Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 896 ก่อนเข้าสู่โลกเวทมนตร
ในห้องทำงาน คฤหาสน์ฮัลล์ ม่านหนาถูกดึงเปิดไปสุดทั้งสองข้าง หน้าต่างที่มีผ้าขาวบางปิดอยู่อีกชั้นเปิดรับแสงตะวันและแสงสีทองอันวิจิตรเข้ามาในห้อง
แฮททาเวย์กำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะพร้อมปากกาขนนกในมือ สักพัก นางก็เงยหน้าขึ้นมาคุยกับดักลาสและเฟอร์นันโดด้วยคำพื้นๆ ถ้านางอยากแสดงความเห็นที่ซับซ้อนมากๆ นางจะเลือกวิธีการพูดและเขียนไปพร้อมๆ กัน
ดักลาสยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาดูเคร่งขรึมราวกับว่าเขาครุ่นคิดอะไรอยู่ เขาเดินไปมาในแสงแดดสีทองอร่าม บางครั้ง เขาก็หยุดกึกและชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในแนวคิดของเฟอร์นันโดและแฮททาเวย์ พอทั้งสองโต้แย้ง เขาก็จะเริ่มออกเดินวนไปวนมาอีกครั้งขณะกำลังคิด
ภาพที่ทั้งสามกำลังอภิปรายเรื่องอาร์คานาและเวทมนตร์เป็นเหมือนภาพเขียนอันสดใส น่าเสียดายที่ไม่มีใครบันทึกภาพอันยอดเยี่ยมภาพนี้ไว้ในประวัติศาสตร์เวทมนตร์
การอภิปรายนี้กินเวลาหลายวัน ความสงสัยทั้งหลายที่เฟอร์นันโดและแฮททาเวย์มีต่อแรงโน้มถ่วง ระบบการเคลื่อนที่ของเทห์ฟากฟ้า และกฎการเคลื่อนสามข้อได้รับการเฉยโดยสมบูรณ์ ทำให้ทั้งสองได้รับความรู้กลับไปมหาศาล
“ตอนข้าใช้แคลคูลัสกับเวทระดับเก้า ข้ารู้สึกเลยว่าการวางโครงสร้างเวทง่ายขึ้นมาก…” เฟอร์นันโดโบกกระดาษในมือ
บนกระดาษที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ แสงและเงาอยู่ร่วมกัน ทำให้รู้สึกถึงลูกบาศก์ประหลาดๆ ในต้นแบบเวทมนตร์
“ไม่ใช่แค่เวทระดับเก้าเท่านั้น แต่เวทตั้งแต่ระดับสามขึ้นไปส่วนใหญ่ก็ง่ายขึ้น ถ้าเมื่อก่อนโครงสร้างและการศึกษาเวทมนตร์ยากระดับ 100 ตอนนี้มันก็เหลือแค่ 60 แล้ว” ดักลาสตอบทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดเดิน
เฟอร์นันโดมองกระดาษในมือ แล้วก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ “ถ้าแคลคูลัสถูกคิดค้นมาสักยี่สิบปีก่อน เราคงมีผู้วิเศษกับนักเวทอาวุโสเหลือเฟือ กำลังรับของนักเวทระดับเดียวกันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
ดักลาสหยุดแล้วหันกลับมามองเฟอร์นันโด “เจ้าหายดีหรือยัง? เจ้าเข้าใจแคลคูลัสกับแรงโน้มถ่วงหรือยัง?”
“ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเลย” เฟอร์นันโดตอบอย่างมั่นใจ
ดักลาสพยักหน้า “ถ้างั้น เริ่มติดต่อกลุ่มอื่นๆ และประกาศเจตนาความร่วมมือ แล้วเตือนให้พวกเขาอย่าทำตัวเป็นจุดเด่น เรายังไม่มีของวิเศษไปอีกสองสามปี เรายังทดลองอะไรไม่ได้จนกว่าความขัดแย้งระหว่างศาสนจักรและขุนนางถึงจุดสูงสุด”
“ถึงยังไง พวกขี้ขลาดพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรหรอก!” เฟอร์นันโดพูดดูถูก แล้วเขาก็วางปากกาและกระดาษลง เหมือนว่าเพร้อมที่จะไปในทันที
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเฟอร์นันโดเป็นคนพูดจริงทำจริง
ดักลาสหันกลับมามองแฮททาเวย์ “แฮททาเวย์ เจ้าน่าจะกลับไปเรนทาโต ศาสนจักรกับขุนนางคนอื่นๆ คงสงสัย หากเจ้าอยู่ที่นี่นานๆ”
“ค่ะ” แฮททาเวย์ตอบ แต่ปากกาของนางยังไม่หยุดเขียน
ดักลาสสูดหายใจเข้าลึกๆ “เจ้าแห่งความเยือกเย็นและเนตรคำสาปปิดมิติพิเศษไปแล้ว ข้าต้องลงไปนรกก่อนแล้วล่ะ”
หลังรวมตัวกันได้ไม่นาน ทั้งสามก็รับหน้าที่บนเส้นทางที่ต่างกัน เพื่ออนาคตของนักเวท
……
เพล้ง
เชิงเทียนหล่นลงบนพื้นแตกเป็นชิ้นๆ แสงเทียนที่หักก็ดับลงหลังจากส่องแสงริบหรี่อยู่ครู่หนึ่ง ทั้งห้องมืดสนิท มีเพียงเสียงครวญครางราวกับสัตว์ป่า
“เชอร์ลีย์ ไม่ต้องกลัว ฟังข้านะ!” พอเสียงเงียบลง เสียงชายหนุ่มที่กำลังร้อนตัวก็ดังก้อง เขามีลูกตาดำของแมว
หญิงสาวหายใจกระเหือดกระหอบ แต่ไม่ตอบโต้อะไร
“เชอร์ลีย์ ใจเย็นๆ ข้าไม่ใช่นักเวท เชื่อข้า ข้าไม่ใช่นักเวท!” ชายหนุ่มยังหายใจแรง เหมือนกับเครื่องสูบลมที่เป่าลมรุนแรง
หญิงสาวชื่อเชอร์ลีย์ค่อยๆ หายจากอาการหอบ เหนือความคาดการณ์ของชายหนุ่ม นางตอบอย่างใจเย็น “วิเซนเต้ เจ้าก็ต้องใจเย็น เจ้าจะเป็นนักเวทหรือไม่ ข้าก็รักเจ้าเหมือนเดิม”
คำพูดของนางเป็นเหมือนเวทมนตร์มหัศจรรย์ที่ขับไล่มวลอากาศแสนอึดอัดจนหายใจไม่ออกไปจากห้อง
แววตาของวิเซนเต้ดูไม่ปกติแต่ทำให้เขามองเห็นในที่มืด เขารีบจึงจุดเทียนบนโต๊ะ ซึ่งเพิ่งโดนเขาตบหล่นไป
ห้องกลับมามีแสงสลัวอีกครั้ง วิเซนเต้วางหัวใจไว้ในมือลงแล้วเช็ดเลือดออก เขารีบวิ่งไปหาหญิงสาวและถามอย่างตื่นเต้น “จริงเหรอ?”
เชอร์ลีย์กัดฟันพยักหน้างึกๆ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ข้าแค่กลัวจะเสียเจ้าไป ศาสนจักรจะไม่ปล่อยนักเวทไว้”
วิเซนเต้หัวเราะอย่างกับเด็กไม่รู้ภาษีภาษา เขายังเดินวนสองสามรอบก่อนจะกอดเชอร์ลีย์และจูบนางที่ขมับ “มั่นใจได้ ข้าไม่ใช่นักเวทจริงๆ และเพื่อเจ้า ข้าจะไม่มีวันเป็น”
“แต่ศพตรงนั้น…” เชอร์ลีย์ชี้ไปที่ศพรูปร่างบิดเบี้ยวบนโต๊ะยาวด้วยความกลัว
วิเซนเต้ระงับอาการดีใจและกระแอมในลำคอ “ข้าพบสมบัติของพวกนักเวทที่ริมบึง รวมถึงวิชาเวทมนตร์และความลึกลับเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์”
“ตอนแรก ข้าทึ่งกับเวทมนตร์ที่น่าเหลือเชื่อนี่มาก แต่ข้าคิดถึงเจ้า เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เจ้าแอบสอนภาษากลางและภาษาซิลวานาสให้ข้า แม้จะเป็นชนชั้นสูงก็ตาม เจ้าปฏิเสธขุนนางที่มีชื่อเสียงมากมายเพียงเพื่อแต่งงานกับข้า ทำให้พ่อแม่เจ้าโกรธมาก ข้าจะทิ้งเจ้าและเดินบนเส้นทางที่มีแต่การหลบซ่อนได้ยังไง?”
วิเซนเต้หยอดคำหวานในคำอธิบาย เชอร์ลีย์เบะปาก นางพยายามฝืนที่จะไม่ยิ้มออกมา
ขุนนางในยุคนี้ยังคงแอบศึกษาภาษาของจักรวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาส
“ข้าเลยฝังตำราเวทมนตร์ไว้ที่ริมบึง เอากลับมาแค่ตำราเกี่ยวกับความลึกลับของร่างกาย” วิเซนเต้ชี้ไปที่หนังสือสองสามเล่มบนโต๊ะ
เชอร์ลีย์ถามด้วยความสงสัย “ความลึกลับของร่างกาย?”
วิเซนเต้เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึม เขาพูดด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ “ข้าเจอผู้ป่วยที่หมดทางเยียวยาหลายต่อหลายคนที่มูลนิธิ พวกเขาไม่มีเงินที่จะขอให้พระคุณเจ้าช่วยรักษาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีเพียงสมุนไพรและยาจากหมออย่างเราเป็นที่พึ่ง”
“คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่ในฐานะหมอของมูลนิธิ ข้ารู้ดีว่าสมุนไพรและยารักษาได้แค่โรคทั่วไป แต่ผู้ป่วยที่อาการเริ่มรุนแรง ข้าทำได้เพียงดูพวกเขาครวญครางกรีดร้องไปจนหมดลมหายใจ ข้าเจ็บปวดที่ช่วยอะไรไม่ได้ หมอมูลนิธิถึงมักเย็นชาหรือไม่ก็วิกลจริตเสมอ”
เชอร์ลีย์เอนตัวซบอกวิเซนเต้ โอบหลังเขา “ข้าเข้าใจ เจ้ารู้ไหมว่าข้าช่วยงานมูลนิธิบ่อยๆ เคยเห็นคนตายมาเยอะเหมือนกัน ผู้ป่วยมากมายเป็นเพียงเด็กเล็ก มาตายต่อหน้าข้า ตอนนั้นข้าก็เกลียดที่ตัวเองไม่เคร่งศาสนามากพอที่จะเป็นแม่ชีที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์”
“ข้าอยากหาตำรับยาที่ดีกว่าเดิม แต่ข้าก็รู้ว่าร่างกายมนุษย์เต็มไปด้วยปริศนา ไม่รู้โครงสร้างของหัวใจหรือว่ามีอะไรอย่างอื่นในร่างกายเราบ้าง ข้าไม่รู้ว่าร่างกายของเราทำงานยังไง แล้วข้าจะหาตำรับยาที่ดีกว่าได้ยังไง” ดวงตาของวิเซนเต้เต็มไปด้วยความหวัง มันทำให้เขาเปล่งประกาย “ข้าอยากเข้าใจความลึกลับของร่างกายมนุษย์ ข้าอยากหาคำตอบว่าร่างกายของเราเกิดขึ้นมาได้ยังไง!”
เชอร์ลีย์รู้สึกว่าวันนี้วิเซนเต้มีเสน่ห์มากกว่าที่เคย นางพยักหน้า “ก็ดีนะ แต่เจ้าต้องไม่รบกวนคนตายในสุสาน ไม่งั้นคงโดนศาสนจักรจับได้”
“ข้าจะมองหาศพในป่า ตามหนองน้ำ ถ้าไม่มี ข้าจะศึกษาจากซากสัตว์ไปก่อน” วิเซนเต้ประกาศอย่างมั่นใจ “หลังจากที่ข้าเป็นหมอที่มีชื่อเสียง ข้าไม่คิดว่าพ่อแม่เจ้าจะขวางการแต่งงานของเราอีก”
เชอร์ลีย์หน้าแดง “ที่จริง ข้ามาหาวันนี้เพราะพวกท่าน… พวกท่านอนุญาตแล้ว”
“จริงรึ?” วิเซนเต้แทบจะกระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้น
……
ประตูเมืองเรนทาโตแออัดและคึกคักเป็นพิเศษ
“เจริญจริงๆ! เหมือนเรนทาโตที่คิดไว้เปี๊ยบ!” ชายหนุ่มผมและตาสีดำเอ่ยปากชม “ข้าควรขอบคุณไวเคานต์สินะที่ไล่จับข้า ถ้าไม่มีเขา ข้าคงไม่คิดมาเรนทาโต!”
เขาโอบประตูเมือง แล้วก็ตะโกนออกมา “เรนทาโต ข้ามาแล้ว!”
“คนบ้า” ชาวเมืองรอบๆ ต่างหันมามองเขา
แต่ชายหนุ่มผมดำไม่ใส่ใจ เขายังคงเยินยอตัวเอง “โอลิเวอร์ เจ้าจะเป็นคนดังของเมืองนี้!”
เขามองไปรอบๆ หาโรงแรมหรูๆ ภูมิหลังที่เขารู้หนังสือและเขียนบทละครได้บ่งบอกให้รู้ว่าสถานะครอบครัวของเขาไม่เลว เพียงแต่พ่อแม่เสียไปตั้งแต่เด็กและไม่ได้สั่งสอนเขามากนัก
“ฮ่าๆ ที่นี่สินะ…” เขาพูดไปพลางคลำกระเป๋าเงินไปพลาง แต่รอยยิ้มก็หายไปในพริบตา
“กระเป๋าเงินข้า! กระเป๋าเงินข้าอยู่ไหน!?” โอลิเวอร์ตะโกนและมองไปรอบๆ ด้วยความตระหนก แต่ก็หากระเป๋าเงินไม่พบ
เมื่อลมหนาวของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน หนุ่มโอลิเวอร์ก็ได้สัมผัสความโหดร้ายของเรนทาโตเป็นครั้งแรก