Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 910 นครลอยฟ้า ตอนอวสานศึกบัลลังก์อาคาร์นา
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 910 นครลอยฟ้า ตอนอวสานศึกบัลลังก์อาคาร์นา
หลังจากดักลาสกล่าวจบ นักเวททั้งหมดก็แยกย้ายไปยังที่ต่างๆ อย่างเงียบๆ ด้วยความมุ่งมั่น พร้อมปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ไม่มีใครตื่นเต้น กระวนกระวาย หรือฉุนเฉียว แต่ทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น หลังจากพิจารณาอย่างสมเหตุสมผลแล้ว
เรารู้ว่าเราต้องการอะไร และรู้ว่าเราจะสูญเสียอะไร!
หลังจากที่นักเวททยอยกันออกไป นักเวทชั้นตำนานก็กลับไปถึงที่มั่นของกลุ่มของตนผ่านมิติพิเศษ ดักลาสก็ถอนหายใจเบาๆ และบอกกับเฟอร์นันโด “ถึงเวลาที่เราจะต้องลงมือแล้ว”
เฟอร์นันโดไม่ตอบอะไร แต่เดินตามหลังดักลาสลึกเข้าไปในถ้ำ
ยามรุ่งสาง ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงกำลังขึ้นสู่ท้องฟ้า ขับความมืดมิด และนำพาแสงสว่างเข้ามา
ตอนนั้น ทุ่งโล่งราบใกล้ๆ กับนครเรนทาโตเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เสียงดังสนั่นดังออกมาจากส่วนลึกในแผ่นดิน จนสัตว์ตกใจกลัวพากันหนีไปหมด
ตู้ม!
แผ่นดินถล่มลงเป็นหลุมดำ รอยแยกของแผ่นดินจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายออกไป
คลื่นพลังเวทมนตร์อันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้นในหลุม แสงระยิบระยับจากพลังเวทมนตร์เกือบจะบดบังดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า
วาเลนไทน์ พระคาร์ดินัลหลวงผู้ดูแลเรนทาโต ไม่อาจเพิกเฉยกับเสียงดังสนั่น เขารีบเปิดใช้งานวงเวทศักดิ์สิทธิ์ของเรนทาโต นำคณะนักบวชแดงและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากคณะไต่สวนไปยังที่เกิดเหตุ
ในฐานะนักบุญ เขาไม่อาจซ่อนตัวอยู่ในเรนทาโตโดยไม่ต้องลงมือตรวจสอบหรือทำอะไรเลย นักเวทไม่มีสิทธิทำอะไรตามอำเภอใจ!
เมื่อไหร่กันที่เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในอาณาเขตของนักบุญแห่งสัจธรรม?
แม้ว่าศัตรูจะมีนักเวทชั้นตำนานมากกว่าสามคน แต่เขาเชื่อว่ายังสามารถเอาตัวรอดได้ ตราบใดที่ไม่ได้บังเอิญเผชิญหน้ากับนักเวทชั้นตำนานสูงสุด
เมื่อเขาบินตรงไปยังพื้นที่ราบ เขาขอกำลังอัศวินจากนักบวชแดงให้คอยติดตามช่วยเหลือเขา
บิชอปและบาทหลวงจึงถูกส่งไปยังค่ายของอัศวินดาบแห่งสัจธรรม อัศวินพิพากษา และอัศวินนักบุญกางเขน เพื่อเร่งให้ออกเดินทาง
“นับวันพวกขุนนางยิ่งเกียจคร้าน ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนตอนเมื่อก่อน เราต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้!” นักบวชที่มีความคิดคล้ายๆ กันก็มาถึงค่ายอัศวิน
“พวกเจ้าไปล้อมที่เกิดเหตุไว้เดี๋ยวนี้!” บิชอปสั่งการอัศวินดาบแห่งสัจธรรม
ชาร์ป “พระสิริสีคราม” ไม่อยู่ที่นี่ อัศวินผู้มีนามว่า เชสก์ “ทัณฑ์มหาประลัย” จึงลุกขึ้นตอบอย่างเย็นชา “ตามรับสั่งของฝ่าบาท ห้ามอัศวินคนไหนออกจากค่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต!”
“หมายความว่ายังไง?” บิชอปโวยวายด้วยความหัวเสีย
เชสก์ก็ยังตอบแบบเอื่อยเฉื่อย “ก็หมายความตามนั้น”
“เจ้าจะทรยศต่อพระเจ้าหรือไง? เจ้าถูกนักเวทปั่นหัวเข้าแล้ว!” บิชอปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้าจะถูกตัดสินและเผาทั้งเป็น!”
เชสก์โบกมือขวา แล้วสายฟ้าสีเงินก็ผ่าลงพื้นดินจนกลายเป็นหลุมลึกตรงหน้าบิชอป
เขาจ้องตาบิชอป แล้วพูดว่า “พูดอีกคำ เจ้าตาย เข้ามาอีกก้าว เจ้าตาย”
“เจ้า!” บิชอปตกตะลึง เขาไม่คิดว่าอัศวินผู้สูงศักดิ์จะดูหมิ่นผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ถึงเพียงนี้
เขามองไปรอบๆ และหวังว่าจะพบอัศวินที่พร้อมปกป้องพระเกยีรติของพระเจ้าได้
ดาบถูกชักออกมา คมดาบสะท้อนแสงเย็นยะเยือกภายใต้แสงตะวัน อัศวินทุกคนในค่ายมองดูบิชอปด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย
พวกเขาเอือมระอากับนักบวชหน้าโง่เกินทนแล้ว!
ศาสนจักรถูกแบ่งแยก ลองดูสิว่ายังจะหยิ่งผยองไปถึงเมื่อไหร่!
บิชอปผงะถอยหลังด้วยความกลัว ไม่อยากเชื่อว่านี่คืออาณาจักรโฮล์มที่เทิดทูนบูชาพระสิริของพระเจ้ามาตลอด
ณ พระราชวังเนคโซ ดาบแห่งสัจธรรมประทับอยู่บนบัลลังก์ จ้องมองความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างครุ่นคิด รอยแตกของมิติมายาปรากฏขึ้นลางๆ ฉายภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบนพื้นที่ราบ
ด้านนอกวิหารเหล่าดยุค เอิร์ล และขุนนางตำแหน่งอื่นๆ ก็มารวมตัวกัน เฝ้ามองประตูที่ปิดสนิทและรอคำบัญชาจากกษัตริย์ของตนอยู่เงียบๆ ในตอนนี้ พวกเขาปฏิบัติตามคำปฏิญาณและพร้อมมอบทุกอย่างให้กับเจ้าผู้ปกครองที่พวกเขาสาบานว่าจะจงรักภักดี
ถ้าไม่ใช่เพราะการกดขี่จากศาสนจักรมาหลายปี ซึ่งทำให้ทุกคนต้องอยู่ในความหวาดกลัวทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขาคงไม่สมัครสมานสามัคคีกันขนาดนี้
แสงไฟในหลุมบนที่ราบนั้นสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศความกดดันที่ทั้งงดงามและน่าขนลุกแผ่ซ่านออกไป เห็นได้ลางๆ ว่ามีเมืองขนาดใหญ่กำลังลอยขึ้นมาจากเบื้องล่าง
ตอนที่นักบุญวาเลนไทน์มาถึงที่นี่พร้อมนักบวชแดงและคนใหญ่คนโตจากคณะไต่สวน เขาก็เห็นเมืองขนาดเท่าภูเขาที่ลอยขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าภายใต้แสงไฟ
“เมืองลอยฟ้า? มีนักเวทพยายามสร้างเมืองลอยฟ้า?” วาเลนไทน์คิดด้วยความประหลาดใจ แผนสร้างเมืองลอยฟ้าในจักรวรรดิเวทมนตร์ล้มเหลวมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งไม่ใช่หรือ?
“เมืองนี้มีนามว่าอัลลิน เป็นภาษาซิลวานาส หมายถึง ‘เมืองในท้องฟ้า’” ด้วยเสียงประกาศอันกึกก้อง นักเวทในชุดเสื้อคลุมสีดำปรากฏตัวตรงหน้าเมืองลอยฟ้าที่มีแสงสว่างไสว
“ดักลาส ประธานสภาเวทมนตร์”
วาเลนไทน์ตื่นตระหนก เขาจำนักเวทคนนี้ได้
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ดักลาสลงมือปฏิบัติการหลายครั้ง ช่วยชีวิตนักเวทไว้ได้มาก และสังหารนักบวชกับพวกผู้พิทักษ์ราตรีไปมากมาย เขามีรายชื่ออยู่ในบัญชีกวาดล้าง
ดักลาสจ้องมองพวกเขาอย่างครุ่นคิดเอาจริงเอาจัง ทันใดนั้นลูกโลกสวรรค์รูปร่างประหลาดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“สวรรค์แห่งดวงดาว!”
บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในเป็นความมืดมิดไร้ขอบเขต ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับเต็มไปหมด วาเลนไทน์กับพรรคพวกถูกขัง
ณ วิหารภายในพระราชวังเนคโซไม่มีใครเลย นอกจากฮอฟเฟนเบิร์ก
แต่เขาก็พูดออกไปลอยๆ “ดักลาสไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เขาวางแผนสังหารวาเลนไทน์ ทั้งๆ ที่อยู่ระดับเดียวกันแท้ๆ”
“หึหึ” มีคนส่งเสียงออกมาจากความว่างเปล่าตรงหน้า เขาคือโป๊บเกรกอรีที่รบกับพวกนอกรีตที่แนวรบตอนเหนือ
ในฐานะกษัตริย์แห่งอาณาจักรใหญ่ เขามีวิธีติดต่อหาโป๊บลับๆ
นักบวชที่กลับมาจากค่ายอัศวินด้วยความหัวเสียต่างก็ต้องตกใจและหวาดกลัว หลังจากหารือกันพักใหญ่ พวกนักบวชตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับกษัตริย์ซึ่งๆ หน้า และดูว่ากษัตริย์คนนี้กล้าพอที่จะยอมรับว่าทรยศต่อพระเจ้าหรือไม่!
ทันใดนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมทั้งเมืองก็หายวับไป แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เป็นไปได้ยังไง?”
นักบวชต่างมองหน้ากันอย่างลนลาน คลื่นความหวาดกลัวยังไม่หายไป แต่ทำไมวงเวทพลังศักดิ์สิทธิ์ถึงหายไปแล้ว?
“พระราชวังเนคโซ!”
“ฝีมือฮอฟเฟนเบิร์ก!”
ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น วงเวทพลังศักดิ์สิทธิ์มีแกนควบคุมสองจุด จุดหนึ่งตั้งอยู่ในอาสนวิหาร และอีกจุดอยู่ในพระราชวังเนคโซ!
“เขาเข้าข้างนักเวทจริงๆ เหรอเนี่ย?” เหล่านักบวชคิดวิตกด้วยความกลัวและตกใจ
ตู้ม!
มีเสียงระเบิดดังสนั่นในเขตขุนนางใกล้กับพระราชวังเนคโซ นักบวชต่างหวาดกลัว เมื่อเห็นหอคอยเวทมนตร์โผล่ขึ้นมาและก่อร่างสร้างตัวอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจเวทมนตร์!
ดูเหมือนมีการเตรียมมาเป็นเวลานานแล้ว มิฉะนั้น ไม่มีวันสร้างวงเวทเสร็จเร็ว!
หอคอยเวทมนตร์ตั้งอยู่ในเขตขุนนางงั้นรึ?
เหล่านักบวชต่างรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
ตู้ม!
หอคอยเวทมนตร์สีดำกำลังตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ซาคลีย์ พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญของเมืองหลวงราชรัฐคาเลส์ ทำได้เพียงมองตาปริบๆ ด้วยความตกใจและหวาดหวั่นในอาสนวิหาร ซึ่งเปิดระบบป้องกันทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่เขาเห็น เรย์มอนด์ “สายลมนิรนดร์” ยืนอยู่ข้างๆ แอตแลนต์ “เนตรคำสาป”!
ตู้ม!
ในเมืองหลวงของราชอาณาจักรบริแอนน์ ในเมืองแคสวิก ซึ่งเป็นเมืองหลวงของทัพพันธมิตรแนวชายฝั่งตอนเหนือ และในเมืองหลวงของอาณาจักรโคเล็ตต์ หอคอยเวทมนตร์ลักษณะคล้ายๆ กันก็ผุดขึ้นทีละหลังๆ ประกาศให้โลกรับรู้ถึงการกลับมาของนักเวท!
ส่วนพระคาร์ดินัลหลวงของแต่ละเมือง (ไม่มีใครมีพลังชั้นตำนาน เพราะเมืองเหล่านั้นไม่ใช่ปราการหลักของศาสนจักร) บางคนถูกสังหาร บางคนหนีตายเข้าไปหลบในอาสนวิหารที่มีพลังพลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง พวกเขาต่างร้องขอความช่วยเหลือจากศาสนจักร แต่ศาสนจักรกำลังทำศึกกับศาสนจักรฝ่ายเหนือ ทำได้เพียงส่งชั้นตำนานมาช่วยสองสามคน ศาสนจักรกำลังถูกศัตรูรอบด้านรุมกินโต๊ะ
อีกด้านหนึ่ง คณะไต่สวนของเมืองโคคัสก็เต็มไปด้วยซากศพ
ไม่ใช่ศพ เพราะศพพวกนี้กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และเดินตามหลังวิเซนเต้
เขาเดินไปทั่วคณะไต่สวนและห้อมล้อมด้วยกองทัพอันเดด จนมาเห็น “หมาบ้า” ที่กำลังขวัญหนีดีฝ่ออยู่ในห้องผู้สอบสวน
“วิเซนเต้?” การสังหารหมู่ในเมืองครั้งก่อนทำให้เขารู้ว่าวิเซนเต้ยังไม่ตายและกลับมาแก้แค้น
ขณะมอง “หมาบ้า” ชายที่ใบหน้าดูแก่ชราลงตามกาลเวลา วิเซนเต้พูดอย่างเยือกเย็น “เจ้าได้รับเกียรติให้เป็นเครื่องสังเวยชุบชีวิตเชอร์ลีย์”
ขณะที่เขาพูด “หมาบ้า” ยกมือขึ้นบีบคอของตัวเอง เขาคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด แต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้
แล้วร่างของเขาก็แข็งทื่อ และถูกเก็บลงโลงศพพิเศษของวิเซนเต้
…
นักเวทเข้าไปในนครเรนทาโตทีละคนๆ เมื่อมองหอคอยเวทมนตร์สูงตระหง่าน พวกเขาต่างก็มีความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง หอคอยเวทมนตร์ และพวกเขาเอง สามารถปรากฏตัวต่อสาธารณะได้แล้วในที่สุด!
ณ พื้นที่ราบ จักรวาลอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสลายไปแล้ว ศพจำนวมากร่วงกราว แต่ดักลาสยังอยู่ลอยอยู่บนท้องฟ้า นครลอยฟ้าข้างหลังเขาเริ่มทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว!
“เขาเป็นปีศาจที่มีพลังรบระดับตำนานจริงๆ” ฮอฟเฟนเบิร์กกล่าวชมอย่างไม่ถือตัว
จากความว่างเปล่าตรงหน้า เสียงของเกรกอรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าต้องการอะไร?”
ณ ตอนนี้ เขาต้องพึ่งพาพลังของขุนนาง เขาจึงต้องถามออกไปตรงๆ
“การทบทวนตัวเองของศาสนจักร ศาสนจักรต้องรู้จักขอบเขต” ฮอฟเฟนเบิร์กตอบนิ่มๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดเรื่องสัพเพเหระ
“ทบทวนตัวเอง? ขอบเขต?” เกรกอรีหัวเสียไม่น้อย
“ใช่” ฮอฟเฟนเบิร์กไม่ลดราวาศอก เขาบรรจงจับดาบแห่งสัจธรรมข้างกายด้วยมือขวา
…
นครลอยฟ้า ซึ่งดูเหมือนภูเขากลับหัว ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวอาคารในเมืองผ่านการซ่อมแซม ไม่เหลือร่องรอยปรักหักพัง
ตู้ม!
หลังจากลอยไปถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ แสงก็ดับลง นครลอยฟ้าสั่นสะเทือนไปมาเบาๆ
นักเวทที่อยู่ใกล้ๆ พื้นที่ราบและในเมืองเรนทาโตต่างเฝ้าดูมันด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก กลัวว่าเมืองทั้งเมืองอาจร่วงลงมา
แผ่นดินไหวหยุดนิ่ง เมืองขนาดมหึมาก็ลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง แถบพลังและสัญลักษณ์เวทมนตร์ค่อยๆ เปล่งแสงระกายระยิบระยับ ก่อเป็นป้อมปราการป้องกันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า!
“มัน… มันลอยได้จริงๆ…”
“นั่นมันเมืองลอยฟ้า…”
นักเวทหลายคนยกมือปิดปาก เพราะไม่อยากร้องไห้ออกมาเสียงดัง ความพยายามของจักรวรรดิเวทมนตร์ที่ไม่เคยสำเร็จ กลับมาลุล่วงเอาในยุคที่มืดมนที่สุด! นครลอยฟ้ายังเป็นสัญญาณว่าการใช้ชีวิตเหมือนหนูติดจั่นของนักเวทสิ้นสุดลงแล้ว!
อนาคตอาจจะยากลำบากกว่านี้ แต่ยังมีแสงสว่าง!
นักบวช ขุนนาง และสามัญชนต่างอยู่ในอารามประหลาดใจ นครลอยฟ้า เป็นที่ประทับของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมกลับถูกนักเวทขโมยไปครอบครอง?
ดักลาสเร่งใช้เวทมนตร์ขยายเสียงและประกาศอย่างกึกก้องตรงหน้านครลอยฟ้า “ที่นี่คืออัลลิน นครลอยฟ้า และฐานบัญชาการของสภาเวทมนตร์!”
คำพูดของเขาสั้นและเรียบง่าย แต่นักเวททุกคนต่างได้ยินเสียงเขาร่ำไห้
…………………………………………………………………………………..