Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 144 เต็มใจให้คุณพึ่งพา
บทที่ 144 เต็มใจให้คุณพึ่งพา
บทที่ 144 เต็มใจให้คุณพึ่งพา
ซูหยินที่เห็นใบหน้ายุ่งเหยิงของเพื่อนสาวก็ถามขึ้น “เป็นอะไรไป?”
ซูโย่วอี๋ส่งข้อความที่สุ่ยเวยส่งมาให้ยื่นให้ซูหยินดู “เธอดูสิ”
ซูหยินกวาดตามอง “เป็นความลับ? แบบนี้มันไม่เคยมีมาก่อนเลยนะ”
นอกจากนี้สถานะปัจจุบันของสุ่ยเวยในวงการบันเทิง คงไม่ใช่ว่าสวีโหมวจะไม่เห็นหัวสักหน่อย
ซูโย่วอี๋จ้องโทรศัพท์ “จะทำยังไงดี?”
“จับประเด็นหลัก เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับส่วนสำคัญของนางรองอย่างฮั่วเสวียนให้เรียบร้อย เธอยังมีเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ ยังทันอยู่”
งั้นคงต้องรีบอ่านนิยายให้จบ
ซูหยินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “รีบเข้า เรื่องพวกนี้ให้สุ่ยเวยหาผู้เชี่ยวชาญมาจัดการให้ ให้พวกเขาช่วยรวมบทสำคัญให้ จะได้ง่ายต่อการฝึกซ้อม”
อีกด้าน บ้านเลขที่ 1037 ถนนเฟิ่งฮวง สถานที่ตั้งสำนักงานของทีมงาน ‘รักในฝัน’
สวีโหมวกำลังประชุมกับทีมสัมภาษณ์
หมู่บ้านแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งเป็นสถานที่ในการจัดประชุม ผู้สัมภาษณ์จากห้าเมืองที่เหลือจะเข้าร่วมการประชุมในรูปแบบวิดีโอ
ในตอนนี้ผมของสวีโหมวยาวและยุ่งเหยิง แก้มเหี่ยวย่น ดวงตาสงบนิ่งภายใต้กรอบแว่นสีดำทรงโบราณ และกำลังฟังรายงานจากลูกทีมถึงเรื่องความคืบหน้าในการคัดเลือกบทบาทนางเอกอย่างกู้ชิงเฉิง สวีโหมวจุดบุหรี่ขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
หลังจากที่แต่ละทีมรายงานจบ ทีมวิเคราะห์ข้อมูลที่นั่งอยู่ด้านข้างทำการสรุปผลในทันที “ผู้กำกับสวี การคัดเลือกในวันที่สิบได้จบลงแล้วครับ ทั้งหกทีมได้สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมไปทั้งหมด 10,786 คน มี 123 คนที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรก”
อัตราการผ่านเข้ารอบมีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์!
นักวิเคราะห์ข้อมูลหยุดไปครู่หนึ่ง “ผู้กำกับสวี มาตรฐานแบบนี้มันเข้มงวดมากเกินไปหรือเปล่า?”
สวีโหมวเขี่ยบุหรี่พลางพูด “ถ้าไม่เข้มงวด คนที่ถูกคัดออกก็ไร้ประโยชน์ และยังมีเหล่ามืออาชีพในการทดสอบขั้นสุดท้ายอยู่อีก”
ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเลยด้วยซ้ำ
พูดจบก็หันหน้ากลับมา “มีใครที่พวกคุณสนใจเป็นพิเศษบ้างไหม?”
เหล่าทีมสัมภาษณ์ต่างพากันแนะนำผู้เข้าร่วมสัมภาษณ์ที่โดดเด่นที่สุดมาพอสังเขป สวีโหมวฟังไปก็พยักหน้าไป “ดี พวกคุณทำงานกันเหนื่อยแล้ว จบประชุมได้”
ตามสถานการณ์ในตอนนี้ คนที่เข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายน่าจะไม่เกิน 300 คน เหล่าคนพวกนี้สวีโหมวจะเป็นผู้สัมภาษณ์ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นก็จะตัดสินเลือกนางเอกเลย
ผู้ช่วยผู้กำกับมองไปยังสวีโหมว “เมื่อกี้นี้สุ่ยเวยโทรศัพท์มาถามว่าเงื่อนไขในส่วนของการแคสติงนางรองคืออะไร?”
สวีโหมวเลิกตาขึ้น “อะไร เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ก็สนใจด้วยเหรอ?”
“ครับ เหมือนจะเป็นเด็กใหม่ที่สุ่ยเวยดูแลอยู่ ชื่อว่าซูโย่วอี๋”
มือที่ถือบุหรี่อยู่ของสวีโหมวหยุดชะงัก ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหน
ผู้ช่วยผู้กำกับเสริมขึ้น “แฟนสาวคนปัจจุบันของลู่เฉินครับ ที่เมื่อสองวันก่อนมีข่าวการหย่าร้างและการนอกใจซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงและสร้างความวุ่นวายในอินเทอร์เน็ต”
ทันใดนั้นสวีโหมวก็นึกขึ้นได้ “อ๋อ เป็นเธอนี่เอง”
เมื่อนึกถึงใบหน้าของซูโย่วอี๋ สวีโหมวพยักหน้า “ผู้หญิงคนนี้หน้าตาไม่เลว รู้จักการปรับตัวได้ดี จะว่าไปก็เหมาะกับบทฮั่วเสวียนอยู่นะ”
“ผมนัดสุ่ยเวยให้พาเธอมาแคสติงวันพุธหน้าแล้ว”
สวีโหมวไม่ได้พูดอะไร อำนาจในส่วนนี้ก็ยังคงเป็นของผู้ช่วยผู้กำกับ
“แต่การที่คุณไม่เปิดเผยส่วนของการแคสติงบทฮั่วเสวียนในครั้งนี้ ทำให้บริษัทหลายแห่งสับสนน่ะครับ”
สวีโหมวหัวเราะ “ฉันแค่อยากรู้ว่าถ้าเปิดเผยในวันแคสติงเลย คนพวกนี้จะแสดงออกมายังไงต่างหาก”
นั่นหมายความว่าจะไม่มีคลิปในส่วนของการแคสติงหลุดออกไปเลย ได้ยินอย่างนั้นผู้ช่วยผู้กำกับก็ทำได้เพียงยิ้ม ๆ
ทันใดนั้นสวีโหมวก็ถามขึ้น “ก่อนหน้านี้ซูโย่วอี๋เคยแสดงละครมาก่อนหรือเปล่า?”
“ที่ผมรู้มา ไม่เคยครับ เธอเข้าวงการบันเทิงมาจากการเข้าร่วมรายการแสดงความสามารถ ในด้านการแสดงยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
สวีโหมวกล่าวหลังจากสูบบุหรี่ “น่าเสียดาย”
ใบหน้าแบบนั้นเหมาะสมกับบทฮั่วเสวียนจริง ๆ
การแคสติงคัดเลือกนางเอกกู้ชิงเฉิงในครั้งนี้กำลังดำเนินไปอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เหล่าผู้คนมองเห็นถึงความสำคัญของบทนางเอก
แต่ในใจของสวีโหมว ความสำคัญของนางรองก็ไม่น้อยไปกว่านางเอกเลย อีกทั้งในความคิดของเขาละครเรื่องนี้มีนางเอกสองคน
ฮั่วเสวียนเกิดในบ้านตระกูลฮั่ว ซึ่งเป็นตระกูลนายพล คุณปู่ติดตามฮ่องเต้ไปสู้รบ จนได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงในพระราชวัง ปู่ย่าตายายจนถึงรุ่นพ่อแม่ต่างสืบทอดตำแหน่งเพื่อพิทักษ์ภูเขาเจียง และฮั่วเสวียนก็เป็นลูกสาวของตระกูลฮั่ว ทั้งยังเป็นทายาทเพียงคนเดียว
ไม่ใช่ว่านายพลฮั่วไม่อยากมีลูกชาย แต่เพราะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากการรบจึงทำให้ไม่สามารถมีลูกได้อีก
ตระกูลฮั่วให้ความสำคัญกับเรื่องสายเลือดเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งที่เสื่อมเสียเกียรติได้ ฮั่วเสวียนถูกเลี้ยงดูมาราวกับเด็กผู้ชาย และเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ฮั่วเสวียนในวัยหกขวบจึงถูกนำตัวไปอยู่ชายแดนพร้อมกับกองทัพของตระกูลฮั่ว เพื่อให้เรียนศิลปะการต่อสู้และเติบโตมาพร้อมกับกลุ่มพวกชอบใช้กำลัง
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือการมองโลกในแง่ดีและความใจกว้างของเด็กสาวในสนามรบ เมื่อชายแดนเกิดสงคราม องค์ชายรัชทายาทหลี่จื้อเดินทางไปยังชายแดนเพื่อระงับความวุ่นวายในนามของราชวงศ์ และฮั่วเสวียนก็ได้ตกหลุมรักชายผู้สง่างามคนนี้ในทันที
แต่เธอรู้ดีว่าชั่วชีวิตนี้เธอไม่มีทางแต่งงานหรือมีลูกกับใครได้ จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความรู้สึกนี้เอาไว้
ท้ายที่สุด เพื่อฝังร่างหญิงสาวนี้ให้เป็นความลับตลอดไป เธอได้ตายอย่างกล้าหาญ
ร่างกายของฮั่วเสวียนมีความรู้สึกของหญิงสาวเหลืออยู่ นอกจากนี้เธอยังมีความรักต่อวงศ์ตระกูลและประเทศ แต่นี่กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรม
สวีโหมวไม่ค่อยสร้างละครเกี่ยวกับความรัก เพราะคิดว่าคงได้รับการตอบรับเพียงในกลุ่มของเด็กผู้หญิงที่ชอบเพ้อฝัน แต่ ’รักในฝัน’ นั้นต่างออกไป ทุกตัวละครล้วนน่าสนใจ
นั่นเป็นเหตุผลที่คนอายุเกือบห้าสิบอย่างเขาตัดสินใจเลือกถ่ายละครแนวโบราณเป็นเรื่องแรก ซึ่งไม่ใช่รูปแบบละครที่เขาชำนาญ ถ้าถ่ายออกมาได้ดีคนก็ชื่นชอบ แต่ถ้าถ่ายออกมาไม่ดีชื่อเสียงก็คงพังทลาย
……
อีกด้าน กว่าลู่เฉินจะกลับมาถึงเป่ยสืออี้ผินก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว เขาเห็นซูโย่วอี๋กำลังอ่านนิยายอย่างจริงจังเพียงลำพัง
ซูโย่วอี๋จะพูดยังไงซูหยินก็ไม่ยอมอยู่ค้างคืนด้วย หลังกินข้าวเย็นเสร็จเธอก็รีบกลับไป
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองและก้มลงอ่านนิยายต่อ “กลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม”
ลู่เฉินเดินเข้ามาและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “อ่านอะไร ทำไมดูตั้งใจจัง?”
พอดีกับที่ซูโย่วอี๋อ่านถึงตอนที่ฮั่วเสวียนรู้ว่าพระเอกมีคนในใจอยู่แล้ว เธอจึงนั่งเสียใจอยู่กับฉากนั้นเพียงคนเดียว ในใจของเธอรู้สึกทรมานมาก ราวกับว่าคนที่รักเขา แต่เขาไม่รักตอบคนนั้นคือตัวเธอเอง
เธอตั้งใจพิงเข้าไปในอ้อมแขนของลู่เฉิน “อ่านนิยาย ‘รักในฝัน’ อยู่ ฮั่วเสวียนน่าสงสารมาก ถ้าเธอไม่ชอบหลี่จื้อก็คงจะดี ทำไมถึงต้องรักทั้งที่เจ็บปวดแบบนี้”
ฮั่วเสวียนควรจะได้เป็นอินทรีที่เกิดและเติบโตในทุ่งหญ้าอย่างมีอิสระ
ลู่เฉินจูบลงบนติ่งหูของเธอ “ก็แค่นิยาย ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย”
ซูโย่วอี๋รู้สึกจั๊กจี้ก่อนที่จะหดคอลง “ไม่ใช่ ฉันคือฮั่วเสวียน”
ลู่เฉินรู้เรื่องมาก่อนแล้วจากสุ่ยเวยว่า ซูโย่วอี๋อยากเข้าร่วมแคสติงบทฮั่วเสวียน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมไม่ลองแคสติงเป็นนางเอกล่ะ?”
บทนั้นน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
แต่ในใจของซูโย่วอี๋รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ลู่เฉิน ดีจังที่คุณชอบฉัน”
ไม่งั้นเธอเองก็คงจะกลายเป็นแค่คนแอบรักเขาข้างเดียว
พอได้ยินอย่างนั้นดวงตาของลู่เฉินก็เป็นประกาย ก่อนที่ความต้องการจะฉายแววขึ้นในดวงตา ทันทีที่มอง ซูโย่วอี๋ก็รู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร จึงได้ใช้มือปิดปากเขาเอาไว้ และพูดขึ้น “ไม่ได้ คุณดูสิ ปากฉันเป็นขนาดนี้แล้ว ฉันไม่มีหน้าไปเจอใครแล้วเนี่ย”
ลู่เฉินหัวเราะขึ้น ลมหายใจอุ่น ๆ รดลงบนมือของซูโย่วอี๋
“ขอโทษที เป็นเพราะผมควบคุมตัวเองได้ไม่ดีพอ”
ซูโย่วอี๋คิดในใจ อะไรคือควบคุมได้ไม่ดีพอ เขาตั้งใจชัด ๆ
“หรืออยากให้ผมไปคุยกับสวีโหมว บอกเขาว่า…” ยังไม่ทันทีลู่เฉินจะพูดจบ ซูโย่วอี๋ก็กระโดดลุกขึ้นราวกับว่าโดนเหยียบหาง “ไม่ต้อง!”
“ตอนนี้ที่ฉันกลัวมากที่สุดก็คือ กลัวคนอื่นจะหาว่าฉันมีเส้นสาย”
เมื่อมองท่าทางฟืดฟาดของซูโย่วอี๋ ลู่เฉินรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันของเขาได้หายไปแล้ว พลางดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจให้คุณพึ่งพา”