Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 147 ตายอย่างสมศักดิ์ศรี
บทที่ 147 ตายอย่างสมศักดิ์ศรี
บทที่ 147 ตายอย่างสมศักดิ์ศรี
เธอลองลากเวลาไปที่สองชั่วโมง แต่ภายในกระโจมก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพียงแค่รู้สึกว่าแสงสว่างขึ้นนิดหน่อย
จากนั้นสุนัขจิ้งจอกกลอกตาไปมา [ซู่จู่ คุณต้องออกไปนอกกระโจม และรอพร้อมกับตัวละครในเกม จึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ อยู่คนเดียวแบบนี้ต่อให้คุณลากเวลาไปถึงตอนเย็นก็ไม่มีประโยชน์อะไร]
ซูโย่วอี๋ศึกษาอยู่พักหนึ่งและหยุดลง ก่อนที่จะดึงม่านของกระโจมขึ้นและเดินออกไป ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็ทำให้เธอต้องตกตะลึง
เมื่อเธอมองไปรอบ ๆ กระโจมขนาดเล็กใหญ่กระจายตัวอยู่จนทั่วทั้งทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ประมาณหนึ่งร้อยหลังได้ รอบนอกสุดมีทหารยืนรักษาการณ์อยู่ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มลาดตระเวนกลุ่มล่ะห้าคนอีกด้วย
เมื่อเห็นซูโย่วอี๋ก็มีคนกลุ่มหนึ่งรีบเข้ามาทำความเคารพ “ท่านแม่ทัพ”
ซูโย่วอี๋เห็นอย่างนั้นก็ส่งสัญญาณว่าให้พวกเขาทำงานต่อ ส่วนตัวเองก็เดินตามเสียงดังวุ่นวายไป ระหว่างทางพบกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งและเหล่าเด็กสาวที่ในมือของทุกคนถือหม้อเอาไว้
เหล่าหญิงสาวยิ้มและทักทายเธอ “ท่านแม่ทัพกำลังจะไปดูการซ้อมรบหรือเจ้าคะ?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “พวกเจ้านี่คือ…?”
“พวกเราเตรียมตัวไปเอาน้ำที่บ่อน้ำพุเยว่เชิงเจ้าค่ะ อากาศเริ่มหนาวแล้ว หากผ่านไปอีกสองวันบ่อน้ำพุจะกลายเป็นน้ำแข็ง จึงต้องใช้โอกาสนี้เก็บน้ำมาให้มาก ๆ”
ฤดูหนาวในเขตชายแดนช่างเหลือทน นอกจากความหนาว ยังมีอีกเรื่องที่เป็นปัญหาสำคัญนั่นก็คือการขาดน้ำ ฮั่วเสวียนที่เป็นถึงท่านแม่ทัพยังอาบน้ำได้เพียงหนึ่งหนในหลายวันเท่านั้น ส่วนทหารธรรมดา ๆ ทั่วไปก็ไม่ต้องพูดถึงเลย บางคนไม่เคยอาบน้ำเลยตลอดทั้งฤดูหนาว รอจนให้หิมะละลายในปีหน้าถึงจะสามารถดูแลสุขอนามัยของตัวเองได้
โชคดีที่พวกเขาเป็นชายชราที่หยาบกระด้าง จะอาบน้ำหรือไม่ก็ไม่ได้สนใจ ในทางตรงกันข้ามฮั่วเสวียนที่เป็นหญิงสาวแทบทนไม่ไหว จนต้องสั่งการให้เหล่าทหารเช็ดตัวเป็นระยะ ๆ
น้ำเสียงของซูโย่วอี๋อ่อนโยน “เช่นนั้นพวกเจ้าไปเสียเถิด”
ใบหน้าของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังผู้หญิงคนนั้นแดงขึ้นเล็กน้อย แววตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเสน่หา บ่งบอกว่ายังอยากพูดคุยกับเธอต่อ
หญิงสาวพวกนี้คือเหล่าแฟนคลับของฮั่วเสวียน พวกเธอต่างอยากจะแย่งชิงตำแหน่งภรรยาของเขา
ซูโย่วอี๋รอจนกลุ่มคนเดินจากไปไกลแล้ว แต่ยังคงมีเหล่าหญิงสาวที่อดไม่ได้ที่จะยังคงหันหน้ากลับมามอง
ซูโย่วอี๋ลูบจมูกของเธออย่างลำบากใจ เธอที่เป็นผู้หญิงกำลังถูกกลุ่มหญิงสาวหลงรัก ดูยังไงก็แปลก ๆ
ทันใดนั้นสุนัขจิ้งจอกก็ส่งเสียงออกมา [ซู่จู่ ตอนนี้คุณคือฮั่วเสวียน อย่าได้เอาความคิดของตัวเองมาทำเรื่องต่าง ๆ ถ้าฉันเป็นผู้ตัดสินในเกม เมื่อกี้นี้คุณจะต้องถูกตัดคะแนนไปแล้ว]
“ทำไมล่ะ?”
[ฮั่วเสวียนใช้ชีวิตที่ชายแดนตั้งแต่อายุหกขวบ จะไม่รู้ได้ยังไงว่าพวกเธอถือหม้อไปรองน้ำ?]
ซูโย่วอี๋เพิ่งรู้ตัวว่าคำพูดเมื่อกี้นี้ของเธอไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงปากแข็ง “งั้นทำไมระบบถึงไม่หักคะแนนล่ะ?”
[ระบบคำนวณว่านี่คือการถามในเชิงมารยาทของฮั่วเสวียน ไม่ใช่ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ]
โอเค
[คุณไม่สามารถเดินเล่นไปมาด้วยความคิดเรื่อยเปื่อยได้ เพราะมันไม่ได้มีส่วนช่วยในการแสดงของคุณเลย คุณยังอยากได้บทฮั่วเสวียนอยู่หรือเปล่า? คิดทบทวนให้ดี ๆ ก่อนเถอะ]
หลังได้ฟังคำพูดของสุนัขจิ้งจอก ซูโย่วอี๋จึงเริ่มคิดทบทวน ตั้งแต่เข้ามาในเกมจนถึงตอนนี้เธอยังไม่เคยเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครเลย แต่ทำราวกับว่ามาเพื่อเล่นเกมเฉย ๆ
จะเสียเวลาแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ซูโย่วอี๋ตัดสินใจกับตัวเองว่าจะสวมบทบาทตัวละครโดยไม่ว่อกแว่กแล้ว
ณ ลานฝึกซ้อม
ชุยดาบเดียวกำลังนำเหล่าทหารฝึกซ้อม เมื่อเห็นซูโย่วอี๋ก็รีบวิ่งเข้ามาหาและทำท่าเคารพ “ท่านแม่ทัพ ต้องการดูแลการฝึกซ้อมของวันนี้ด้วยตัวเองหรือขอรับ?”
ทันใดนั้นความตั้งใจเดิมของซูโย่วอี๋เริ่มสั่นคลอน จะให้เธอดูแลจริง ๆ เหรอ เธอทำไม่เป็นหรอกนะ
ดังนั้นซูโย่วอี๋จึงโบกมือขึ้นอย่างใจเย็น “พวกเจ้าซ้อมต่อไปเถิด ข้าแค่มาดู”
เหล่าทหารต่างตั้งใจจัดท่าทางเป็นอย่างดี
“เช่นนั้นท่านกล่าวอะไรเสียหน่อยดีหรือไม่ขอรับ? ตั้งแต่เข้ามาในค่าย เหล่าทหารที่ถูกเกณฑ์มาใหม่พวกนี้ยังไม่เคยพบท่านมาก่อนเลย”
ซูโย่วอี๋มองไปยังเหล่าชายหนุ่มอายุราว 17- 18 ปีกว่าพันคนที่อยู่ในลานฝึก บนใบหน้าที่มืดมนกับดวงตาที่กระตือรือร้นนั้น ราวกับหวังว่ารอคอยท่านแม่ทัพผู้นี้พูดคุยกับพวกเขาเสียหน่อย
ถ้านี่คือตอนเริ่มต้นแน่นอนว่าซูโย่วอี๋จะต้องปฏิเสธแน่นอน แต่ด้วยคำพูดของสุนัขจิ้งจอก ซูโย่วอี๋อยากจะลองเป็นฮั่วเสวียนดู
ถึงฝึกซ้อมทางการทหารไม่เป็น แต่เรื่องพูดคุยก็คงพอได้ อย่างไรซะเธอก็เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีมาได้
ถ้าพูดได้ไม่ดีอย่างมากก็คงโดนหักไปสองคะแนน
เธอเดินไปยังตรงกลางของลานพร้อมกับนึกถึงตอนที่ครูใหญ่พูดให้กำลังใจนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและกระแอมขึ้นเล็กน้อย “เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูค่ายทหารพวกเจ้าก็คือทหาร พวกเจ้าจงฝึกตนเองอย่างเคร่งครัดด้วยมาตรฐานของการเป็นทหาร”
“วันนี้เรียนรู้ทักษะ เพื่อสร้างต้นทุนในสนามรบของวันพรุ่งนี้ ไม่มีผู้ใดบังคับให้เจ้าพยายาม แต่ความจริงจะพิสูจน์ตัวมันเอง ขอเพียงพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างไม่หยุดพัก จึงสามารถมีชีวิตที่ยาวขึ้น นานขึ้น และมีตำแหน่งในกองทัพได้”
“เกิดมาเป็นชาย อย่าได้ถามถึงการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่จงตายอย่างสมศักดิ์ศรี”
“หากเข้าร่วมเป็นทหารแห่งตระกูลฮั่วแล้ว ก็จงจำไว้เสมอ จงภักดีต่อกองทัพและรับใช้ชาติ”
“ในสงคราม คนที่เป็นผู้นำห้ามหมดหวัง ต้องตั้งใจต่อสู้เพื่อชาติและตายเพื่อบ้านเมือง”
ชุยดาบเดียวได้ยินคำพูดของท่านแม่ทัพก็พอใจเป็นอย่างมาก “พูดได้ดี” มือข้างขวาถือดาบประจำตัวเอาไว้ “ข้าขอสาบาน ต่อให้ต้องตายก็ขอติดตามท่านแม่ทัพฮั่วตลอดไป”
เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งลานฝึก “ข้าขอสาบาน ต่อให้ต้องตายก็ขอติดตามท่านแม่ทัพฮั่วตลอดไป”
“สังหารศัตรู ปกป้องชายแดน”
“สังหารศัตรู ปกป้องชายแดน”
บรรยากาศถึงจุดเดือดสุด!
ซูโย่วอี๋ออกมาจากลานฝึก แต่ในใจรู้สึกถึงความสำเร็จ ดูเหมือนว่าคนที่กลัวการเข้าสังคมก็ไม่ใช่คนที่กลัวการเข้าสังคมอย่างแท้จริงสินะ การให้เธอมาอยู่ในตำแหน่งของผู้นำ เธอยังพูดได้ขนาดนี้
จนถึงตอนที่เธอกลับมายังกระโจม แต่ชุยดาบเดียวตะโกนมาจากด้านหลัง “ท่านแม่ทัพ”
ซูโย่วอี๋หยุดเดิน “มีเรื่องใดหรือ?”
คิ้วหนาของชุยดาบเดียวโค้งขึ้น “ท่านแม่ทัพ ท่านควรพูดคุยกับเหล่าทหารให้มาก ก่อนหน้านี้ท่านพูดไม่เก่งข้ายังนึกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่มาวันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว งานทางการเมืองของป๋อเวยทั้งหมดก็ควรมอบให้ท่านทำเสียแล้ว”
“เหล่าทหารที่เกณฑ์มาใหม่มีความกระตือรือร้น แม้ไม่กินข้าวปลาก็ยังสามารถฝึกต่อไปได้ถึงสองชั่วยาม”
แม้ในใจของซูโย่วอี๋รู้สึกขบขัน แต่หน้าก็ยังคงต้องสงบนิ่งไว้ “ข้าไม่ชอบเรื่องการพูดคุย”
ชุยดาบเดียวหยุดไปชั่วครู่ “ว่าแต่… คำพูดของท่านแม่ทัพในวันนี้มีบางส่วนที่ข้าไม่เข้าใจ”
หัวใจของซูโย่วอี๋เต้นแรงขึ้น เธอคงไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปใช่ไหม
“ต้นทุนคือสิ่งใดกัน ข้าเป็นคนโง่ไม่ค่อยได้อ่านตำราเรียน ทำให้ท่านแม่ทัพขบขันเสียแล้ว”
ใบหน้าของซูโย่วอี๋เคร่งขรึมขึ้น “ต้นทุนก็คือความสามารถ ความสามารถในการต่อสู้อย่างไรเล่า”
ชุยดาบเดียวเข้าใจในทันที “เป็นเช่นนี้นี่เอง ต่อไปข้าจะมอบความรู้นี้ให้กับทหารใหม่เองขอรับ”
รอจนชุยดาบเดียวจากไป ตามที่คาดไว้ระบบแจ้งเตือนขึ้น
[ซู่จู่พูดคำที่ไม่เหมาะสมกับบทบาทของตัวละคร หัก 3 คะแนน]
ซูโย่วอี๋ถามขึ้น “แล้วคะแนนเต็มคือเท่าไหร่? หักเสร็จแล้วจะเป็นไงต่อ?”
[คะแนนเต็ม 100 หลังจากหักคะแนนเสร็จจะถูกบังคับให้ออกจากเกมการสวมบทบาท และให้ออกไปรวบรวมสมาธิใหม่ในโลกความจริงหนึ่งวัน จึงจะสามารถเข้าร่วมเกมได้อีกครั้ง]
เงื่อนไขแบบนี้หากอยู่ในเวลาปกติก็คงไม่เป็นอะไร แต่การแคสต์เรื่องรักในฝันใกล้เข้ามาแล้ว ซูโย่วอี๋จะเสียเวลาไปไม่ได้
เธอควรรีบเข้าใจในบทบาทของฮั่วเสวียนให้เร็วที่สุด!
หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ ซูโย่วอี๋นอนพักในกระโจมถึงสองชั่วยาม หลังจากตื่นนอนก็ไปประชุมเพื่อดูรายงานการเกณฑ์ทหารที่ส่งกลับมาจากหลายพื้นที่ และเปิดดูตำราสงครามดูไปพลาง ๆ
ยามเซิน ผู้ช่วยแม่ทัพก็เข้ามารายงาน กองทัพที่มีหน้าที่ไปรับองค์ชายรวมตัวเรียบร้อยแล้ว และพร้อมออกเดินทางได้ตลอดเวลา
ซูโย่วอี๋ลุกขึ้นทันที แม้ในใจรู้สึกไม่ค่อยสงบ เธอรอเวลานี้มาทั้งวัน ในที่สุดก็จะได้พบกับพระเอกผู้เป็นวีรบุรุษในตำนานอย่างหลี่จื้อแล้ว!