Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 139 ทำร้ายคนอื่น
บทที่ 139 ทำร้ายคนอื่น
บทที่ 139 ทำร้ายคนอื่น
ซูโย่วอี๋คิดทบทวนไม่หยุด “คุณติดต่อรายการพวกนี้ไปแล้ว หรือนี่เป็นเพียงความคิดเห็นเบื้องต้น?”
“80% มีการจัดการไปแล้ว เหลือแค่ว่าคุณยินยอมเข้าร่วมหรือเปล่า? ถ้าคุณยินยอม ก็สามารถเซ็นสัญญากันได้เลย”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่สุ่ยเวยติดต่อไปหากลุ่มผู้จัดของรายการต่าง ๆ อีกฝ่ายดูเกรงใจมาก แม้แต่ผู้อำนวยการที่แสนจู้จี้จุกจิกของรายการ ‘นักร้องมีนัด’ ก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีถึงซูโย่วอี๋เลยแม้แต่น้อย
“ในทั้งสามรายการนี้ มีรายการ ‘นักร้องมีนัด’ และ ‘พรุ่งนี้ผมจะเป็นไอดอล’ ที่กำหนดการชนกัน จึงเลือกได้แค่หนึ่งรายการเท่านั้น ส่วนรายการ ‘วัยรุ่นสู้ฝัน’ มีกำหนดการถ่ายทำตอนสิ้นปี จึงไม่มีผลกระทบอะไร”
พูดง่าย ๆ ก็คือซูโย่วอี๋สามารถเซ็นสัญญาได้ถึงสองรายการ แต่การคัดเลือกบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปตามความสามารถนั้นต่างกันและค่อนข้างจริงจังมาก สุ่ยเวยแนะนำว่าเธอไม่ควรเลือกทั้งสองอย่างนี้ในเวลาเดียวกัน
ซูโย่วอี๋เปิดดูข้อมูลเบื้องต้นของรายการต่าง ๆ และตัดสินใจเข้าร่วมรายการ ‘วัยรุ่นสู้ฝัน’
แต่สุ่ยเวยไม่เข้าใจ “นักร้องมีนัด เป็นแหล่งรวมตัวของเหล่านักร้องมืออาชีพ และยังเป็นโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนภาพลักษณ์เสีย ๆ หาย ๆ คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เข้าร่วม?”
การจะเซ็นสัญญากับรายการ ‘นักร้องมีนัด’ นั้นเป็นเรื่องยากมาก แต่ซูโย่วอี๋ในตอนนี้สามารถได้โอกาสในการเข้าร่วมมาอย่างง่ายดายก็เพราะลู่เฉิน ถ้าหลังจากนี้ทั้งสองคนเลิกกัน รายการวาไรตี้คุณภาพสูงเช่นนี้จะมาถึงเธออีกเหรอ?
ซูโย่วอี๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ฉันคิดดีแล้ว”
แม้สุ่ยเวยจะดูไม่เห็นด้วย แต่ด้วยมุมมองและความเป็นมืออาชีพของเธอ ซูโย่วอี๋ได้รับโอกาสครั้งใหญ่ขนาดนี้ก็ควรจะต้องรีบคว้าเอาไว้ การรีบพัฒนาชื่อเสียงและตำแหน่งในวงการบันเทิงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด
แต่การพึ่งภูเขา ภูเขาก็อาจถล่มลง จะพึ่งคน คนก็อาจจะหนี มีเพียงการพึ่งพาตัวเองนี่แหละที่ดีที่สุด
“หรือคุณลองคิดดูอีกครั้งดีไหม?”
ซูโย่วอี๋ส่ายหัว “ฉันรู้ว่าคุณหวังดีกับฉัน แต่ในความคิดของฉัน ระดับความสามารถของฉันในตอนนี้ยังมีไม่มากพอที่จะเทียบกับเหล่านักร้องมืออาชีพพวกนั้นได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นให้ฉันได้ฝึกฝนตัวเองอย่างสบายใจไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยเข้าร่วม”
“ถ้าฉันจะทำ ฉันอยากทำให้ได้ดีที่สุด”
สุ่ยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในบางครั้งซูโย่วอี๋ก็ดื้อรั้นมาก “คุณไม่กลัวเหรอว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว คุณจะเสียโอกาสไป?”
“ฉันไม่กลัว”
ในดวงตาของซูโย่วอี๋เต็มไปด้วยความมั่นใจและความคิดในแบบคนหนุ่มสาวที่อ่อนต่อโลก สายตาของเธอสดใสราวกับทะเลดวงดาวที่ส่องประกายอยู่เต็มท้องฟ้า ทำให้ในใจของสุ่ยเวยสั่นไหว
และเธอมีลางสังหรณ์ว่าซูโย่วอี๋จะต้องได้รับความนิยมแน่นอน
“ตกลง งั้นเอาตามที่คุณคิดไว้ก็ได้”
“อาการบาดเจ็บของคุณก็ดีขึ้นมากแล้ว การเปิดตัวของเพลง ‘มิตรภาพอันยิ่งใหญ่’ ควรวางไว้ในวาระการประชุมโดยเร็วที่สุด ประมาณภายในสองวันนี้ เมื่อเรียบเรียงเพลงจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราจะรีบเผยแพร่ออกไปให้เร็วที่สุด”
เมื่อพูดคุยกันจนเสร็จ ซูโย่วอี๋และเหมยเหมยออกไปจากห้องทำงาน
เหมยเหมยกอดสมุดบันทึกเอาไว้ “พี่ซู อยากไปเห็นที่ทำงานของฉันหน่อยไหมคะ?”
ซูโย่วอี๋ที่กำลังว่าง ๆ อยู่ก็ตอบตกลงไปอย่างสบาย ๆ “ตกลง”
เธอตามเหมยเหมยไปยังชั้น 15 ซึ่งเป็นสถานที่ของเหล่าผู้ช่วย เธอเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู แต่พนักงานที่กำลังทำงานอยู่ในนั้นรีบยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน “สวัสดีค่ะคุณซู”
“สวัสดีครับแฟนท่านประธาน”
ซูโย่วอี๋แทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร
แต่เหมยเหมยกลับหัวเราะขึ้น “พวกคุณอย่าทำให้ศิลปินของฉันตกใจสิคะ ครั้งต่อไปเธอคงไม่มาหาฉันแล้ว”
หลาย ๆ คนยิ้มขึ้นมาในทันที เห็นได้ชัดว่าเหมยเหมยเป็นที่นิยมอย่างมากในบริษัท
มีคนรีบยกน้ำชามาให้ ซูโย่วอี๋รับมาและกล่าวขอบคุณพวกเขา “พวกคุณทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”
หลังจากที่เธอพูดขึ้น คนอื่น ๆ เลยนั่งลงทำงานของตัวเองต่อไป
หญิงสาวอยู่ในที่ทำงานของเหมยเหมยสักพัก และเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน ซึ่งเหมยเหมยยืนกรานว่าจะไปส่งเธอที่ชั้นล่างให้ได้
ระหว่างทางทั้งสองคนเดินคุยกันไปด้วย ไม่ได้สังเกตถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองพวกเธออย่างไม่พอใจ
นั่นก็คือผู้ช่วยคนเก่าของซูโย่วอี๋อย่างเหอชิ่น
โชคลาภมีขึ้นมีลง ถ้าให้เธอคิด เธอคงไม่มีทางนึกออกได้เลยว่าซูโย่วอี๋จะกลายมาเป็นแฟนของลู่เฉินได้
ถ้าตอนนั้นเธอไม่ดูถูก และยอมปล่อยไปตามน้ำ แค่อดทนไว้ก่อน รอให้เรื่องการนอกใจของซูโย่วอี๋ได้รับการตรวจสอบ จากนั้นค่อยคิดวางแผน คนที่ยืนคุยและยิ้มอยู่ข้าง ๆ ซูโย่วอี๋ในตอนนี้ก็คงจะเป็นเธอ
ต่อจากนี้ไปก็ต้องปล่อยไปตามสถานการณ์ คนที่มีอนาคตสดใสจะต้องเป็นของเธอ
แต่ในโลกใบนี้ นั่นเป็นเพียงจินตนาการ
ที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่ง
เหมยเหมยหยุดเดิน “พี่ซู ฉันส่งพี่ตรงนี้นะ เดินทางปลอดภัยค่ะ”
ซูโย่วอี๋เดินออกมาได้สองก้าว ก็ได้ยินเสียงดังมาจากจุดที่พนักงานตรวจบัตรเพื่อควบคุมการเข้าออก
มันเป็นเสียงแหลมของหญิงชราที่แสบแก้วหู “ปล่อยให้ฉันเข้าไป ฉันรู้ว่าเธออยู่ข้างใน”
เสียงของรปภ.ตอบกลับอย่างทำอะไรไม่ถูก “คุณไม่ได้นัดเอาไว้ไม่สามารถเข้าไปได้นะครับ ถ้ายังทำแบบนี้อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจนะครับ”
“อะไร ถ้ามีปัญหาก็ตีฉันเลย ฉันมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมลูกสะใภ้ ไม่ต้องให้พวกคนนอกอย่างพวกคุณมาพูดมาก ถอยไปซะ”
เสียงที่หายไปนานดังขึ้น ราวกับว่าซูโย่วอี๋สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าคนที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นใคร
อดีตแม่สามีสารเลวของเธอ!
ซูโย่วอี๋ที่อยู่ตรงหน้าทางออก เพียงมองผ่านช่องว่างระหว่างผู้คนไปก็เห็นใบหน้าหยิ่งผยองของคุณนายเฉินได้
หญิงชราสร้างความวุ่นวายที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อบริษัท คนที่มุงดูก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รปภ.สองคนมองหน้ากัน และตัดสินใจที่จะอุ้มหญิงชราคนนี้ออกไป
ประธานลู่ให้ความสำคัญกับหน้าตาของบริษัทเป็นอย่างมาก ถ้ายังปล่อยให้หญิงชรามาโวยวายอยู่แบบนี้ พวกเขาสองคนจะต้องถูกไล่ออกแน่ ๆ
ทันทีที่มือของพวกเขาสัมผัสไปยังหญิงชรา เธอก็ร้องตะโกนออกมา “พวกเขาทำร้ายฉัน บริษัทเฮงซวยนี้ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างไหม ผู้ชายตัวใหญ่สองคนรังแกหญิงชราตัวคนเดียวอย่างฉันเนี่ยนะ”
หลังจากนั้นเธอก็ทิ้งตัวและนั่งลงไปกับพื้น
ดวงตาของซูโย่วอี๋เริ่มเย็นชา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ จึงได้หมุนตัวเดินไปยังลิฟต์ตั้งใจว่าจะเดินออกไปทางลานจอดรถใต้ดิน
หลีกเลี่ยงการพบหน้าของคนคนนั้น ถ้าคุณนายเฉินหาไม่เจอ เธอก็คงจะออกไปเอง
ใครจะคาดคิดว่าคุณนายเฉินกลับจำเธอได้ทันทีที่เห็น และตะโกนขึ้น “ซูโย่วอี๋ เธอจะหนีไปไหน”
เธอลุกขึ้นยืนและรีบพุ่งตัวตรงมา
รปภ.ทั้งสองคนไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ จึงไม่ได้มีใครรั้งเธอไว้
ซูโย่วอี๋ที่เห็นว่าคุณนายเฉินกำลังวิ่งตรงมาทางเธอ ก็เลิกคิ้วขึ้น แต่กลับไม่ได้หนีอีกต่อไปและยืนรออยู่ที่เดิม
คุณนายเฉินจับมือเธอไว้แน่น “ผู้หญิงเลว ๆ อย่างเธอ เห็นฉันแล้วจะหนีทำไม?”
พูดขึ้นพร้อมกับกัดฟันไปด้วย ราวกับเธอได้ทำเรื่องชั่วร้ายอะไรลงไป
ซูโย่วอี๋ฝืนยิ้ม “คนที่หนีไม่ใช่คุณเหรอคะ?”
“พูดอะไร วันนี้ฉันมาหาเธอเพราะมีเรื่อง ห้องที่เขตหัวชีเป็นของลูกชายฉัน เธอรีบส่งคืนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
แรงจากมือของคุณนายเฉินเยอะมาก เธอหยิกแขนของซูโย่วอี๋จนเกิดรอยช้ำขึ้น
“เกรงว่าคุณคงจะแก่มากจนสายตามองอะไรไม่ชัด ในข้อตกลงการหย่าร้างมีอักษรตัวสีดำเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าห้องนั้นเป็นของฉัน!”
คุณนายเฉินไม่สนใจข้อตกลงอะไรทั้งนั้น ดวงตาคู่นั้นราวกับอาบยาพิษและเต็มไปด้วยความเกลียดชังราวกับจะกลืนกินเธอทั้งเป็น
“ผู้หญิงอย่างเธอมันไร้ยางอายจริง ๆ ห้องนั้นลูกชายฉันซื้อมาด้วยความยากลำบาก เธอบอกจะเอาก็เอาไปเฉย ๆ งั้นเหรอ? เธอทำอะไรให้ตระกูลเฉินของฉันบ้าง? แค่ไข่สักฟองยังไม่เคยมีให้ ยังมีหน้ามาเอาทรัพย์สินของตระกูลเฉินของพวกเราไปอีก”
ซูโย่วอี๋มองผู้คนรอบ ๆ ตัวที่ต่างพากันชี้นิ้วมาที่เธอ หัวใจของเธอพลันเย็นเฉียบอย่างหวาดกลัว