย่างนั้นน่ะหรือ”
“ก็อาจใช่…” โอลิเวอร์ลังเล “จะอย่างไรก็ดี หากเขาเลื่อนระดับได้สำเร็จ ไวเค็นก็ไม่มีทางทะลวงขั้นได้อีกต่อไป”
…
ณ เรนทาโต ภายในพระราชวังเนคโซ
ดาบสีเงินที่แฝงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นของความว่างเปล่าได้ทลายปราการคุ้มกันกายของแอตแลนต์และพุ่งเข้ากระแทกใส่ร่างเขา แต่เขากลับแย้มยิ้มแปลกประหลาด แล้วสลายตัวกลายเป็นเศษกระจกอย่างรวดเร็ว
‘ภาพมายาอีกแล้วหรือ’ นาตาชาที่ยังคงถือดาบแห่งสัจธรรมไว้แน่น พลันหน้าปลี่ยนสีเล็กน้อยก่อนจะก้าวพริบตาหายไป ในชั่วพริบตานั้นเอง เสียงแก่ชราดังก้องจากที่ไกลๆ ก็ดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะพอดี
“เวททลายวิสัย!
ร่างของนาตาชาพลันงุ้มลง ราวกับถูกค้อนทุบ หยาดเลือดสาดกระเซ็นจากดวงตาของนาง และกว่านางจะลุกขึ้นมายืนตรงได้อีกครั้งก็ลำบากมาก ทว่า ดวงตาสีเงินของนางกลับหม่นแสงลง ดูเหมือนว่านางจะมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่เปลี่ยนเป็นสถานะของปีศาจแห่งบรรพกาล แอตแลนต์ก็กลายเป็นสิ่งลี้ลับและคาดเดาไม่ได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่ที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น นาตาชาฟันโดนเขาสิบเจ็ดครั้ง แต่เขากลับเป็นภาพมายาถึงสิบครั้ง และอีกเจ็ดครั้งนั้น มีชนชั้นสูงหรืออัศวินที่อยู่ด้านนอกต้องตายแทนเขา!
แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากมอร์ริส นาตาชาก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าแอตแลนต์คนใดคือตัวจริงหรือว่าตัวปลอม ฉะนั้นแล้ว ในขณะที่นางโจมตีอย่างเต็มกำลัง นางก็ค่อยๆ สูญเสียการได้ยิน สัมผัส การรับรู้กลิ่น และการมองเห็นไป
นาตาชาหลับตาลง แล้วแผ่อำนาจจิตของนางไปรอบๆ บริเวณ และทันใดนั้น นางก็ตวัดดาบออกไปอีกครั้ง ดาบของนางเปล่งประกายเย็นเยียบไร้ปราณี
เสียงแตกร้าวแห่งความว่างเปล่าดังกึกก้อง พร้อมกับที่ร่างของแอตแลนต์ถูกดาบแห่งแสงฟาดฟัน
ทว่า ร่างกายกลับแตกสลายไปเหมือนกับกระจก ดูเหนือจินตนาการอย่างยิ่งยวด
“เวทขจัดสัมผัส!” เสียงของแอตแลนต์ดังมาจากทุกทิศทาง แล้วในดวงตาของนาตาชา ทุกสรรพสิ่งก็พลันมืดครึ้มลงอย่างฉับพลัน นางคล้ายกับถูกทิ้งให้ยืนอยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ภาพร่างของแอตแลนต์ก็ผุดพรายขึ้นทุกมุมรอบกายนาง เขาแย้มยิ้มขณะกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าหยุดยั้งข้ามิได้หรอก ข้าจะเรียกร้องให้คนในหอคอยเวทมนตร์อัลลินเปิดประตูมิติเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวเจ้า”
ยามเผชิญหน้ากับอัศวินที่แข็งแกร่งและอึดถึกทน แอตแลนต์ไม่อาจขจัดประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณของนางได้อย่างเบ็ดเสร็จในคราวเดียว เขาทำได้เพียงทีละอย่างๆ เท่านั้น
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค เขาก็ถูกบังคับให้ต้องลืมตาขึ้น และดาบสีเงินก็เปล่งประกาย
เปรี๊ยะ
ภาพทั้งหมดต่างร้าว แล้วร่างที่สร้างขึ้นจากแสงหลากสีอันบิดเบี้ยวก็ปรากฏขึ้น ค่อยๆ แตกสลายภายใต้ช่องว่างมายาดูน่าหวาดกลัว
“เจ้า…เจ้าหาข้าเจอได้เช่นไร” แอตแลนต์พูดตะกุกตะกักด้วยความเหลือเชื่อ เมื่อครู่นี้ นาตาชาหาเขาเจอได้อย่างไรกัน ในเมื่อนางไร้ซึ่งประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณอันใด
กริ๊ง
สร้อยคอรูปร่างแปลกตามีเอกลักษณ์ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้างของนาตาชา ก่อให้เกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งเหมือนยามโลหะกระทบกัน
แม้ว่าแอตแลนต์จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เขาก็บอกได้ว่ามันช่วยให้นาตาชาต้านทานการโจมตีนับสิบครั้งจากพลังที่มีพื้นฐานจากภาพมายา แต่ว่า เมื่อครู่นี้…
“เจ้า…” ร่างของเขายิ่งใกล้จะดับสูญ
ราวกับว่านางได้ยินคำถามของเขา ดวงตาหม่นแสงของนาตาชาค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพ นางหัวเราะขันก่อนจะตอบว่า “ข้าจงใจให้เป็นเช่นนี้”
“นี่คืออุปกรณ์ระดับตำนานที่ลูเซียนสร้างจากวัตถุดิบที่มีในท้องพระคลังของโฮล์ม แต่มันไม่อาจช่วยข้าให้ค้นหาเจ้าพบ ข้าจงใจปล่อยให้เจ้าขจัดประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณของข้า เพราะดวงตา หู และสัญชาตญาณจะหลอกลวงข้า…มีเพียงการกำจัดการแทรกแซงจากพวกมันและใช้ใจสัมผัสเท่านั้นที่ข้าจะ ‘มองเห็น’ โลกใบนี้และตัวเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความมืดได้อย่างแท้จริง
“ก็นะ เมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยฝึกฝนอยู่ในสถานที่สันโดษ ที่ที่เงียบสงัดและข้าไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดได้”
นางเปลี่ยนถ้อยคำของลูเซียน เพื่อที่แอตแลนต์จะได้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ในตอนนั้นเอง แรงดึงดูดรุนแรงจากนรกโบราณก็เคลื่อนมาใกล้ แล้วความรู้สึกด้านลบภายในกายของแอตแลนด์ก็พลันปลิดปลิว ดวงตาของเขากลับมาใสกระจ่างอีกครา เขาไอโขลกก่อนจะกล่าวด้วยความเสียใจ “เหตุใด…เหตุใดมันจึงไม่เกิดขึ้นเร็วกว่านี้กันนะ หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงไม่ถูกไวเค็นบงการเป็นแน่”
นาตาชาก้าวมาข้างหน้า รองเท้าบู๊ทของนางส่งเสียงเอียดอาดแสบหูยามเสียดสีกับพื้นขณะที่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง “แม้ว่าข้าจะเกลียดที่ต้องพูดกับคนที่กำลังจะตายอย่างตรงไปตรงมา แต่ข้าก็ต้องขอบอกว่า แทนที่จะพร่ำบ่นว่าการเปลี่ยนแปลงภายในนรกโบราณเกิดขึ้นช้าไป เจ้าควรจะบ่นเรื่องที่เจ้าตัดสินใจเร็วเกินไปมากกว่า เจ้าควรจะรั้งรอไม่เลือกเส้นทางของเจ้าจนกว่าท่านประธานจะกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพสิ”
แอตแลนต์ถอนหายใจเฮือก แล้วร่างของเขาก็สูญสลายไปโดยสมบูรณ์
ภายใต้คมดาบแห่งสัจธรรม มันไม่มีโอกาสเลยที่เขาจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้
นาตาชาเงยหน้าขึ้นไปมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนฟากฟ้าไกลด้วยสายตาที่กลับมาใช้การได้แล้วกึ่งหนึ่ง นางกล่าวยิ้มๆ “เหตุใดเจ้าไม่ทำให้เร็วกว่านี้กันนะ แบบนั้นข้าคงไม่ต้องเสี่ยงเช่นนี้…”
นางจะซ่อนตัวอยู่ในมิติจักรวาลอะตอมกับแกรนด์ดยุกแห่งออร์วาริตก็ได้ เพราะอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เลยที่แอตแลนต์จะบุกเข้าไป แต่นางรู้สึกว่าตนจำเป็นต้องยืนหยัดเคียงข้างคนของนางในช่วงเวลาเช่นนี้
…
ประตูที่ดูโกลาหลน่าขยะแขยงถูกเปิดออกเสียงดัง แล้วก้อนเนื้อที่มีดวงตากับแขนขาจำนวนนับไม่ถ้วนจากสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ก็กลิ้งออกมา พร้อมกับแผ่กลิ่นอายโลหิต การฆ่าฟัน และความคลุ้มคลั่ง
ในตอนนั้นเอง การทะลวงขั้นของสองลูเซียนก็มาถึงช่วงสุดท้าย ร่างของทั้งสองตั้งแต่คอลงไปถูกหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ใบหน้ายังคงหันไปทางจักรวาลของตนเอง
ลูเซียนทั้งสองพลันมีสีหน้าเจ็บปวดทรมานเหลือแสน ทั้งสองแหงนหน้าพร้อมกันและเริ่มหลอมรวม ทั้งสองจักรวาลที่มีดาวเคราะห์สีน้ำเงินกับดาวเคราะห์หมอกดูจะไม่เป็นเอกเทศจากกันเหมือนเมื่อครู่ เสียงแตกร้าวแปลกประหลาดจากการเสียดสีพลันดังขึ้น!
ตูม!
ภูเขาไฟมากมายภายในนรกปะทุขึ้นพร้อมๆ กัน ปีศาจทุกตนสัมผัสได้ว่าความว่างเปล่ารอบกายตนเองนั้นกำลังสั่นสะเทือนและส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะ ราวกับว่าโลกกำลังจะพังทลายลง และจากที่ที่พวกมันมองไม่เห็น จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกแห่งก็กำลังพุ่งเข้ามา!
“ไม่!”
ความรู้สึกเสมือนจริงนั้นทำให้เหล่าปีศาจคร่ำครวญและกรีดร้องออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ชั่วเวลานั้น ทั้งนรกเต็มไปด้วยเสียงเหล่านั้น กระทั่งดยุกปีศาจบางตนยังเนื้อตัวสั่นเทา ไม่รู้เลยว่าความกลัวนี้เกิดจากเหตุใด
ภายในนครอัลลินและเรนทาโต ไฮดี้ แอนนิค อาลี และคนอื่นๆ ต่างก็ได้ยินเสียงแหลมเสียดหูดังมาจากความว่างเปล่าข้างกายพวกเขา ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังบดขยี้มันจากอีกฟากฝั่งหนึ่ง และมันก็กำลังจะพังทลายลงภายใต้แรงดันมหาศาลนี้
‘เกิดอะไรขึ้นกัน’
ความตกตะลึง ตื่นตระหนก หวาดกลัว ลิงโลด และความรู้สึกอื่นๆ พลันระเบิดโพลง!
บ้างก็หวาดกลัว บ้างเนื้อตัวสั่นเทา บ้างคุกเข่าลงไป และบ้างก็โห่ร้องยินดี!
…………………………………………