Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 135 พ่อบ้านพ่อเรือน
บทที่ 135 พ่อบ้านพ่อเรือน
บทที่ 135 พ่อบ้านพ่อเรือน
พนักงานต่างมองกันไปมาโดยไม่กล้าพูดอะไร เหล่าหญิงสาวที่ดูจะเห็นด้วยเมื่อกี้ต่างก็ก้มหน้าลง
เมื่อเฉินเฉินเห็นว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ความโกรธก็เริ่มลดลง ขณะที่เขากำลังจะพูดขึ้น จู่ ๆ ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีก็ลุกขึ้น
“ประธานเฉิน ผมร่างกายไม่แข็งแรง คงจะทำงานให้บริษัทนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
คนที่พูดขึ้นเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของบริษัท และยังเป็นบุคคลที่อยู่ในงานหมั้นของเฉินเฉินและเหอมี่มี่ด้วย และเป็นเขาที่ชักจูงให้พวกผู้หญิงมองผู้ชายให้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง
เฉินเฉินคิดไม่ถึงว่าเขาจะลาออกจากบริษัท “ลุงฟาง ไม่ลาออกไม่ได้เหรอครับ? ถ้าร่างกายลุงไม่แข็งแรง ผมจะเพิ่มวันหยุดให้ รอจนคุณรักษาจนหายดีค่อยกลับมาทำงาน”
ชายวัยกลางคนยิ้มและส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอกประธานเฉิน”
คำพูดที่ราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความหมายหนักแน่น
สีหน้าของเฉินเฉินเปลี่ยนไปทันที ความสำคัญของลุงฟางที่มีต่อบริษัทไม่เพียงแค่เป็นผู้ร่วมสร้างบริษัทด้วยกันมา แต่สิ่งสำคัญก็คือเขามีความรู้และประสบการณ์ด้านการทำของเล่นอย่างเป็นมืออาชีพและเป็นคนที่ช่วยให้บริษัทเฉินอีเอาชนะความยากลำบากมามากมาย
อีกทั้งลุงฟางเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่สนใจเรื่องกำไรหรือขาดทุน คิดแต่เรื่องการพัฒนาบริษัทอย่างแท้จริง
การมีคนแบบนี้อยู่เป็นเรื่องดีต่อบริษัทมาก
ในขณะนั้นเองลุงฟางจุดบุหรี่ขึ้นมา ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องประชุม หันแผ่นหลังผอมบางให้ทุกคนและจากไป
ส่วนเฉินเฉินโบกมือขึ้นเพื่อแสดงว่าเลิกการประชุม และรีบตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะขวางชายวัยกลางคนเอาไว้ที่หน้าประตูของบริษัท
“ลุงฟาง ที่บริษัทนี้เติบโตได้มากขนาดนี้ก็เป็นฝีมือของคุณที่สร้างมันขึ้นมานะครับ คุณทนได้เหรอที่จะวางมือไปง่าย ๆ แบบนี้?”
ชายวัยกลางคนพ่นควันบุหรี่ออกมา “ฉันตัดสินใจแล้ว คุณไม่ต้องโน้มน้าวใจอะไรอีกแล้ว”
แม้ในดวงตาของเขามีความอาลัยอาวรณ์อยู่ก็ตาม “ในเมื่อฉันไม่ใช่คนของบริษัทแล้ว และอายุมากกว่าคุณหลายปี งั้นขอเรียกคุณว่าเฉินเฉินแล้วกัน ที่ฉันยังอยู่บริษัทนี้เพราะชอบที่จะได้ต่อสู้กับพวกคุณไปพร้อมกับความรู้สึกในการทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่ตอนนี้ฉัน… หาความรู้สึกนั้นไม่พบแล้ว”
เฉินเฉินยังคงพยายามโน้มน้าว “เรื่องการนอกใจเป็นความผิดของผมเอง แต่ถ้าคุณให้โอกาส ผมจะปรับปรุงตัวครับ”
“เฉินเฉิน ใคร ๆ ก็มีช่วงเวลาที่เดินทางผิดกันทั้งนั้น ฉันเข้าใจแต่ไม่ให้อภัย ซูโย่วอี๋ทุ่มเททุกอย่างให้คุณ คุณทำคนดี ๆ แบบนี้หล่นหายไป มันเป็นการลงโทษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวคุณเอง คนนอกอย่างพวกเราจะยอมให้อภัยหรือไม่มันไม่สำคัญเลย”
ชายวัยกลางคนทิ้งก้นบุหรี่ลงก่อนที่จะตบเบา ๆ ลงที่บ่าของเฉินเฉิน “ไม่ต้องไปส่งหรอก”
เฉินเฉินยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานก่อนจะกลับไปยังห้องทำงาน
เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง หยิบกรอบรูปสีขาวออกมาจากลิ้นชักชั้นล่างของโต๊ะ ในนั้นคือรูปคู่ของเขากับซูโย่วอี๋
การหย่าร้างคือเรื่องที่เขาทำผิดพลาดมากที่สุด แต่ถึงยังไงก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว
ในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือการบริหารบริษัทให้ดี ไม่สามารถให้เกิดข้อผิดพลาดได้
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้น
“เชิญครับ”
ชายสามคนเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเอกสาร “ประธานเฉิน พวกเราคือพนักงานของอิงเสวียนโยวผิ่น ท่านนี้คือหัวหน้าแผนกการจัดการเชิงกลยุทธ์ของพวกเรา เรามีเรื่องธุรกิจที่อยากคุยกับคุณครับ”
อิงเสวียนโยวผิ่นเป็นแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีชื่อเสียงและเติบโตอย่างรวดเร็ว มีร้านค้าในเครือทั่วประเทศ เมื่อก่อนเฉินเฉินพยายามหาโอกาสเพื่อร่วมทุนกับพวกเขามาโดยตลอด คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาเอง
ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนในทันที และจับมือกับหัวหน้าแผนก “เชิญนั่งครับ”
ก่อนที่จะเปิดประตูเพื่อเรียกให้พนักงานแผนกต้อนรับมาเสิร์ฟน้ำ และนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะลาออกไป จึงได้ดึงตัวผู้หญิงคนหนึ่งให้มาดูแลชั่วคราว
ดูเหมือนว่าตำแหน่งที่ว่างอยู่จะต้องได้รับการเติมเต็มโดยเร็วที่สุดแล้ว
พวกเขาทักทายกันไม่กี่ประโยค หัวหน้าแผนกบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นก็เข้าเรื่องในทันที “ประธานเฉินน่าจะรู้ว่าบริษัทของพวกเรารวบรวมสินค้าราคาถูกและคุณภาพสูง โอกาสนี้ผู้จัดการใหญ่ของเราเห็นสินค้าของพวกคุณว่าวัสดุที่ใช้ดี เหมาะสมต่อการเล่นของเด็ก และราคาก็ไม่แพง จึงได้ส่งพวกเรามาเพื่อหารือเกี่ยวกับการนำของเล่นของบริษัทของคุณเข้าสู่ร้านค้าของบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นอย่างเต็มรูปแบบ”
เฉินเฉินยังคงรักษาความเฉียบคมทางธุรกิจเอาไว้ “ขอรบกวนสอบถามหน่อยครับ ผู้จัดการใหญ่รู้จักบริษัทของพวกเราจากทางไหน?”
แม้ว่าชื่อเสียงของบริษัทเฉินอี้จะมีไม่น้อย แต่ธุรกิจก็ไม่ได้ใหญ่โต โดยปกติมักจะมีขายตามร้านค้าทั่วไปเท่านั้น
“ร้านถงเปย พูดไปแล้วก็เหมือนพรหมลิขิต ผู้จัดการใหญ่พักอยู่แถวนี้พอดี”
แบบนี้ค่อยสมเหตุสมผลหน่อย ร้านถงเปยเป็นหนึ่งในร้านจัดจำหน่ายโดยตรงของบริษัท
เฉินเฉินพยักหน้า “พวกคุณต้องการเท่าไหร่?”
หัวหน้าหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมา “คุณลองดูก่อน บริษัทของผมร่างสัญญาเอาไว้แล้ว เบื้องต้นมีแผนสั่งซื้อตุ๊กตาหมีเจ็ดแสนตัว พวกเราทำการวิจัยมาแล้วว่านี่คือผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของบริษัทคุณ”
เยอะขนาดนี้เลยเหรอ!
เฉินเฉินรู้สึกตกใจเล็กน้อย แน่นอนว่าด้วยขนาดของอิงเสวียนโยวผิ่นก็สามารถจัดวางสินค้าพวกนี้ได้ แต่คำสั่งซื้อรายการใหญ่ที่มาอย่างกะทันหันแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกสงสัยในใจ
หลังจากพลิกสัญญาไปมา ราคาของตุ๊กตาทุกตัวอยู่ที่ 20 หยวน ซึ่งหมายความว่าถ้าสัญญาข้อตกลงในครั้งนี้สำเร็จ ราคารวมของคำสั่งซื้อนี้จะมีมูลค่าหลายสิบล้าน!
พอคิดอย่างนั้น ใจของเฉินเฉินก็เต้นแรง นี่คือโอกาสที่เขาจะพัฒนาเป็นบริษัทใหญ่ได้ ผลประโยชน์ที่จะได้จากการเข้าร่วมอิงเสวียนโยวผิ่นไม่ใช่แค่กำไรเพียงครั้งเดียว แต่ยังมีรายได้ที่จะตามมาอีกเรื่อย ๆ
ไม่ต้องพูดถึงการส่งเสริมและเปิดตัวแบรนด์ของบริษัทต่อสาธารณชนเลย
“ผมขอทบทวนอีกหน่อย และจะให้คำตอบพวกคุณภายในสามวันครับ”
คนของบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นไม่รีรอและยืนขึ้นในทันที “ถ้าอย่างนั้นผมจะรอการตอบกลับจากคุณครับ”
จากนั้นเฉินเฉินเชิญพวกเขาทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่คนของบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นปฏิเสธแบบยิ้ม ๆ “หลังจากได้เป็นหุ้นส่วนกันแล้ว พวกเรายังมีโอกาสอีกมาก”
รอจนทุกคนจากไป เฉินเฉินต้องการไปหาลุงฟางเพื่อหารือในทันที แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับลาออกไปแล้ว
แม้จะอยากโทรหา แต่สุดท้ายก็วางโทรศัพท์ลง
ในใจของเฉินเฉินมีความทะเยอทะยานเกิดขึ้นมา เขาต้องการคว้าโอกาสในครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ให้ซูโย่วอี๋และลุงฟางเห็นว่าต่อให้เขาเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองได้
อีกด้าน เมื่อคนของบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นออกไป คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าได้ควักเงินออกมาสองปึกและมอบให้กับคนด้านหน้า “เรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามพูดออกไป รอให้ปลาติดเบ็ดพวกเราค่อยแสดงต่อ”
คนที่แสดงเป็นนักธุรกิจเมื่อครู่นี้รับเงินมาอย่างมีความสุข “ครับ สามารถเรียกใช้พวกเราได้ตลอดเวลาเลยครับ”
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็ได้รับเงินมาถึงหนึ่งพันหยวน ได้เงินเยอะมากกว่าการแสดงเป็นตัวประกอบเสียอีก
เมื่อแบ่งเงินเสร็จ หัวหน้าก็โทรศัพท์ [คุณเหอ จัดการเรียบร้อยแล้ว]
ณ เป่ยสืออี้ผิน
เวลานี้ซูโย่วอี๋และซูหยินทำอาหารเสร็จแล้ว
“หรือเราเรียกคนมาเพิ่มดี อาหารเยอะขนาดนี้เราสามคนคงกินไม่หมด อีกอย่างเธอกับลู่เฉินก็มาเป็นคู่ ฉันเบื่อตายแน่”
ซูโย่วอี๋เองก็คิดเช่นนั้น จึงได้ให้ลู่เฉินช่วยชวนกู่อวี๋เฉิง สุ่ยเวยและเหมยเหมยมากินข้าวที่บ้านด้วยกัน
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ซูหยินจึงเดินออกไป “เธอดูเตาด้วยนะ ฉันจะไปเปิดประตู”
คนที่มาถึงคนแรกคือกู่อวี๋เฉิง ในมือของเขาถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมมาด้วย
ซูหยินเลิกคิ้ว “คุณอวี๋ที่รัก มาไวจัง แล้วเอาของขวัญอะไรมาอีก?”
กู่อวี๋เฉิงส่งกล่องนั้นให้เธอ หลังจากเปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็ตามซูหยินเข้าไป พอถึงห้องครัวก็ทักทายซูโย่วอี๋
“ผมมาดูก่อนว่ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้บ้าง?”
ซูหยินยืนกอดอกพิงประตู “ดูไม่ออกเลยว่ารองประธานกู่ก็เป็นพ่อบ้านพ่อเรือน”
ซูโย่วอี๋ให้เขาช่วยอย่างเกรงใจ “คุณไปพักที่ห้องรับแขกเถอะค่ะ อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”
กู่อวี๋เฉิงผูกผ้ากันเปื้อนอย่างชำนาญก่อนที่จะชี้ไปยังผักสดในอ่าง “อันนี้ต้องผัดไหมครับ?”