Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 908 เดินหมากทีละตัว
ภายในหอสมุดของโป๊บ ณ นครศักดิ์สิทธิ์…
“พระคุณเจ้า มีข่าวกรองส่งมาจากทางเหนือขอรับ” นักบวชแดงส่งเอกสารลับที่ส่งผ่านวงเวทส่งสัญญาณด้วยท่าทียำเกรง
โป๊บเกรกอรีรับจดหมายมาเปิดอ่านอย่างระมัดระวัง อีกด้านหนึ่ง นักบวชแดงกำลังรอคำบัญชา และพร้อมที่เผยแพร่คำบัญชาของผู้นำจิตวิญญาณผู้นี้ไปยังสังฆมณฑลทุกแห่ง
“มัลติมัสลอบยึดครองเมืองหนึ่งในจักรวรรดิชาชราน ติดกับทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาแห่งความมืด เขาวางแผนจะทำพิธีบูชายัญโลหิต” โป๊บมีท่าทางตกใจมาก เขาไม่คิดว่าเจ้าแห่งนรกจะกล้าเหยียบจมูกเขา ดูเหมือนการกุมชัยชนะมาหลายปีและความโกลาหลตรงชายแดนเทือกเขาความมืดได้บังตาพวกนักบวช
ถ้าไม่ใช่เพราะอะราเดลีนไม่ได้ถูกสังหาร หลังไปล่วงรู้แผนสมคบคิดกันซ่อนตัวนักเวทและปีศาจ จนสังฆมณฑลทางเหนือทั้งหลายต้องลงมือสืบสวนเต็มกำลัง เขาคงไม่รู้เรื่องรู้ราว จนเจ้าแห่งนรกมาเยือนถึงหน้าประตู
ด้วยความหัวเสียเล็กน้อย เขาหยิบคทาทองคำขาวขึ้นมาแล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นประกาศว่า “เรียกตัวอีวานและเกว็นต์ไปที่เมืองก็อดฟรีย์ ตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาแห่งความมืด ข้าจะชำระล้างดินแดนที่โสโครกนี้ด้วยตัวเอง”
เขาไม่ไปที่นั่นคนเดียวแน่ๆ ถึงยังไง ศัตรูก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพ ถ้าเขาต้องเสียพละกำลังเกินไปในกำราบมัลติมัส จันทราสีเงินก็อาจลอบเข้ามาโจมตีทางท้องฟ้า เขาจึงเรียกตัวนักบุญสองคนมาที่เมืองก็อดฟรีย์ คนหนึ่งคือนักบุญชั้นตำนานสูงสุด และอีกคนก็มีพลังใกล้กับชั้นตำนานสูงสุด ด้วยวิธีนี้ คงไม่มีปัญหา
“ขอรับ พระคุณเจ้า” นักบวชแดงเริ่มเขียนร่างคำบัญชา
เกรกอรีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้า “แล้วก็แถลงสรรเสริญเฟลิกซ์สำหรับผลงานการสืบสวน ซึ่งจะชดเชยโทษที่ปล่อยให้อะราเดลีนถูกฆ่า”
“ตามบัญชาขอรับ” นักบวชแดงกล่าวตอบอย่างยำเกรง
หลังจากประทับตามคำสั่ง เกรกอรีก็เดินเข้าไปวงเวทส่งสัญญาณ ขบคิดแผนที่จะทำลายความฝันของเจ้าแห่งนรก ก่อนที่เขาจะมาถึง
……
หนึ่งชั่วโมงต่อมา สูงขึ้นไปบนฟากฟ้าของเมืองก็อดฟรีย์…
เกรกอรีมองลงไปที่เมืองข้างล่างด้วยท่าทีเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรสักคำ
อีวานซึ่งมีผมสีทองเกาจมูกโด่งๆ ของเขา และกล่าวด้วยความสุขุม “เรามาช้าเกินไป”
เมืองด้านล่างเลือดซาดกระเซ็นไปทั่วทั้งเมือง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและน่าสะพรึงดังกึกก้อง ท่ามกลางกองเลือด ซากศพลอยไปมา เป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ณ ใจกลางเมือง ประตูที่น่าขนลุกบานหนึ่งที่มีกะโหลกปีศาจและมนุษย์นับไม่ถ้วนสลักไว้กำลังเลือนหายไป กลิ่นกำมะถันรุนแรงขึ้น
เกรกอรีสูดดมกลิ่น “ยังไม่สาย อย่างน้อยมัลติมัสก็ยังอยู่ที่นี่”
ความกังวลที่ค้างคาใจเขาก็คือการที่มัลติมัสใช้วิธีลอบโจมตีทุกๆ ที่แล้วหนี แทนที่จะต่อสู้กับเขาซึ่งๆ หน้า ด้วยความแข็งแกร่งระดับมนุษย์ครึ่งเทพและความฉลาดแกมโกงของเขา แล้ว “อาณาเขตแห่งศรัทธา” ภายใต้พระเจ้าแห่งสัจธรรมจะติดหล่มอยู่กับปัญหาไม่หยุดไม่หย่อน และนักเวท พวกโลกมืด และลัทธินอกรีตที่ยังไม่ได้ถูกกำจัด ก็จะมีโอกาสได้หายใจต่อ
ถ้ามนุษย์ครึ่งเทพสักคนตั้งใจจะจัดการอะไรที่คิดว่าไม่ปกติ ยังไงก็ค่อนข้างยุ่งยาก แม้โป๊บจะมีพลังพระเจ้าเสด็จก็ตาม
พอพูดจบเขาก็ยกมือขวาขึ้นโดยไม่ลังเล คทาทองคำขาวถูกยกสูงขึ้น แล้วก็บริกรรมถ้อยคำออกมาอย่างเคร่งขรึม “พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ พระผู้ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด”
“ผู้เป็นปัจจุบันและนิรันดร์กาล”
“ผู้สร้างและผู้ควบคุม”
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกมาจากร่างและห่อหุ้มทั่วร่าง จนทำให้เขาดูศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
ขณะนั้นเอง กลิ่นอายแห่งความเจิดจรัส ความเคร่งขรึม ความศักดิ์สิทธิ์ และสภาวะเทพพระเจ้าก็หลั่งไหลลงมาจากฟากฟ้าที่สูงขึ้นไปจนไม่รู้ขอบเขต พลังนั้นแผ่ไปทั่วเมืองทั้งเมือง
ภายในเมือง เงาลางๆ เงาหนึ่งที่มีเขาแพะบนหัวก็ปรากฏขึ้น มันปล่อยกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายและความเสื่อมทรามออกมา มันพยายามหนีจากการตกเป็นเป้าโจมตีของพลังพระเจ้าเสด็จ
ฉากด้านหลังมัน มีภาพนรกเก้าขุมปรากฏขึ้น ปราสาททองแดง นครเพลิง และแดนวิเวก ดูเหมือนอยู่ตรงนี้จริงๆ
เมืองทุกเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ผู้ศรัทธาต่างคุกเข่าและอธิษฐาน รู้สึกซาบซึ้งกับพลังของพระผู้เป็นเจ้า ความอบอุ่นและความสงบสุขที่สุดแสนจะพรรณนาห่อหุ้มตัวพวกเขา
“พระผู้ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด”
“ผู้เป็นปัจจุบันและนิรันดร์กาล”
…
เสียงสวดอธิษฐานอันกึกก้อง ยิ่งใหญ่ และน่าประหลาดใจ ส่งมาถึงฟากฟ้าเมืองก็อดฟรีย์
ภาพหุบเขาวิมานปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทูตสวรรค์และวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างสวดสรรเสริญ และเพลงสวดดังกึกก้องไม่หยุด
เกรกอรีหรี่ตาลงเล็กน้อย โบกคทาทองคำขาวเต็มแรง
จากชั้นเจ็ดหุบเขาวิมาน แล้วแสงอันเป็นนิรันดร์ก็ส่องลงมารวมกันเป็นมหาสมุทรแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ ปกคุลมเมืองก็อดฟรีย์ไว้ทั้งเมือง
“ไม่!”
เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชดังมาจากภายในเมือง เงาดำชั่วร้ายขนาดมหึมาสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว
ไม่นานทุกอย่างก็จบลง เมืองทั้งเมืองหายไปจากพื้นผิวโลก
เกรกอรีหน้าซีดเซียว มือขวาของเขาสั่นระริกเกินจะควบคุม แต่น้ำเสียงยังคงหนักแน่น “แถลงชื่นชมเฟลิกซ์อีกครั้ง สติปัญญาของเขาทรงคุณค่ามาก”
หายนะครั้งใหญ่แน่ ถ้าเขามาช้าไปเพียงนิดเดียว
“รับบัญชาขอรับ พระคุณเจ้า” อีวานและเกว็นท์รับคำสั่งพร้อมกัน
เกรกอรีพยักหน้า “เอาล่ะ กลับนครศักดิ์สิทธิ์พร้อมข้า”
จากที่เขาเห็น จันทราสีเงินไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง
แล้วอีวานก็ถามขึ้นด้วยความกังวล “พระคุณเจ้าขอรับ เราควรเลื่อนการประชุมสุดยอดผู้นำศาสนจักรในเดือนหน้าไปเป็นปีหน้าหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง ยึดตามแผนเดิม” เกรกอรีตรวจดูสภาพตัวเองและรู้สึกว่ายังอยู่ปกติดี เขาไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอน เขาพักมาหลายปีพอแล้ว และเขาก็ไม่ได้ใช้พลังพระเจ้าเสด็จติดต่อกันสองครั้ง
“ขอรับ พระคุณเจ้า” อีวานทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนและสวดเสียงเบาๆ “สัจจะคงอยู่นิรันดร์”
……
“โอลิเวอร์นิยามธาตุทั้งสี่เสียใหม่ ซึ่งรวมเอาแรงโน้มถ่วงเข้าไปด้วย แล้วธาตุคืออะไรกันแน่? มันต้องมีคำจำกัดความที่ชัดเจน ข้าเชื่อว่าในโลกนี้มีธาตุมากมาย อย่างทอง เงิน และกำมะถันก็คงไม่ได้มีธาตุเหมือนกัน การทดลองไม่คล้ายกันเลย” แฮททาเวย์ไม่เคยกังวลที่จะเผยให้เห็นทักษะการพูดที่ไม่น่าประทับใจของนางระหว่างการอภิปรายเรื่องอาร์คานา ดวงตาสีเงินของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ดักลาสพยักหน้า “เป็นความคิดที่ดีมาก ข้ารู้สึกมีความรู้มากขึ้นกว่าเดิม”
ก่อนที่จะจบประโยค เฟอร์นันโดเดินเข้าไปด้วยเสียหน้าไม่สู่ดีและพูดขึ้น “เจ้าแห่งนรกถูกโป๊บซัดกลับไปนรกแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?” ดักลาสถามพลางขมวดคิ้ว
เฟอร์นันโดอธิบายข่าวกรองที่เขาได้รับโดบละเอียด แล้วก็สรุปว่า “ข้าคิดว่าเขาวางแผนมาดี เขาวางแผนจะแอบเข้ามา แต่กลับถูกจับได้ ศาสนจักรรู้แผนการของเขาล่วงหน้า และใช้พลัง ‘พระเจ้าเสด็จ’ จัดการ ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้”
“เจ้าคิดว่าเจ้าแห่งนรกโง่ขนาดนั้นจริงเหรอ?” ดักลาสออกอาการตื่นเต้นแปลกๆ
เฟอร์นันโดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยอมรับ ”เขาไม่น่าโง่ ถ้างั้น…”
เขาหยุด เพราะนึกถึงอะไรบางที่สำคัญขึ้นมา
คนอื่นๆ อาจไม่รู้ว่าเจ้าแห่งนรกวางแผนใหญ่มาหลายสิบปีก่อน แต่เฟอร์นันโดรู้เรื่องนี้ดี!
“การที่เขาถูกซัดกลับนรกด้วยพลังพระเจ้าเสด็จหมายความว่าแผนใหญ่จริงๆ กำลังจะเริ่มขึ้น ไม่งั้นเขาคงไม่ขึ้นมาบนโลกด้วยตัวเอง ถึงกับยอมเจ็บตัวหนักๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของโป๊บ เราจะได้โอกาสในอีกไม่เกินครึ่งปี” ดักลาสลุกขึ้นยืนทันที ความสงบเข้ามาแทนที่ความตื่นเต้น
เฟอร์นันโดพยักหน้าเห็นด้วยกับการสรุปของดักลาส แฮททาเวย์ก็ลุกขึ้นกล่าวด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก “ข้าจะไปแจ้งข่าวกับท่านปู่”
ดาบแห่งสัจธรรมมีอายุมาเกือบสี่ร้อยปี เขาบาดเจ็บสาหัสจากการศึกอันดุเดือดที่ผ่านมา ซึ่งเขาเป็นแนวหน้านำการรบอย่างห้าวหาญ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงบั้นปลายชีวิต แล้วเมื่อสิบปีที่แล้ว การประกอบพิธีกรรมชั้นตำนานเพื่อต่ออายุก็ไม่สำเร็จ เขาต่ออายุมาได้เพียงสามสิบปีเท่านั้น ถ้ายังไม่สบโอกาส สภาเวทมนตร์คงสูญเสียพันธมิตรที่กำลังผิดหวังกับพฤติกรรมของศาสนจักร
ในฐานะกษัตริย์ ฮอฟเฟนเบิร์กไม่อาจทนต่อการกดขี่ขุนนางในตอนนี้ได้อีกต่อไป
“โอกาสนี้มาเร็วกว่าที่คิด พวกเจ้ายังไม่มีใครขึ้นชั้นตำนาน เรายังอ่อนแอกันอยู่” ดักลาสพูดด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ หลังการก่อตั้งสภา เฟอร์นันโดและแฮททาเวย์ก็แสดงให้เห็นพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม ส่วนโอลิเวอร์ก็เข้าสภาหลังพวกเขา ทุกคนมีศักยภาพพอจะขึ้นชั้นตำนานได้ ในกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตร ด้วยการเผยแพร่ความรู้ของ สภาเวทมนตร์ ทำให้วิเซนเต้ เอริก้า โอเว่น โธมัส เทอร์รี และคนอื่นๆ อีกหลายคนพัฒนาไปมากอย่างน่าทึ่ง ทุกคนถือว่าเป็นว่าที่ชั้นตำนานทั้งนั้น แต่เวลาน้อยเกินไปที่ชั้นตำนานรุ่นใหม่เกิดขึ้น”
“เฮ้อ.. ไม่ว่ายังไง เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เราก็เลี่ยงไม่ได้” แม้แต่ชายผู้ไร้ความกังวลอย่างเฟอร์นันโดก็ยังถอนหายใจ ถ้าพวกเขาล้มเหลวอีกครั้ง ก็แทบไม่มีทางกลับมาได้อีกแล้ว
“โชคดีที่ทั้งคอนกุสและอะมานาต้าขึ้นชั้นตำนานแล้ว ถ้าร่วมมือกับเจ้าแห่งความเยือกเย็น เนตรคำสาป และข้า อย่างน้อยเราก็มีพลังสูสีกับขุนนางโฮล์ม” ดักลาสยิ้มและพูดให้ทั้งสองคนสบายใจ
เฟอร์นันโดหัวเราะคิกคัก ”เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดที่ปลดปล่อยพลังสูงสุดได้ ตั้งแต่เจ้าอยู่ระดับสาม น่าเสียดายที่ใช้เวลานานกว่าเจ้าจะพัฒนาถึงขั้นสูงสุด”
“ในโลกนี้มีเรื่องประหลาดมากมายพอๆ กับดวงดาว สำหรับจอมเวทอย่างเรา คำว่าจุดสูงสุดไม่มีอยู่จริง” ดักลาสตอบอย่างเฉียบขาด
แฮททาเวย์พูดแทรกขึ้น “ข้าได้ตั้งกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุขึ้นใหม่”
“ฮะ?” เฟอร์นันโดหันไปมองนางอย่างสับสน สงสัยว่านางจะตั้งกลุ่มเจตจำนงแห่ธาตุขึ้นมาอีกทำไม นางคิดจะถอนตัวจากสภางั้นรึ?
“ต่อไปถ้าสภาเริ่มดึงกลุ่มอื่นๆ มาอยู่ใต้อาณัติ แทนที่ร่วมมือแบบเสมอภาค เจตจำนงแห่งธาตุจะเป็นตัวอย่างให้เห็น” แฮททาเวย์คิดเรื่องนี้มานาน แล้วจึงพูดค่อนข้างคล่องแคล่ว
เฟอร์นันโดเบะปาก “สมเป็นความคิดของเจ้าจริงๆ…”
อย่างไรก็ตาม การตั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างแน่นอน
“อย่าบุ่มบ่าม แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมและคว้าโอกาสนี้ให้ได้!” ดักลาสสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กำหมัดขวาแน่นโดยไม่รู้ตัว
……………………………………………………………………………………